วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

แม่พระถวายองค์ในพระวิหาร(ตอนที่2)

 




ด้านข้างแต่ละข้างของมารีย์มีเด็กผู้หญิงสามคนในชุดขาวถือดอกไม้และเทียน ต่อจากนั้นก็มีเด็กผู้หญิงและบรรดาสตรีคนอื่นๆติดตามมาด้านหลัง ประชาชนทุกคนที่ได้เห็นพวกเขาต่างประทับใจกับรูปลักษณ์อันศักดิ์สิทธิ์ที่พิเศษของมารีย์ ที่ทางเข้าด้านนอกของพระวิหาร,นักบุญโยอาคิม,เศคาริยาห์,และบรรดาสมณะอีกหลายคนมายืนคอยพบพวกเขา เมื่อพวกเขาผ่านประตูเข้ามา,พ่อแม่ของมารีย์ได้ถวายลูกสาวอันเป็นที่รักของพวกเขาแด่พระเจ้าโดยการสวดภาวนาด้วยความศรัทธาอย่างแรงกล้า และมารีย์ก็ถวายตัวแด่พระเจ้าด้วยความนอบน้อมถ่อมตนอย่างสุดซึ้ง เธอคนเดียวเท่านั้นที่รับรู้ว่าพระผู้ทรงมหิทธิฤทธิ์ทรงต้อนรับเธอและยอมรับเธอเพราะเธอได้ยินเสียงจากสวรรค์ว่า: "มาเถิดสุดที่รักของเรา,เจ้าสาวของเรา,จงมาที่พระวิหารของเรา,ซึ่งเราปรารถนาให้เธอสรรเสริญและนมัสการเรา" จากนั้น,เมื่อเดินผ่านบริเวณสำหรับสตรี,พวกเขาก็มาถึงบันไดสิบห้าขั้นที่นำไปสู่ประตูนิคานอร์อันยิ่งใหญ่(Nicanor Gate) ที่นี้เองที่นักบุญโยอาคิมและนักบุญอันนาต้องถวายบุตรีของตนอย่างเป็นทางการภายในพระวิหาร หลังจากสมณะได้วางเธอไว้บนขั้นบันได้ขั้นแรกแล้ว มารีย์โดยได้รับอนุญาตจากเขา,ได้หันกลับมาคุกเข่าต่อหน้าพ่อแม่ของเธอ,จูบมือพวกเขาด้วยความรักและความกตัญญูอย่างสุดซึ้ง เธอขอพรและคำอธิษฐานภาวนาจากพวกเขา บิดาและมารดาของเธอน้ำตาคลอ,วางมือบนศีรษะของเธอและกล่าวคำที่พวกเขามอบเธอแด่พระเจ้าอย่างเคร่งขรึม ในขณะที่สมณะได้ตัดผมสองสามปอยของเธอ ในระหว่างพิธีถวายองค์นี้,สาวๆที่มาร่วมงานเลี้ยงร้องเพลงสดุดี 44 ว่า **
 
จากนั้นหลังจากที่นักบุญอันนาและนักบุญโยอาคิมอวยพรเธออย่างอ่อนโยน มารีย์น้อยก็เริ่มเดินขึ้นบันไดสิบห้าขั้นโดยไม่ลังเลและไม่หันหลังกลับ เธอไม่ยอมให้ใครมาช่วยเธอ,แต่ด้วยความละเอียดอ่อนและศักดิ์ศรีที่พิเศษ,เธอรีบเดินขึ้นไปด้วยตัวเธอเอง เธอเต็มไปด้วยความร้อนรนและปีติยินดีอันศักดิ์สิทธิ์ จากนั้นสมณะสองคนก็พาเธอขึ้นไปยังห้องซึ่งสามารถมองเห็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ได้ และพวกเขาอ่านบทภาวนาต่อเธอ,ขณะที่เครื่องหอมถูกเผาบนแท่นบูชา พวกเขานำพวงมาลัยดอกไม้และเทียนจากมือที่เธอถืออยู่ พวกเขาเอาผ้าคลุมผมสีน้ำตาลคลุมศีรษะของเธอ แล้วพาเธอไปที่ห้องโถงซึ่งมีเด็กหญิงสิบคนที่รับใช้ในพระวิหารออกมาต้อนรับเธอด้วยการโปรยดอกไม้ต่อหน้าเธอ ที่นี่เธอได้พบกับอาจารย์ของเธอซึ่งเป็นประกาศกผู้ศักดิ์สิทธิ์,นั่นคือนางอันนา
 
 


เมื่อบรรดาสมณะทั้งหมดจากไป,พ่อแม่และญาติของมารีย์ก็เข้ามากล่าวคำอำลา นักบุญโยอาคิมรู้สึกประทับใจเป็นพิเศษ,เขาโอบกอดมารีย์ไว้ในอ้อมแขนและร้องไห้ในขณะที่เขาพูดพึมพำว่า: ลูกของพ่อ,ช่วยอธิษฐานภาวนาต่อพระเจ้าเพื่อจิตวิญญาณของพ่อด้วย " นักบุญอันนากอดลูกสาวสุดที่รักของเธออย่างเศร้าโศกและอ่อนโยน จากนั้นมารีย์จึงลาจากไปอย่างกล้าหาญตามพระประสงค์ของพระเจ้า,เธอหันหลังกลับ ขณะที่เธอเดินออกไป,เธอพูดกับสตรีที่ติดตามเธอว่า: "ตอนนี้หีบพันธสัญญาอยู่ในพระวิหารแล้ว" ด้วยความเศร้าโศกในหัวใจ,นักบุญโยอาคิมและนักบุญอันนากลับมาที่นาซาเร็ธ
 
