คำแปล
วันที่ 13 พฤษภาคม 1981ที่จัตุรัสนักบุญเปโตรในกรุงโรม,นักฆ่าชาวตุรกีนายอาลี อักกาถูกส่งมา,โดยอำนาจมืดที่อยู่เบื้องหลัง,ให้สังหารพระสันตะปาปายอห์นปอลที่ 2 นายอาลี,อายุ 23 ปี,เป็นนักฆ่ามืออาชีพและเป็นนักแม่นปืน เวลานั้นเขายืนอยู่แถวหน้าในระยะใกล้กับรถของพระสันตปาปามากประมาณ 3 เมตรห่างจากพระองค์เท่านั้น หลังจากเหตุการณ์ลอบสังหาร40ปี,ได้มีการพูดถึงปริศนาที่เชื่อมโยงกับเหตุการณ์ในวันนั้น,วันที่ 13 พฤษภาคม 1981 อาลี อักกาเป็นมือลอบสังหารที่เชี่ยวชาญและเขาไม่มีวันยิงพลาดเป้าในระยะใกล้เช่นนั้นได้เลย จากคำให้การของเขาต่อศาล,เขายิงปืนออกไปได้เพียงสองนัดเท่านั้นเพราะถัดจากเขาไปมีแม่ชีคนหนึ่ง,ผู้ซึ่งในช่วงเวลาที่เขายิงปืน,เธอได้จับแขนขวาของเขาไว้,ทำให้เขาไม่สามารถยิงปืนต่อไปได้ มิฉะนั้น,เขาคงได้ฆ่าพระสันตปาปาไปได้เรียบร้อยแล้ว ซิสเตอร์เลทีเซีย กุยดิชิ(Letizia Guidici)ยืนอยู่ข้างหลังมือปืนห่างไปไม่กี่ฟุต แต่เมื่อมีคนถามเธอว่าเธอคือผู้ที่จับแขนของมือปืนใช่หรือไม่? เธอตอบปฏิเสธ พระสันตะปาปายอห์นปอลที่ 2 ตรัสเสมอว่า พระองค์มีชีวิตรอดด้วยความช่วยเหลือที่เหนือธรรมชาติโดยการเข้ามาแทรกแซงของพระแม่มารีย์ ยืนยันในคำกล่าวนี้ได้ด้วยรูปภาพไอคอนของแม่พระที่ถูกวาดขึ้นตามความประสงค์ของพระสันตปาปายอห์นปอลที่2 รูปภาพแสดงอยู่ที่จัตุรัสนักบุญเปโตร,ตรงจุดที่เกิดเหตุนั้นเอง
แต่ใครคือแม่ชีคนนั้น,ผู้ที่มือปืนได้อธิบายว่าเป็นผู้ที่ทำให้เขาไม่สามารถฆ่าพระสันตะปาปาได้? มีการพูดถึงเรื่องนี้มานานหลายปีเกี่ยวกับนักบวชหญิงผู้นี้ และในที่สุดก็ได้คำตอบว่าคือซิสเตอร์ริต้า มอนเตลล่า(Rita Montella) เธอมีชื่อในเวลารับศีลล้างบาปว่า คริสตีน่า มอนเตลล่า(Cristina Montella) เธอเป็นซิสเตอร์ออกุสติเนียนที่มีชื่อเสียงในความศักดิ์สิทธิ์,ซึ่งเสียชีวิตเมื่อ 26 พฤศจิกายน 1992 ที่อาราม Santa Croce sull’Arno ในทัสคานี,อิตาลี
ซิสเตอร์คริสตีน่า มีความเชื่อมโยงกับคุณพ่อปีโอ เธอได้รับพระพรลึกลับอันยิ่งใหญ่และในเวลานี้พระศาสนจักรกำลังพิจารณากรณีของเธอในกระบวนการสถาปนาให้เป็นบุญราศีและนักบุญ เป็นกรณีของการอยู่สองสถานที่ในเวลาเดียวกันซึ่งได้หยุดยั้งการโจมตีครั้งสำคัญอันจะทำให้ประวัติศาสตร์ของพระศาสนจักรและของโลกต้องเปลี่ยนแปลงไป
ซิสเตอร์ริต้าแห่งพระจิตเจ้า
