วันอาทิตย์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2566

หอบาเบลแห่งยุคปัจจุบัน

 
 

โดย DEACON FRANK(สังฆานุกร)
 
ในปัจจุบันนี้, มนุษยชาติกำลังเก็บเกี่ยวผลที่ตามมาที่เป็นอันตรายของลัทธิสัมพัทธ์นิยมและความคิดของความจริงเชิงอัตวิสัย ในทางกลับกัน,เรากำลังสร้างความเสียหายอย่างใหญ่หลวงต่อวัฒนธรรมของเราในแบบที่ใครๆก็คาดไม่ถึงเพียงไม่กี่ทศวรรษที่ผ่านมา แต่เรามาถึงยุคปัจจุบันนี้ได้อย่างไร? ผมมีคำอธิบายที่เป็นไปได้ เริ่มต้นด้วยเรื่องราวจากหนังสือปฐมกาล
 
ในตอนแรก ชาวโลกทุกคนพูด “ภาษาเดียวกัน ใช้ถ้อยคำเดียวกัน” (ปฐก.11:1) จากนั้นผู้คนในโลกก็อพยพจากทิศตะวันออกไปยังหุบเขาในดินแดนชินาร์ พวกเขากล่าวว่า “มาเถิด เราจงสร้างเมืองและสร้างหอให้ยอดสูงเทียมฟ้า เราจงสร้างชื่อเสียงไว้” (ปฐมกาล 11:4) นี่คือความเย่อหยิ่งในระดับที่เทียบได้กับบิดามารดาคู่แรกของเราที่เชื่อคำโกหกของซาตาน "ท่านจะเป็นเหมือนพระเจ้า" (ปฐก 3: 5)
 
พระเจ้าทรงไม่สบายใจอย่างมากในความเย่อหยิ่งของพวกเขา และทรงดำเนินการเพื่อยุติแผนการของพวกเขาอย่างรวดเร็ว พระองค์ตรัสว่า “มาเถิด เราจงลงไปทำให้ภาษาของมนุษย์สับสนวุ่นวาย จนเขาไม่เข้าใจกันอีกต่อไป พระยาห์เวห์จึงทรงกระทำให้พวกเขากระจัดกระจายจากที่นั่นไปทั่วแผ่นดิน พวกเขาจึงเลิกสร้างเมือง ดังนั้นเมืองนี้จึงมีชื่อว่าบาเบล เพราะที่นั่นพระยาห์เวห์ทรงกระทำให้ภาษาทั่วแผ่นดินสับสนวุ่นวาย” (ปฐก 11: 7-9)
 
ลองนึกภาพความโกรธของซาตานต่อการแทรกแซงของพระเจ้า! ผมแน่ใจว่ามันได้ทำงานอย่างไม่เหน็ดเหนื่อยเพื่อปลูกฝังความเย่อหยิ่งในระดับนี้ให้กับมนุษย์ และเมื่อเห็นการกระทำอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเจ้าเพียงครั้งเดียว งานของมันก็กลายเป็นซากปรักหักพัง!
 
จะเกิดอะไรขึ้นถ้าซาตานสามารถสร้างความสำเร็จที่คล้ายกันกับหอบาเบลได้? ไม่ใช่ในทันที และไม่ใช่โดยการเปลี่ยนภาษาของมนุษย์ดังที่พระเจ้าได้ทรงกระทำ แต่โดยการสร้างความสับสนในภาษาให้กลายเป็นสิ่งที่ไม่มีความหมาย? จะเกิดอะไรขึ้นถ้ามันสามารถเปลี่ยนความหมายของภาษาโดยเปลี่ยนความหมายที่แท้จริงของคำเหล่านั้นได้?
 
และลองสมมติว่าซาตานเก็บแผนการอันชั่วร้ายนี้ไว้ ในช่วงเวลาที่สถานการณ์สุกงอมเพื่อความสำเร็จ! สมมติฐานนี้เป็นหัวข้อของบทความนี้
 
