วันพฤหัสบดีที่ 6 เมษายน พ.ศ. 2566

วันพฤหัสศักดิ์สิทธิ์

 



ใกล้ถึงวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ อันเป็นวันสำคัญที่สุดในพระศาสนจักรที่เราระลึกถึงพระมหาทรมานของพระเยซูเจ้า  มีภาพนิมิตที่เปิดเผยแก่ อันนา คัทริน อัมเมอริก แม่ชีชาวเยอรมนี เธอเห็นภาพเหมือนภาพยนตร์เกี่ยวกับพระมหาทรมานของพระเยซูเจ้า  อันนา อัมเมอริกมีชื่อเสียงในด้านการได้รับพระพรพิเศษจากสวรรค์ โดยเฉพาะในเรื่องที่เธอเห็นนิมิตเกี่ยวกับชีวประวัติของพระเยซูเจ้าและแม่พระ และเธอได้บันทึกเล่าเรื่องนิมิตที่เธอเห็นไว้เป็นหนังสือชื่อ The Dolorous Passion of Our Lord Jesus Christ , Life of the Blessed Virgin Mary, and Mary Magdalen

จากเรื่องราวในสมุดบันทึกของอันนา อัมเมอริกได้นำเราเข้าสู่ประวัติศาสตร์ในยุคสมัยของพระคริสต์ที่มีรายละเอียดมากมาย  จากรายละเอียดหนังสือของอันนานี้ที่ทำให้ได้ค้นพบบ้านของแม่พระที่เอเฟซัส ในตุรกี
การเลี้ยงอาหารค่ำมื้อสุดท้าย
ให้เราเริ่มจากการเลี้ยงอาหารค่ำมื้อสุดท้าย (วันพฤหัสศักดิ์สิทธิ์) อัมเมอริกเล่าว่า การเลี้ยงอาหารจัดขึ้นที่บ้านของชายที่ชื่อเฮลี Heli ครั้งหนึ่งในอดีตบ้านของเขาเคยถูกใช้เป็นที่เก็บรักษาหีบแห่งพันธสัญญาด้วย  เฮลีเป็นน้องเขยของซาคาเรียแห่งเฮบรอน บ้านของเขาตั้งอยู่ทางตอนใต้ของภูเขาซีออนซึ่งอยู่ไม่ไกลจากปราสาทของกษัตริย์ดาวิด “ห้องที่จัดงานเลี้ยงเป็นห้องโถงที่อยู่กลางบ้าน” อันนาบรรยายไว้ “ห้องมีความยาวมากและมีเสาเรียงเป็นแนวรอบห้อง  กำแพงถูกตกแต่งสำหรับงานเลี้ยง มีพรมที่สวยงามปูอยู่ที่พื้นห้อง เพดานห้องมีช่องรับแสงและมีกระจกสีฟ้าปิดไว้

“จอกกาลิกษ์ศักดิ์สิทธิ์วางอยู่บนจานใบหนึ่ง มีถ้วยแก้วหกใบวางล้อมรอบจอกกาลิกษ์ ในจอกกาลิกษ์ยังบรรจุภาชนะที่เล็กกว่าไว้ด้วย และมีจานกลมวางปิดทับไว้ด้านบน  มีช้อนอันหนึ่งวางอยู่ที่ใต้จอกกาลิกษ์เพื่อที่มันอาจจะถูกนำมาใช้  ภาชนะทุกอย่างถูกคลุมด้วยผ้าลินินเนื้อละเอียดอย่างดี”
“จอกกาลิกษ์ มีรูปทรงเหมือนผลแพร์ สีดำและขัดเงามันวาว มีการประดับด้วยทองคำและมีหูจับสองอันสำหรับยก ที่ฐานทำด้วยทองคำบริสุทธิ์และประดับเป็นรูปผลองุ่นด้วยอัญมณีที่มีค่า”
อันนาบรรยายว่า จอกกาลิกษ์นี้ต่อมาได้ตกมาอยู่กับนักบุญยูดาและถูกวางไว้ในโบสถ์แห่งเยรูซาเล็ม – และจอกกาลิกษ์ยังคงอยู่ที่ไหนสักแห่งในเมืองนี้ เธอบรรยายต่อว่า “โบสถ์อื่นๆได้ครอบครองถ้วยแก้วใบเล็กๆที่วางอยู่รอบจากกาลิกษ์นี้ แก้วใบหนึ่งถูกนำไปที่อันติโอก อีกใบหนึ่งถูกนำไปที่เอเฟซัส  พวกมันอยู่ในความครอบครองของพระอัยกา ซึ่งจะถูกใช้ในพิธีกรรมเพื่อการอวยพร ฉันได้เห็นแก้วเหล่านี้หลายครั้ง” เธอบรรยายไว้