คริสตีน่า มอนเตลล่า เกิดเมื่อวันที่ 3 เมษายน 1920 ที่เมืองเนเปิล,อิตาลี เมื่อเธออายุได้ 2 ขวบ,ขณะทีอยู่ในบ้านของป้าของเธอ,เธอได้เห็นรูปภาพนักบุญเยราร์ด มาเจล่า(Gerard Majella)มีชีวิตขึ้นมา,ทำให้เธอตกใจมาก แต่หลายวันต่อมา,เธอรวบรวมความกล้าและเข้าไปดูที่รูปภาพนั้นอีกครั้ง ครั้งนี้นักบุญเยราร์ดยื่นมือของเขามาโอบกอดเธอและบอกเธอว่า “คริสตีน่า,เธอจะเป็นแม่ชี” ในช่วงวัยเยาว์,เธอมีประสบการณ์ลึกลับหลายครั้ง อย่างเช่น การได้พบกับพระเยซูกุมาร,แม่พระและอารักขเทวดาของเธอ มิตรจากสวรรค์เหล่านี้บอกเธอว่าอย่าบอกเรื่องนี้กับใคร เธอยังทำกิจใช้โทษบาปเป็นอย่างมากด้วย เธอเลือกที่จะนอนบนพื้นโดยใช้ก้อนหินเป็นหมอน บิดาได้ให้เธอออกจากโรงเรียนเมื่อเธออยู่เกรดห้า,อันเนื่องมาจากรัฐบาลเผด็จการฟาสซิสต์,ซึ่งบิดาของเธอต่อต้าน เธอจึงอยู่ที่บ้านและกลายเป็นผู้ทำงานที่เข้มแข็งที่โบสถ์,ด้วยการช่วยสอนคำสอนแก่เด็กหญิง
เมื่ออายุได้ 14 ปี,คริสตีน่าได้พบกับคุณพ่อปีโอเป็นครั้งแรก ในค่ำคืนระหว่างวันที่ 25-26 สิงหาคม 1934 คุณพ่อปีโอ ปรากฏแก่เธอในขณะที่เธอกำลังสวดภาวนา เธอไม่เคยพบกับท่านมาก่อน,ดังนั้นท่านจึงแนะนำตัวเองโดยพูดว่า “คริสตีน่า,พ่อคือคุณพ่อปีโอ” แล้วท่านก็เริ่มเรียกเธอว่า “แบมบิน่า Bambina”(แปลว่า เด็กน้อย) ไม่ใช่เพราะอายุของเธอ แต่เป็นเพราะความใสซื่อบริสุทธิ์ของเธอ
ในวันที่ 14 กันยายน 1935 เกือบจะหนึ่งปีหลังจากได้พบกับคุณพ่อปีโอ เวลาประมาณ 2:00 น. เธออายุ 15ปี ขณะที่เธอกำลังสวดภาวนาที่เตียงนอนตามปกติ ทันใดนั้น,สวรรค์ก็เปิดออก,เธอเห็นพระเยซูเจ้าบนไม้กางเขนทรงมีชีวิตและมีรังสีแสงส่องออกมาจากรอยบาดแผลของพระองค์ ด้านข้างของพระองค์คือพระแม่มารีย์,นักบุญโยเซฟ,และคุณพ่อปีโอ และเวลานั้น,เธอก็ได้รับรอยแผลศักดิ์สิทธิ์(stigmata) เธอเล่าว่า พระเยซูถามเธอว่าเธอต้องการจะรู้สึกถึงความเจ็บปวดของรอยบาดแผลเช่นเดียวกับพระองค์หรือไม่? และเธอตอบว่า “ใด้ค่ะ” ในเวลานั้นที่เธอได้รับรอยแผลศักดิ์สิทธิ์,รอยแผลได้หายไป แต่ความเจ็บปวดและรอยแผลที่สีข้างของเธอยังคงอยู่จวบจนกระทั่งเธอเสียชีวิต
ตั้งแต่วันที่ 14 กันยายน 1935 เป็นต้นไป,เธอได้ทำ”ชั่วโมงศักดิ์สิทธิ์”ซึ่งเธอเรียกว่าชั่วโมงศักดิ์สิทธิ์สำหรับพระสงฆ์ ในระหว่างชั่วโมงศักดิ์สิทธิ์นี้,เธอจะบรรเทาพระมหาทรมานของพระคริสต์ด้วยการรับความเจ็บปวดในร่างกายของเธอเป็นเวลาสามชั่วโมงทุกคืน แต่เธอไม่ได้ทนทุกข์เพียงลำพัง คุณพ่อปีโอมาอยู่ร่วมกับเธอในวิถีทางที่ลึกลับทุกคืน