“ยุคแห่งเหตุผล”( Age of Reason) ซึ่งเริ่มต้นในศตวรรษที่ 17 และตามมาอย่างใกล้ชิดด้วยยุคเรืองปัญญา(Enlightenment period)ของศตวรรษที่ 18 ทำให้เกิดกระบวนการคิดเชิงวิพากษ์ซึ่งเน้นความสำคัญของเหตุผล ตรรกะ และหลักฐานทางวิทยาศาสตร์ ในกระบวนการนี้ เหตุผลถูกแยกออกจากความเชื่อบนสมมติฐานที่ว่าความเชื่อไม่สามารถพิสูจน์ได้ และด้วยเหตุนี้จึงต้องถูกปฏิเสธ สิ่งนี้ทำให้หลายคนปฏิเสธความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์ และปฏิเสธการสิ้นพระชนม์อันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ และการฟื้นคืนพระชนม์อันรุ่งโรจน์ของพระองค์! นอกจากนี้ยังส่งผลให้มีบางคนตั้งคำถามถึงการดำรงอยู่ของพระเจ้าด้วย
 
ประวัติศาสตร์ช่วงนี้ยังเรียกโดยนักประวัติศาสตร์ว่า "ความทันสมัย"(modernity) หรือยุคสมัยใหม่ และปรัชญาสุดโต่งที่แพร่หลายในยุคนี้เรียกว่า”ลัทธิสมัยใหม่นิยม”โดยสมัครพรรคพวกของมัน พระสันตะปาปาปิโอที่ 10 ทรงประณามหลักคำสอนพื้นฐานหลายประการของลัทธิสมัยใหม่ว่าเป็นเรื่องนอกรีต พระองค์ทรงเขียนสมณสาส์นอันโด่งดังชื่อ “การประณามข้อผิดพลาดของพวกสมัยใหม่”(“Syllabus Condemning the Errors of the Modernists.”)
 
ในสองย่อหน้าตอนต้นของสมณสาส์น,พระสันตะปาปาปีโอที่ 10 ทรงเขียนอย่างจริงจังเพื่อต่อต้านข้อผิดพลาดเหล่านี้ โดยกล่าวว่า:
 
“ด้วยผลลัพธ์ที่น่าเศร้าอย่างแท้จริง, ยุคของเราละทิ้งความยับยั้งชั่งใจในการค้นหาสาเหตุที่แท้จริงของสิ่งต่างๆ, บ่อยครั้งแสวงหาสิ่งแปลกใหม่อย่างกระตือรือร้นจนปฏิเสธมรดกของเผ่าพันธุ์มนุษย์ ดังนั้นมันจึงตกอยู่ในข้อผิดพลาดร้ายแรง, ซึ่งร้ายแรงยิ่งกว่านั้นเมื่อพวกเขาเกี่ยวข้องกับสิทธิอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ นั่นคือการตีความพระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์ และความล้ำลึกแห่งข้อความเชื่อ...ในนามของความรู้ที่สูงกว่าและการวิจัยทางประวัติศาสตร์ (พวกเขากล่าวว่า) พวกเขากำลังมองหา ความก้าวหน้าของหลักคำสอน ซึ่งแท้จริงแล้วไม่มีอะไรนอกจากความเสื่อมทรามของหลักคำสอนของพวกเขา
 
ข้อผิดพลาดเหล่านี้แพร่กระจายไปในหมู่ผู้มีความเชื่อทุกวัน เกรงว่าจะครอบงำจิตใจของผู้ซื่อสัตย์และทำลายความบริสุทธิ์แห่งความเชื่อของพวกเขา พระสันตะปาปาปิโอที่ 10 โดยพระญาณเอื้ออาทรของพระเจ้า, ได้ตัดสินพระทัยว่าควรสังเกตและประณามข้อผิดพลาดหลักๆเหล่านี้”
 
ซึ่งพระสันตปาปาปิโอที่ 10 ได้ดำเนินการเปิดเผยและประณามในเอกสารสำคัญของพระศาสนจักรนี้ ในฐานะพระสมณสาส์น สมณสาส์นนี้ประกอบด้วยอำนาจการสั่งสอนสูงสุดของพระสันตะปาปาและโดยความไม่ผิดพลาดของพระสันตปาปาด้วย
 
อาจเป็นไปได้ว่าผลลัพท์ที่เลวร้ายที่สุดที่ผลิตโดยลัทธิสมัยใหม่นิยมคือปรัชญาของลัทธิคอมมิวนิสต์, ที่ซึ่งรัฐเข้ามาแทนที่พระเจ้า การที่ชีวิตของผู้ที่มีชีวิตอยู่และในหลายกรณีเสียชีวิตภายใต้การปกครองของคอมมิวนิสต์,เป็นเครื่องยืนยันถึงความเป็นจริงที่โหดร้ายของชีวิตที่ไม่มีพระเจ้า สิทธิทั้งหมดของบุคคลนั้นถูกเพิกถอนทั้งหมดในนามของรัฐ "พระเจ้า" องค์ใหม่ของพวกเขา
 