“บุตรชายของซีเมออนเป็นผู้จัดเตรียมเนื้อแกะ เขาใช้แกะทั้งตัว  มัดขาหน้าของมันติดกับไม้  ยืดตัวของมันออกและมัดขาหลังของมันเข้ากับไม้ที่เป็นรูปกางเขน อยู่ในลักษณะเช่นเดียวกับที่พระเยซูเจ้าทรงอยู่บนไม้กางเขน แล้วนำไปวางไว้บนเตาย่างพร้อมกับแกะอีกสามตัวที่นำมาจากพระวิหาร”
ส่วนการแต่งกายของบรรดาศิษย์  พวกเขาสวมเสื้อในยาวสีขาวและมีเสื้อคลุมทับ  สำหรับโต๊ะที่จัดเลี้ยงนั้นเป็นโต๊ะแคบๆรูปร่างคล้ายเกือกม้า “ด้านตรงข้ามกับพระเยซูเจ้า คือส่วนที่อยู่ด้านในของเกือกม้าที่เป็นรูปครึ่งวงกลม  มีพื้นที่ว่างบนโต๊ะพอที่จะวางจานได้”

การเลี้ยงปาสกา มีอาหารเป็นผักสีเขียววางบนจาน จานอีกใบหนึ่งเป็นผักประเภทสมุนไพร นอกจากนี้ก็มีเครื่องปรุงซอสสีน้ำตาลด้วย  ข้างหน้าของแขกจะมีขนมปังกลมวางอยู่แทนที่จะเป็นจาน”
อันนาได้บรรยายถึงลักษณะการสวดภาวนาของพระเยซูเจ้า  และการที่ทรงสอนถึงพิธีกรรมมิสซาครั้งแรกนี้แก่บรรดาศิษย์  เธอบรรยายการล้างมือและการร้องเพลงสวดของพวกเขา
“พระพักตร์ขององค์พระผู้ไถ่มีความสงบอย่างที่สุดซึ่งไม่อาจบรรยายได้ และฉันไม่เคยเห็นพระองค์ในลักษณะเช่นนี้มาก่อนเลย  พระองค์ทรงทำให้บรรดาศิษย์ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง พระนางพรหมจารีย์ก็เช่นเดียวกัน ขณะที่ทรงประทับบนโต๊ะ (อีกห้องหนึ่ง)พร้อมกับพวกผู้หญิง ทุกคนพากันเงียบและอยู่ในความสงบ  เมื่อมีผู้หญิงเข้ามาในห้อง เธอจะใช้มือดึงผ้าคลุมปิดศีรษะและกล่าวทักทาย  การเคลื่อนไหวจะเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและสงบเงียบ”
เมื่อถึงเวลาสำคัญของการตั้งศีลมหาสนิท  อันนา อัมเมอริก เล่าสิ่งที่เธอเห็นในนิมิต จุดกำเนิดของพิธีกรรมของมิสซา เธอเล่าว่า “แล้วพระเยซูเจ้าทรงดึงเอาแผ่นไม้แผ่นหนึ่งมาจากที่ตั้งของมัน ทรงเปิดผ้าลินินที่คลุมจอกกาลิกษ์อยู่  ทรงแผ่ผ้าลินินบนแผ่นไม้  ฉันเห็นพระองค์ทรงยกจานกลมที่ปิดจอกกาลิกษ์อยู่ออก  แล้วพระองค์ทรงหยิบขนมปังไร้เชื้อที่อยู่ใต้ผ้าลินินซึ่งคลุมอยู่ ทรงวางขนมปังนั้นไว้เบื้องหน้าพระองค์บนแผ่นไม้  ต่อมาพระองค์ทรงนำเอาภาชนะเล็กๆที่อยู่บนจอกกาลิกษ์ออกไป  และจัดเรียงถ้วยแก้วเล็กๆหกใบไว้ด้านข้างแต่ละข้างของจอกกาลิกษ์  แล้วพระองค์ทรงอวยพรขนมปังและอวยพรน้ำมันด้วย หลังจากนั้นพระองค์ยกจานซึ่งมีขนมปังวางอยู่ขึ้นด้วยสองมือของพระองค์ ทรงเงยพระพักตร์สวดภาวนา ถวาย และวางจานขนมปังไว้บนโต๊ะ แล้วเอาผ้าลินินมาปิดไว้ดังเดิม”
"ขณะที่พระองค์ทรงหักขนมปัง  ดูราวกับว่าพระกายของพระองค์เปลี่ยนไป เกือบจะโปร่งใสเหมือนกับ “เงาที่สว่างโชติช่วง” พระองค์ทรงนำส่วนของขนมปังที่บิออกจุ่มลงในจอกกาลิกษ์ (ตามที่มีเขียนไว้ในพระวรสาร)  ขณะที่พระองค์ทรงทำเช่นนี้  ฉันเห็นพระแม่มารีย์ซึ่งอยู่อีกห้องหนึ่งทรงรับศีลศักดิ์สิทธิ์นี้ทางด้านจิตวิญญาณ  ฉันไม่รู้ว่าพระนางทรงทำได้อย่างไร? แต่ฉันคิดว่า ฉันเห็นพระนางทรงเข้าไปในห้องงานเลี้ยงโดยที่เท้าไม่ได้สัมผัสพื้นห้อง  และทรงมาอยู่เบื้องพระพักตร์พระเยซูเจ้าเพื่อรับศีลศักดิ์สิทธิ์นี้ ภายหลังจากนั้นฉันก็ไม่เห็นพระนางอีกเลย”
เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสว่า “จงนำไปกินเถิด นี่คือกายของเรา” พระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์ขวาออกไปข้างหน้าราวกับว่าพระองค์ทรงอวยพระพร และขณะที่พระองค์ทรงทำเช่นนี้ มีแสงสว่างเจิดจรัสออกมาจากพระองค์”
เมื่อถึงเวลาสำคัญของการตั้งศีลมหาสนิท  
“ผู้ที่รับศีลศักดิ์สิทธิ์เป็นคนแรกคือเปโตร” อันนาบรรยาย “ต่อมาคือยอห์น (แม้ว่าในภายหลังเธอเล่าว่า เธอเห็นยอห์นรับศีลเป็นคนสุดท้าย นี่เป็นการเปิดเผยที่ไม่สมบูรณ์แบบเท่าไรนัก )  พระคริสต์ทรงแสดงพระองค์และสถาปนาพระศาสนจักรด้วยวิธีการที่เหลือเชื่อเช่นนี้
พระเยซูเจ้ายังทรงทำการบวชพระสงฆ์ครั้งแรกด้วย  ตามคำบอกเล่าของอัมเมอริก  พระเยซูเจ้าทรงอธิบายเกี่ยวกับสังฆภาพของพระสงฆ์แก่บรรดาศิษย์ ทรงอธิบายถึงการเจิมน้ำมันและการเตรียมน้ำมันศักดิ์สิทธิ์ด้วย  ซึ่งสอดคล้องกับข้อเขียนของพระสันตปาปาเฟเบียนที่กล่าวว่า – พระเยซูเจ้าทรงสอนบรรดาศิษย์ของพระองค์ถึงวิธีการเตรียมน้ำมันศักดิ์สิทธิ์
“ฉันจำไม่ได้ว่าได้เห็นพระเยซูเจ้าทรงกินและดื่มสิ่งที่ทรงเสกหรือไม่”อัมเมอริกเล่า ภายหลังจากนั้นก็เป็นการบวชพระสงฆ์ “ฉันเห็นพระเยซูเจ้าทรงเจิมน้ำมันให้เปโตรและยอห์น ทรงเทน้ำลงบนมือของพวกเขา และอัครสาวกอีกสองคน พระองค์ทรงให้พวกเขาดื่มจากจอกกาลิกษ์  แล้วพระองค์ทรงวางพระหัตถ์บนบ่าและศีรษะของพวกเขา  บรรดาอัครสาวกทั้งหมดต่างจับมือต่อๆกันและก้มศีรษะคำนับพระเยซูเจ้า  ฉันไม่แน่ใจว่าพวกเขาได้คุกเข่าลงด้วยหรือเปล่า?  พระเยซูเจ้าทรงเจิมน้ำมันที่นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ของแต่ละคน และทรงทำเครื่องหมายกางเขนบนศีรษะของพวกเขาด้วยน้ำมันศักดิ์สิทธิ์ พระองค์ตรัสด้วยว่าสิ่งเหล่านี้จะคงอยู่กับพวกเขาไปจวบจนสิ้นโลก”
ตามการบอกเล่าของอัมเมอริก ยูดา (องค์เล็ก) แอนดรู ยูดา (องค์ใหญ่) และบาร์โทโลมิวได้รับการเจิมด้วย สิ่งที่พวกเขาได้รับและสัมผัสได้นั้นเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติซึ่งไม่อาจพรรณาได้  ต่อมาในวันพระจิตเสด็จลงมา เปโตรและยอห์นได้วางมือของเขาบนศีรษะอัครสาวกคนอื่นๆ  อีกสัปดาห์ต่อมาพวกเขาก็ได้วางมือบนศีรษะบรรดาศิษย์คนอื่นๆด้วย  หลังจากการกลับคืนพระชนม์ของพระเยซูเจ้าแล้ว  ยอห์นเป็นผู้ส่งศีลมหาสนิทให้แก่พระแม่มารีย์
อันนา อัมเมอริกเล่าต่อไปว่า  พระเยซูเจ้าทรงทำพิธีต่อไปด้วยการอวยพรไฟซึ่งอยู่ในภาชนะทองแดง  ภาชนะนั้นถูกเก็บรักษาไว้โดยวางอยู่ใกล้ๆกับจุดที่พระองค์ทรงวางศีลศักดิ์สิทธิ์
อันนา อัมเมอริกเล่าต่อไป หลังจากการเลี้ยงอาหารค่ำนี้แล้ว  พระเยซูเจ้าเสด็จไปที่สวนเก็ธเซเมนี ทรงโศกเศร้าเจียนตายและนี่เป็นการถูกตรึงกางเขนฝ่ายจิตใจของพระองค์
************************
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น