วันที่ 10 สิงหาคม 1940,เธอได้เข้าสู่อารามเป็นแม่ชีในคณะออกุสติเนียนที่ Santa Croce sull’Arno (Pisa,Italy) และเธออยู่ที่นี่เป็นเวลาห้าสิบปีจนกระทั่งเสียชีวิตในวันที่ 26 พฤศจิกายน 1992 เธอทำงานต่างๆในคณะ อาทิเช่น ทำอาหาร,พยาบาล,จัดการเกี่ยวกับโบสถ,เย็บเสื้อผ้า,และทำบัญชี
ตั้งแต่เริ่มแรก,คริสตีน่าจะสวดภาวนาและทำชั่วโมงศักดิ์สิทธิ์ประมาณ 22.00 น.ที่โบสถ์น้อยซึ่งอยู่ด้านหลังห้องซาคริสตี,เพื่อที่จะได้อยู่ใกล้กับศีลมหาสนิท ที่นี่,คุณพ่อปีโอจะมาพบกับเธอ และทั้งสองจะสวดภาวนาด้วยกันโดยมีทูตสวรรค์สององค์ซึ่งจะมาช่วยยกแขนของเธอขึ้น
ภายในอาราม,ซิสเตอร์ริต้าได้รับความทุกข์จากการถูกซิสเตอร์คนอื่นเบียดเบียน เพราะพวกเขาไม่ชอบเธอ พวกเขาดูหมิ่นเธอและเรียกเธอว่า “คนแปลก”,”คนโรคจิต” ซิสเตอร์ริต้าพยายามปกปิดชีวิตเหนือธรรมชาติของเธอไว้ ทุกอย่างเกิดขึ้นหลังกำแพงของอารามแห่งนี้,และพระเยซูทรงบอกกับเธอว่า “ทุกคนต้องการถูกเห็นเพื่อที่จะได้รับการยกย่องสรรเสริญ แทนที่จะเป็นเช่นนั้น,”ลูกบอลน้อย”ของเราถูกซ่อนไว้เสมอ ด้วยเหตุนี้,เราจึงต้องการให้ทุกคนมาและรู้จักลูก” “และบุคคลหนึ่งที่เราจะมอบให้ลูกอยู่ในการดูแลของเขา(คุณพ่อทีโอฟิลโล ดัล ปอสโซ Teofilo dal Pozzo) เขาจะเป็นคนแรกที่ทำให้ลูกเป็นที่รู้จัก”
คุณพ่อทีโอฟิลโล ได้เป็นพระสงฆ์ผู้แนะนำฝ่ายวิญญาณของซิสเตอร์รีต้าตั้งแต่ปี 1947-1962 ท่านเชื่อว่าพระพรพิเศษของซิสเตอร์ริต้าในการให้คำปรึกษา, การทำนาย,และการสวดภาวนา จะช่วยเหลือคนเป็นจำนวนมาก ท่านต้องการให้เธอพบกับนักบวชคนอื่นๆและฆราวาสด้วย อย่างไรก็ตาม,หลังจากที่คุณพ่อเสียชีวิตในวัยหกสิบปี พระพรพิเศษของซิสเตอร์ริต้าก็ถูกซ่อนไว้
ซิสเตอร์คริสตีน่าได้รับพระพรพิเศษเหนือธรรมชาติหลายอย่าง อาทิเช่น การเห็นอารักขเทวดาของเธอ,พระพรการทำนาย,พระพรการอ่านจิตใจ,และพระพรการอยู่สองสถานที่ในเวลาเดียวกัน เธอยังได้รับพระพรที่หาได้ยากนั่นคือการไปอยู่ร่วมกับวิญญาณในสวรรค์,วิญญาณซึ่งเธอได้ยอมรับความทุกข์ของไฟชำระเพื่อพวกเขา ในระหว่างช่วงสุดท้ายของชีวิตของเธอ เธอดำรงชีวิตอยู่ด้วยศีลมหาสนิทแต่เพียงอย่างเดียว และบ่อยครั้ง,เธอได้รับศีลมหาสนิทจากรอยบาดแผลที่สีข้างของพระเยซูโดยตรง