แม่พระแห่งฟาติมาทรงเตือนเราถึงการแพร่กระจายที่เป็นอันตรายนี้! แต่เราไม่ได้ใส่ใจคำเตือนของพระนางอย่างเพียงพอ โดยเฉพาะพระสันตะปาปาในยุคนั้นซึ่งแม่พระทรงประทานยารักษาให้แล้วแต่พระองค์ไม่ปฏิบัติตาม ซึ่งได้แก่การถวายประเทศรัสเซียแด่ดวงพระหทัยนิรมลของพระนางมารีย์โดยพระสันตปาปาและบรรดาพระสังฆราชทั่วโลก และเวลานี้, หลักคำสอนหลายประการของลัทธิคอมมิวนิสต์ และหลักคำสอนของลัทธิสังคมนิยมรุ่นแรกที่อายุน้อยกว่าและดูอ่อนกว่า ได้แพร่กระจายไปยังประเทศของเราเอง และในทุกระดับของวัฒนธรรมของเรา
 
ในช่วงกลางศตวรรษที่ 20 ซาตานได้เห็นผลลัพธ์ที่ความพยายามร่วมกันของพวกมันได้ก่อให้เกิดขึ้นผ่านการประกาศใช้ลัทธิสมัยใหม่นิยม แผนการณ์ของมันทำงานได้ผลดีทั้งในเรื่องจังหวะเวลาและผลลัพท์ หลักคำสอนที่ผิดพลาดของลัทธิสมัยใหม่นิยมได้เอาชนะจิตใจของผู้คนมากมายจนผู้คนมากมายต้องพินาศ ในระยะแรก,ซาตานเห็นว่าสิ่งนี้มีประสิทธิผล แต่ท้ายที่สุดแล้ว,ก็ไม่เด็ดขาดในการบรรลุเป้าหมายสูงสุดของมัน ในที่สุด,มันก็คิด (ภายใต้สมมติฐานของผม) ว่าสถานการณ์กำลังสุกงอมสำหรับขั้นตอนต่อไปและขั้นตอนสุดท้ายของแผนการณ์ของมันคือ ต้องสร้างความคิดใหม่ขึ้นมา,ด้วยวิธีที่น่ากลัว,คือแบบจำลองหอคอยแห่งบาเบล Copy of Tower of Babel ยุคใหม่!
 
ซาตานได้วางแผนระยะที่สองนี้มาระยะหนึ่งแล้ว ขั้นตอนสุดท้ายนี้จะทำลายล้างสังคมมากกว่าที่ลัทธิสมัยใหม่นิยมเคยทำมา ระยะนี้เรียกว่ายุคหลังสมัยใหม่ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่เราอาศัยอยู่ในปัจจุบันนี้ ผมกล้าพูดเลยว่ามีเพียงไม่กี่คนที่จะหลีกเลี่ยงผลข้างเคียงของมันได้! และเช่นเดียวกับโรคอื่นๆ, บ่อยครั้งผู้ที่ติดเชื้อมักไม่รู้ว่าตนเองติดโรค จนกว่าจะสายเกินไป คำสอนหลักของยุคใหม่นี้มีศูนย์กลางอยู่ที่ “ความจริงเชิงอัตวิสัย” เริ่มต้นในมหาวิทยาลัยโดยและในบรรดาอาจารย์สอนปรัชญาที่พัฒนาหลักคำสอนพื้นฐานและเริ่มสอนในห้องเรียนตั้งแต่กลางศตวรรษที่ 19 เช่นเดียวกับการปลูกฝังวัฒนธรรมในห้องปฏิบัติการ ปรัชญาใหม่นี้จะต้องใช้เวลาและความขยันหมั่นเพียรในการปลูกฝังผู้นับถือที่มุ่งมั่นอย่างเต็มที่และสุดขั้ว!
 