แต่เพื่อตอบสนองต่อคำอธิษฐานภาวนาของมารีย์,พระเจ้าทรงปลอบโยนและบรรเทาใจพวกเขาด้วยความเมตตา มารีย์คุกเข่าลงต่อหน้าอาจารย์อันนาของเธออย่างนอบน้อมและขอให้เธออวยพรและมีความอดทนต่อปัญหาที่เธออาจจะสร้างให้เกิดกับท่าน ต่อมา,มารีย์ทักทายและโอบกอดเด็กหญิงคนอื่นๆ,โดยเสนอตัวเป็นผู้รับใช้ของพวกเขาและกระตุ้นให้พวกเขาแนะนำและสั่งเธอ ห้องของมารีย์อยู่สูงขึ้นไป,สามารถมองเห็นทิวทัศน์ของสถานที่ศักดิ์สิทธิ์และวิหารชั้นในที่มีสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งความศักดิ์สิทธิ์ ห้องพักของเธอเรียบง่ายมาก,เฟอร์นิเจอร์มีเพียงโคมไฟ,โต๊ะกลมเตี้ย,และพรมม้วนซึ่งทำหน้าที่เป็นเตียงของเธอ
 
ทันทีที่เธออยู่เพียงลำพังคนเดียว,มารีย์ก็ก้มลงบนพื้นและจูบพื้นห้อง,เพราะสำหรับเธอแล้ว,ที่นี่คือดินแดนศักดิ์สิทธิ์,เป็นส่วนหนึ่งของพระวิหารแห่งพระเจ้า และเธอคิดว่าเธอเองไม่คู่ควรที่จะเหยียบบนพื้นนั้น จากนั้นเธอก็หันไปหาทูตสวรรค์ของเธอและสวดภาวนาว่า: "ทูตสวรรค์ขององค์พระผู้ทรงสรรพานุภาพ,ผู้เป็นเพื่อนที่ซื่อสัตย์ฉัน,ฉันขอร้องให้คุณอยู่กับฉันในพระวิหารศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าของฉัน,และเตือนฉันถึงสิ่งที่ฉันควรทำ,โปรดสั่งสอนฉันและสั่งฉัน,เพื่อฉันจะได้ทำตามพระประสงค์ของพระเจ้าในทุกสิ่ง”
 
เธอถ่อมตัวลงต่อพระพักตร์พระเจ้า,กล่าวว่า “ข้าแต่พระเจ้าผู้ไม่มีขอบเขตและทรงเป็นนิรันดร์,หากความทุกข์ยากและการข่มเหงที่ทนทุกข์ด้วยความอดทนนั้นมีค่าในสายพระเนตรของพระองค์แล้ว,ขออย่าทรงลิดลอนสมบัติล้ำค่าและคำมั่นสัญญาแห่งความรักของพระองค์ไปจากข้าพเจ้าเลย,แต่โปรดประทานรางวัลสำหรับความทุกข์ยากเหล่านี้แก่ผู้ที่สมควรได้รับซึ่งดีกว่าข้าพเจ้าเถิด”
 


คำอธิษฐานภาวนาของมารีย์นี้เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้าผู้ทรงฤทธานุภาพ,และพระองค์ทรงประทานให้เธอเข้าใจว่าพระองค์จะทรงยอมให้เธอทนทุกข์และรับความลำบากเพื่อความรักต่อพระองค์ในชีวิตของเธอ แม้ว่าเธอจะไม่ทราบล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้น,มารีย์ขอบพระคุณพระองค์สุดจิตใจแล้วทูลขออนุญาตให้เธอปฏิญาณตนในการถือศีลพรหมจรรย์,ความยากจน,ความนบนอบเชื่อฟัง, และดำรงอยู่ในพระวิหารเป็นนิจ, ณ.เบื้องพระพักตร์พระองค์
 
พระเจ้าตรัสตอบว่า “ผู้ที่เราเลือกสรร,ลูกยังไม่เข้าใจว่าเหตุใดจึงเป็นไปไม่ได้ที่ลูกจะเติมเต็มความปรารถนาทั้งหมดของลูก เราอนุญาติสำหรับการปฏิญาณแห่งศีลพรหมจรรย์และปรารถนาให้ลูกปฏิบัติตาม และตั้งแต่นี้ไป,เราต้องการให้ลูกละทิ้งความร่ำรวยทางโลก เป็นความประสงค์ของเราที่ลูกจะปฏิบัติตามคำปฏิญาณอื่นๆด้วยตามที่ลูกตั้งใจ” จากนั้น,มารีย์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ก็ปฏิญาณตนถือศีลพรหมจรรย์เบื้องพระพักตร์พระเจ้า,และละทิ้งความรักต่อสิ่งสร้างทุกสิ่ง,ขณะที่เธอตั้งใจที่จะเชื่อฟังเพื่อนมนุษย์ทั้งหมดเพื่อเห็นแก่ความรักของพระเจ้า ทูตสวรรค์ของเธอได้ตกแต่งเธอด้วยเสื้อคลุมที่งดงามและอัญมณีแวววาวหลากสีสันซึ่งเป็นสัญลักษณ์ของคุณธรรมของเธอ
 
ต่อจากนั้น,พระเจ้าทรงบอกเธอให้ทูลขอสิ่งใดก็ได้ที่เธอปรารถนา,และมารีย์ก็วิงวอนพระองค์ทันทีด้วยความร้อนรน,ขอให้ทรงส่งพระผู้ไถ่มายังโลกเพื่อที่มนุษย์ทั้งปวงจะได้รู้จักพระองค์,เธอวอนขอให้พระองค์ทรงอวยพรแก่บิดามารดาของเธอด้วยการประทานพระหรรษทานแก่พวกเขาและแก่คนยากจนและผู้ยากไร้เพื่อปลอบประโลมพวกเขา
 
......จบ
 
************************
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น