ในระหว่างสงครามโลกครั้งที่ 2,ซิสเตอร์ริต้าไปเยี่ยมทหารที่อยู่ในอันตรายบ่อยๆพร้อมกับคูณพ่อปีโอ การไปเยี่ยมของทั้งสองนั้นเป็นการอยู่สองสถานที่ในเวลาเดียวกัน หนึ่งในทหารที่ได้รับการช่วยเหลือคือ อัลฟองโซ มอนเตลล่า,น้องชายของซิสเตอร์เอง,เขาถูกจำคุกอยู่ในกรีซ เขาถูกทหารกรีกจับตัว ในระหว่างที่สัมพันธมิตรทิ้งระเบิดทางอากาศในเดือนมีนาคม 1943,อัลฟองโซถูกสะเก็ดระเบิดที่ศีรษะ ซิสเตอร์ริต้าและคุณพ่อปีโอเห็นเศษชิ้นส่วนของสมองของเขากระจายไปทั่ว เมื่อซิสเตอร์ถูกถามว่า เธอได้ร่วมไปกับอัลฟองโซในการพาเขาไปสู่สวรรค์ด้วยหรือไม่,เหมือนที่เธอทำกับบิดาของเธอ? ซิสเตอร์ตอบว่า “ใช่ค่ะ พระเยซูทรงรับเขาไว้ในสวรรค์ในวันที่เขาเสียชีวิตนั้นเอง”
เธอบอกว่า เธอได้ไปพร้อมกับคุณพ่อปีโอหลายครั้ง เพื่อช่วยเหลือทหารที่อยู่ในอันตรายและเพื่อให้ความช่วยเหลือทางมนุษยธรรม มีครั้งหนึ่งที่เธอได้เข้าไปที่ค่ายกักกันเชลยในเยอรมนีเพื่อปลดปล่อยทหารอิตาเลี่ยน ทหารยามคิดว่าพวกเขาเป็นสายลับจึงยิงปืนมาที่พวกเขา แต่กระสุนไม่ได้ทำอันตรายใดๆ
ซิสเตอร์ริต้ายังได้มาหาคุณพ่อปีโอด้วยการอยู่สองสถานที่ในเวลาเดียวกัน เพื่อช่วยปลอบบรรเทาคุณพ่อปีโอในช่วงวาระสุดท้ายแห่งชีวิตของคุณพ่อปีโอในวันที่ 23 กันยายน 1968 เธอเล่าว่าในช่วงวาระการจากไปนั้น,พระแม่มารีย์,นักบุญฟรังซิส,นักบุญแคลร์ก็อยู่ที่นั่นด้วย เธอรู้สึกเป็นทุกข์ใจขณะเฝ้าดูแพทย์ที่พยายามยื้อชีวิตของคุณพ่อและพูดว่า “พวกเขาควรปล่อยให้ท่านจากไปอย่างสงบ”
ในปี 1980,ซิสเตอร์มีอาการเนื้องอกในสมอง สองปีต่อมาเธอตกบันไดและทำให้แขนซ้ายหัก ตั้งแต่บัดนั้น,สุขภาพของเธอก็เสื่อมถอยลงเรื่อยๆ เธอเป็นโรคหัวใจ,ขาอ่อนแรง,และมีอาการเจ็บปวดหลายแห่ง ตลอดปี 1980,เธอต้องทนรับความเจ็บปวดทางร่างกาย
วันที่ 26 พฤศจิกายน เวลาบ่ายโมง,คุณแม่อธิการพบเธอกำลังหมอบอยู่ที่พื้นด้วยความทุกข์ทรมาน ท่านได้ชงกาแฟมาให้เธอดื่มซึ่งทำให้เธอมีปฏิกิริยาตอบสนองที่เลวร้ายมาก เธออาเจียนอย่างรุนแรงและเธอก็ล้มลงกับพื้น เมื่อคุณแม่อธิการกลับมาก็พบว่าเธอกำลังคุกเข่า,จึงได้อุ้มเธอไปที่เตียง ขณะที่เธอเพ่งมองไปที่รูปภาพนักบุญอัครเทวดามีคาแอล,เธอก็ได้จากไปในเวลา บ่ายโมงครึ่งของวันที่ 26 พฤศจิกายน 1992
************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น