(หมายเหตุ - ความจริงเชิงอัตวิสัย - คือความจริงที่เกิดจากมุมมอง ความรู้สึก หรือความคิดเห็นของบุคคล ทุกสิ่งที่เรารู้นั้นขึ้นอยู่กับข้อมูลที่เราป้อน - ความรู้สึกของเรา การรับรู้ของเรา ดังนั้นทุกสิ่งที่เรารู้จึงเป็นอัตวิสัย ความจริงทั้งหมดเป็นเรื่องส่วนตัว หรือความจริงมาจากสิ่งที่เราถูกสั่งสอนมา ดังนั้นความจริงจึงอาจเปลี่ยนแปลงได้ ซึ่งต่างกับ objective truth- ความจริงเชิงวัตถุวิสัย ซึ่งกล่าวว่า ความจริงไม่มีเปลี่ยนแปลง ความจริงย่อมเป็นความจริงเสมอ ไม่ว่าเราจะเชื่ออย่างไร)
 
ความเข้าใจแบบ Judeo-Christian (หมายถึงกลุ่มของคริสตชนและยูดายรวมกัน) ที่ค้านกับความจริงเชิงอัตวิสัยก็คือความจริงมีอยู่ภายนอกเรา และพระเจ้าได้ประทานมโนธรรมแก่เราในการมองเห็นความจริงของพระองค์ และนำหลักการแห่งความจริงอันเที่ยงธรรมของพระองค์มาประยุกต์ใช้กับสถานการณ์ในชีวิตประจำวันของเรา เพื่อให้มีชีวิตที่ดีและมีศีลธรรม
 
ในยุคหลังสมัยใหม่ ผู้ยึดถือปรัชญาใหม่นี้ท้าทายแนวคิดเรื่องความจริงเชิงวัตถุวิสัย(objective truth) และท้ายที่สุดก็ปฏิเสธมันโดยอ้างว่าไม่สามารถพิสูจน์ได้! พวกเขาให้เหตุผลผิดๆว่าถ้าความจริงเป็นสิ่งที่ไม่รู้ และพิสูจน์ไม่ได้ ก็ต้องไม่เป็นความจริง! การใช้เหตุผลที่ผิดพลาดของพวกเขาฟังดูคุ้นเคยไหม? ปรัชญาใหม่ที่สร้างขึ้นจากคำโกหก! คำว่า “ความจริงคืออะไร” ที่ปอนทิอัส ปิลาต ถามพระเยซูในการพิจารณาคดีของเขา สามารถใช้เป็นคำขวัญของพวกเขาได้เป็นอย่างดี! และเวลานั้นปีลาตก็จ้องหน้าองค์ความจริงเมื่อเขาพูดอย่างนั้น!
 
จากนั้นพวกเขาก็ก้าวกระโดดทางปรัชญาครั้งใหญ่โดยอาศัยหลักฐานเท็จเกี่ยวกับความจริง นอกเหนือจากการใช้เหตุผลที่ผิดพลาด พวกเขาแย้งว่าหากไม่มีความจริงที่เป็นรูปธรรม ก็ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าจริยธรรม ไม่มีถูกหรือผิดในการกระทำของตน ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องมีมโนธรรม ดังนั้น จึงไม่มีบาป เมื่อไม่มีบาป ก็ไม่จำเป็นต้องมีพระผู้ช่วยให้รอด การปฏิเสธความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์และการฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์ ซึ่งเริ่มต้นภายใต้แนวคิดสมัยใหม่ ได้รับการเสริมกำลังเพิ่มเติม
 
สิ่งที่อาจารย์ปรัชญาที่ยึดถือความคิดนี้,ได้สอนแก่นักศึกษาก็คือ เมื่อละทิ้งความจริงเชิงวัตถุวิสัย(Objective truth)แล้ว สิ่งที่เหลืออยู่คือการที่แต่ละคนต้องฝึกฝนและแสวงหาความจริงของตนเอง ในสาระสำคัญ สัมพัทธภาพและความจริงเชิงอัตวิสัยครอบงำ (ความคิดสัมพัทธภาพและความจริงเชิงอัตวิสัยเป็นความแตกต่างที่ไม่มีอะไรมาก มีความแตกต่างกัน แต่เนื่องจากมีการใช้สลับกันบ้างในสังคมของเรา ผมจึงเลือกที่จะอ้างอิงทั้งสองอย่างในบทความนี้) ด้วยการขจัดความถูกและความผิดโดยสิ้นเชิง ความปรารถนาของมนุษยชาติจึงเป็นอิสระและไม่ถูกตรวจสอบเพื่อไล่ตามความปรารถนาทางกิเลสตัณหาของพวกเขา!
 
ในท้ายที่สุดและในการวิเคราะห์ขั้นสุดท้าย, ความเชื่อในความจริงเชิงอัตวิสัยนำไปสู่ "ความจริง" ที่เป็นไปได้มากมาย ซึ่งจะนำไปสู่ความขัดแย้งระหว่างประชาชน และนำไปสู่ความสับสนวุ่นวายในที่สุด ซึ่งเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อผู้คนไม่สามารถสื่อสารได้อย่างมีประสิทธิภาพ และอาจพูดได้ว่า หอคอยแห่งบาเบล Tower of Babel ได้มาเยือนแล้ว!
 
เรา,ในฐานะมนุษย์,สื่อสารกันผ่านทางคำพูด การใช้คำพูดเพื่อถ่ายทอดความคิดและความรู้สึกของเรา แต่หากไม่มีความจริงที่เป็นรูปธรรม, ความหมายของคำเหล่านั้นก็มักจะถูกปล้นไปจากแก่นแท้ของคำเหล่านั้น
 
คำพูดที่เราใช้ถ่ายทอดความคิดจะกลายเป็นความไม่แน่นอนถ้าปราศจากความจริงเชิงวัตถุวิสัย(Objective truth) เนื่องจากสามารถนำไปใช้ในความหมายที่หลากหลายได้ เพราะเป็นความจริงเชิงวัตถุวิสัย(Objective truth)ต่างหากที่ให้ความมั่นคงและความแน่นอนในการพูดของเรา ตามภาพพจน์ที่กล่าวมานี้,ผมจะเปรียบเทียบความจริงเชิงวัตถุวิสัย(Objective truth)กับไจโรสโคปที่ให้ความเสถียรแก่ดาวเทียม หากไม่มีไจโรสโคปที่ทำงาน, ดาวเทียมก็จะทำงานผิดปกติเนื่องจากไม่สามารถรักษาจุดคงที่บนพื้นโลกได้ ซึ่งจำเป็นสำหรับการสื่อสารระดับโลก ในทำนองเดียวกัน ความสามารถของเราในการสื่อสารระหว่างกันจะถูกประนีประนอมโดยปราศจากความจริงที่เป็นรูปธรรมซึ่งจัดให้มีรูปแบบการตรึงแบบเดียวกัน
 
ตัวอย่างเช่น มีคนพูดว่า “ฉันต่อต้านการฆ่าผู้บริสุทธิ์ แต่ฉันเชื่อในสิทธิในการเลือกของผู้หญิง” เด็กไม่ใช่ผู้บริสุทธิ์หรอกหรือ? ความขัดแย้งที่ชัดเจนนี้มาจากการยึดถือในความจริงเชิงอัตวิสัย และควรหรือที่พวกเขาโต้แย้งกันว่าเด็กไม่ใช่บุคคล เราจะอธิบายการเคลื่อนไหวในปัจจุบันภายในสภานิติบัญญัติของรัฐอย่างน้อยสามแห่งเพื่ออนุญาตให้ผู้หญิงคนหนึ่งทำแท้งได้อย่างไร โดยปรึกษากับแพทย์ของเธอ ให้สามารถฆ่าชีวิตเด็กที่เกิดมาได้ 28 วันนับจากตั้งครรภ์ ซึ่งมีผลต่อสุขภาพของเด็กที่มีอยู่ก่อนเกิด คำว่าป่าเถื่อนเป็นคำพูดที่ยังน้อยที่สุด; ความชั่วร้ายไม่เคยหยุดนิ่ง
 
ด้วยการปฏิเสธจริยธรรมในความจริงเชิงวัตถุวิสัยและด้วยการละทิ้งเหตุผล, ความไร้สาระและความเลวทรามได้กลายเป็นบรรทัดฐาน! แท้จริงแล้ว, ความคิดริเริ่มเกือบทั้งหมดภายใน woke movement,สามารถโยงไปถึงความจริงเชิงอัตวิสัยและสัมพัทธภาพในฐานะแหล่งที่มาและเป็น "แรงบันดาลใจ"!
 
สำหรับผู้ที่ยึดติดกับความจริงเชิงอัตวิสัย, พวกเขาเชื่อในเรื่องโกหกที่ซาตานเคยล่อลวงบิดามารดาคู่แรกของเรา “ท่านสามารถเป็นเหมือนพระเจ้าได้” เพราะพระเจ้าไม่ได้ทรงเป็นแหล่งกำเนิดของความจริงอีกต่อไป แต่มนุษย์เองเป็นผู้กำหนด “สิ่งที่เป็นความจริง” เหตุผลและตรรกะซึ่งมีคุณค่าสูงและเน้นย้ำในปรัชญาของลัทธิสมัยใหม่, ไม่มีที่ในปรัชญาความจริงเชิงอัตวิสัยยุคหลังสมัยใหม่นี้
 
แล้วจะทำอะไรได้บ้างเพื่อเปลี่ยนทิศทางของกระแสน้ำนี้? เช่นเดียวกับในกรณีทางการแพทย์ เมื่อแพทย์ตรวจผู้ป่วยที่รู้สึกไม่สบาย ขั้นตอนแรกในการจัดการกับความเจ็บป่วยใดๆ ก็ตามคือการวินิจฉัยสิ่งที่ผู้ป่วยป่วย ตามด้วยแนวทางการรักษา
 
ถ้าผมพูดถูก, ความจริงเชิงอัตวิสัยก็คือความเจ็บป่วย และสามารถรักษาได้ก็ต่อเมื่อเรารับรู้เช่นนั้น แต่ต้องได้รับการรักษาแบบใดล่ะ? ผมขอแนะนำขั้นตอนที่จับต้องได้สามขั้นตอนที่เราแต่ละคนสามารถทำได้เพื่อรักษาความเจ็บป่วย สามขั้นตอนเหล่านี้คือ:
 
การตรวจและประเมินตนเองอย่างจริงใจเพื่อพิจารณาว่าตัวเราเองอาจติดเชื้อจากโรคนี้ได้อย่างไร
 
ถ้าเราตระหนักว่าเรา "ติดเชื้อ" ก็จำเป็นต้องดำเนินการเพื่อกำจัดมันออกไปจากชีวิตของเราเอง นั่นจะคล้ายกับ “จงเอาท่อนซุงออกจากดวงตาของท่านก่อนเถิด แล้วจะได้เห็นได้ชัดก่อนไปเขี่ยเศษฟางออกจากดวงตาของพี่น้อง” (มธ 7:5)
 
สุดท้าย,คือการเชื่อมโยงอาการของโรคกับการเจ็บป่วย ในความคิดของผม, สิ่งนี้สำคัญอย่างยิ่ง!
 
เราเล่นเกมตั้งรับและเราไม่ตระหนักรู้ถึงเรื่องนี้ด้วยซ้ำ สิ่งที่ผมหมายถึงก็คือเราเพียงแต่ถือว่าการกระทำของพวกเขาเป็นสิ่งที่ผิด,โดยยึดตามหลักจริยธรรมที่พวกเขามองข้ามโดยสิ้นเชิง เราจะไม่ก้าวหน้าจนกว่าเราจะเน้นข้อผิดพลาดของความจริงเชิงอัตวิสัยโดยการเปิดเผยอาการต่างๆมากมายของมัน การเชื่อมโยงอาการกับสาเหตุเป็นสิ่งสำคัญ รักษาตามอาการไม่ทำให้หายโรค! เราต้องระบุสาเหตุที่ซ่อนอยู่ซึ่งก็คือ - ความคิดแบบความจริงเชิงอัตวิสัยและสัมพัทธภาพ
 
จุดอ่อนประการหนึ่งในแผนของซาตานก็คือพระเจ้าประทานพลังในการหาเหตุผลแก่มนุษย์ ดังที่ผมได้กล่าวไปแล้ว, เหตุผลไม่อยู่ในหลักการของความจริงเชิงอัตวิสัย ซึ่งจะก่อให้เกิดความขัดแย้งภายในมโนธรรมของแต่ละบุคคลไม่ว่าบุคคลนั้นจะยอมรับว่าตนมีหรือไม่ก็ตาม ในความคิดของผม, มันกำลังเกิดขึ้นแล้ว,แม้เพียงผิวเผินในตอนนี้
 
ใช่แล้ว, มโนธรรมถ้าไม่ออกกำลังบ้างอย่างเหมาะสมก็จะเหี่ยวเฉาและตายไป แต่คนส่วนใหญ่แม้กระทั่งทุกวันนี้, ยังคงมีความรู้สึกถึงความถูกและความผิดอยู่แม้ว่า “ความรู้สึก” นั้นจะมีข้อบกพร่องก็ตาม ท้ายที่สุดแล้ว, ผลร้ายที่เกิดจากความคิดแบบสัมพัทธภาพและความจริงเชิงอัตวิสัยจะทำให้มีการตรวจสอบการเลือกที่เราและคนทั่วไปต้องตัดสินใจใหม่อีกครั้ง แน่นอนว่ายิ่งมีการตรวจสอบเร็วเท่าไรก็ยิ่งดีเท่านั้น นั่นคือเหตุผลที่เราต้องลงมือทำทันที!
 
ผมเชื่อว่าปัญหาหนึ่งที่หลายคนมองว่าเป็นผลไม้ที่เลว, แต่พวกเขาอาจยังไม่รู้ว่าต้นไม้ต้นนี้มาจากไหน คืออาชญากรรมที่ลุกลามเข้าปกคลุมเมืองของเราในปัจจุบันนี้ เมื่อกฎหมายที่ผ่านโดยสภานิติบัญญัติเพื่อปกป้องผลประโยชน์ส่วนรวม,ถูกเจ้าหน้าที่ผู้ใช้กฎหมายไม่สามารถบังคับใช้ได้ เราต้องเชื่อมโยงการกระทำเหล่านี้หรือการไม่กระทำการก็แล้วแต่, กับแหล่งที่มาของมันซึ่งก็คือความจริงเชิงอัตวิสัย!
 
แต่เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งที่เราต้องพยายามซ้ำแล้วซ้ำเล่าเพื่อสร้างความเชื่อมโยงระหว่างผลไม้ที่ไม่ดีที่เกิดจากการเลือกของพวกเขา, กับแหล่งที่มาซึ่งก็คือความคิดเชิงสัมพันธ์และความจริงเชิงอัตวิสัย! ขอเน้นย้ำอีกครั้ง!
 
พระเยซูตรัสว่า “เราเป็นหนทาง ความจริง และชีวิต ไม่มีใครไปเฝ้าพระบิดาได้นอกจากผ่านทางเรา” (ยน 14: 6) ความจริงไม่ใช่อุดมคติมากนัก,เนื่องจากพระบุคคลและพระนามของพระองค์คือพระเยซูคริสต์ ผู้ทรงเป็นพระผู้เป็นเจ้าและผู้ช่วยให้รอด! เมื่อผู้คนปฏิเสธการดำรงอยู่ของ objective truth พวกเขาก็ปฏิเสธการดำรงอยู่ของพระคริสต์ด้วย!
 
ซาตานใช้วิธีการล่อลวงแบบเดิมๆซ้ำแล้วซ้ำอีก “ท่านสามารถเป็นเหมือนพระเจ้าได้” ให้เกิดผลอย่างมาก เพื่อขยายแผนการอันชั่วร้ายสำหรับการล่มสลายของพวกเรา จนกว่าเราจะวาง objective truth กลับคืนยังที่เดิมของมัน ควบคู่ไปกับการปลูกฝังมโนธรรมที่มีรูปแบบที่ดี เราจะยังคงได้รับความทุกข์อันเป็นผลที่ตามมาจากการกินผลไม้ที่ไม่ดีของความคิดสัมพัทธภาพและความจริงเชิงอัตวิสัย
 
ในจดหมายถึงชาวฮีบรูกล่าวว่า “พระเยซูคริสตเจ้าทรงเหมือนเดิมทั้งอดีต ปัจจุบัน และตลอดไป อย่าปล่อยให้คำสอนแปลกๆนานาชนิดมาหลอกลวงท่าน” พระเยซูคริสต์ผู้ทรงเป็นความจริงไม่เคยเปลี่ยนแปลงเหมือนพระวจนะของพระองค์ไม่เคยเปลี่ยนแปลง ด้วยการปฏิเสธการดำรงอยู่ของความจริงตามวัตถุวิสัย(objective truth) เราได้ยอมรับคำสอนแปลกๆทุกรูปแบบ!
 
ขอให้เรารักษาดวงพระหฤทัยอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้าและดวงหทัยนิรมลของพระนางมารีย์ไว้ในใจของเราเสมอ,ให้เป็นสถานที่หลบภัยที่ปลอดภัย, ในขณะที่เราเข้าสู่การต่อสู้ขั้นเด็ดขาดกับมังกรแดงแห่งพระวิวรณ์เพื่อพิชิตความคิดสัมพัทธภาพและความจริงเชิงอัตวิสัยด้วยพระหรรษทานของพระเจ้า
 
************************
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น