ไดอารี่1753 : ในเวลาเย็น, พระเยซูทรงประทานหัวข้อแก่ฉันเพื่อพิจารณาไตร่ตรอง ในตอนแรก, หัวใจของฉันเต็มไปด้วยความกลัวและความสุข จากนั้นฉันก็นำตัวเองให้เข้าใกล้ดวงพระหฤทัยของพระองค์ และความกลัวก็หายไป เหลือแต่เพียงความสุขเท่านั้น ฉันรู้สึกอย่างเต็มเปี่ยมว่าฉันเป็นลูกของพระเจ้า และพระเยซูเจ้าตรัสกับฉันว่า
ไม่ต้องกลัวอะไร สิ่งที่ไม่ได้มอบให้สำหรับผู้อื่นได้ถูกมอบให้แก่ลูกแล้ว พระหรรษทานที่ไม่ได้ประทานให้วิญญาณอื่น,จะหล่อเลี้ยงจิตใจลูกทุกวัน,เหมือนขนมปังประจำวัน
ไดอารี่1754 : ลูกสาวของเรา, จงพิจารณาว่าใครคือผู้ซึ่งหัวใจของลูกเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างใกล้ชิดด้วยคำสาบาน ก่อนที่เราจะสร้างโลกนี้,เรารักลูกด้วยความรักซึ่งหัวใจของลูกกำลังมีประสบการณ์อยู่ในเวลานี้ และถึงแม้หลายศตวรรษจะผ่านไป, ความรักของเราจะไม่เปลี่ยนแปลง
* * *
เมื่อใกล้ถึงจุดสิ้นสุดไดอารี่ของนักบุญโฟสตินา, พระคริสต์ทรงมอบหมายหัวข้อทางจิตวิญญาณหรือการพิจารณาไตร่ตรองชุดหนึ่งแก่เธอ ซึ่งหนึ่งในนั้นได้แสดงไว้ข้างต้นจากไดอารี่ 1754 ของไดอารี่ เนื้อหาเหมือนการพิจารณาไตร่ตรองอย่างเงียบๆเกี่ยวกับความเป็นพระบุคคลของพระคริสต์และธรรมชาตินิรันดร์ของความรักที่พระองค์ทรงมีต่อเรา ความรักรูปแบบเหนือธรรมชาติซึ่งมีอยู่ก่อนการกำเนิดของเราเองและแม้กระทั่งการสร้างจักรวาล ผมสงสัยว่าหัวข้อเหล่านี้จำกัดเฉพาะนักบุญโฟสตินาเท่านั้นหรือไม่? ผมคิดว่าคริสตชนทุกคนควรใช้เวลาสักครู่แล้วลองพิจารณาไตร่ตรองหัวข้อเหล่านี้ด้วยตัวเองแล้วดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น ถ้าพระคริสต์ทรงบอกให้นักบุญโฟสตินาทำเช่นนี้ ทำไมพวกเราที่อ่านไดอารี่ของเธอถึงไม่อยากฝึกแบบเดียวกัน? และทำไมไม่แบ่งปันผลลัพธ์ของการพิจารณาไตร่ตรองของคุณเองแก่ผู้อื่นหรือแม้แต่การวิจารณ์เชิงสร้างสรรค์ล่ะ?
เป็นประโยคสุดท้ายของไดอารี่ 1754 ที่ทำให้ผมสนใจ “ก่อนที่เราจะสร้างโลก, เรารักลูกด้วยความรักซึ่งหัวใจของลูกกำลังมีประสบการณ์อยู่ในเวลานี้ และถึงแม้หลายศตวรรษจะผ่านไป, ความรักของเราจะไม่เปลี่ยนแปลง” เป็นคำพูดเหมือนเยเรมีย์ 1:5 มากที่กล่าวว่า “ก่อนที่เราปั้นท่านในครรภ์มารดา เราก็รู้จักท่านแล้ว ก่อนที่ท่านจะเกิด เราก็แยกท่านไว้ให้เป็นของเราแล้ว และแต่งตั้งท่านให้เป็นประกาศกสำหรับนานาชาติ” เยเรมีย์เขียนถึงพระเจ้า,พระบิดาและนักบุญโฟสตินาเขียนถึงพระเยซูเจ้า,พระบุตรแต่ทั้งสองพระองค์เป็นหนึ่งเดียวกัน และทั้งพระบิดาและพระบุตรก็อยู่พร้อมๆกันกับพระจิต ทุกพระบุคคลทรงเทความรักลงบนตัวตนที่มีอยู่ก่อนของเราตั้งแต่ก่อนที่พระเจ้าจะทรงสร้างโลก ดังที่พระคริสต์ตรัสกับนักบุญโฟสตินาในไดอารี่ 1754 นี่คือคำพูดของพระผู้เป็นเจ้าสามพระบุคคล – พระบิดา, พระบุตร, และพระจิต,ถึงนักบุญโฟสตินา โดยผ่านทางพระสุรเสียงของพระคริสต์
พระคริสต์ทรงเป็นพระเจ้านิรันดรและทรงเป็นพระเจ้าแห่งกาลเวลา พระองค์ทรงดำรงอยู่อย่างไร้ขอบเขตทั้งในอดีต,ปัจจุบัน,และอนาคตพร้อมกัน ดังนั้นพระองค์จึงทรงรู้จักเราและรักเราอย่างเป็นธรรมชาติตั้งแต่ก่อนสร้างโลกจนถึงยุคปัจจุบันและต่อจากนี้ไป พระองค์ทรงรักเราอยู่แล้วในอนาคตเพราะพระองค์ทรงอยู่ที่นั่นแล้วแม้ว่าเราจะไม่อยู่ก็ตาม แม้กระทั่งทุกวันนี้,พระคริสต์ทรงดำรงอยู่และทรงรักเราในวันพรุ่งนี้ของเรา นี่คือมุมมองที่ลึกลับและศักดิ์สิทธิ์ของพระคริสต์, เกินกว่าคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์หรือความเข้าใจของมนุษย์เกี่ยวกับเวลาและสถานที่ ก่อนที่พระคริสต์จะทรงสร้างจักรวาล พระองค์ทรงรักเราอยู่แล้วในชีวิตในอนาคตของเรา ซึ่งหมายความว่าในแนวทางลึกลับเดียวกันนี้ เรามีชีวิตอยู่ในพระคริสต์ก่อนที่เราจะเกิด ก่อนที่พระองค์จะทรงสร้างจักรวาลด้วยซ้ำ เราดำรงอยู่ก่อนการสร้างจักรวาลในแง่นั้น เราไม่มีความรู้สึกและไม่รู้ตัว แต่เรายังมีชีวิตอยู่ในพระทัยของพระคริสต์ เรายังเป็นผู้ได้รับความรักอันล้นเหลือของพระองค์มาโดยตลอด หลายพันล้านปีนับไม่ถ้วนที่อบอวลไปด้วยความรักนิรันดร์ของพระเจ้า ทั้งหมดนี้นำไปสู่การเกิดของเราแต่ละคน พระดำรัสของพระคริสต์ต่อนักบุญโฟสตินาเป็นข้อพิสูจน์ถึงธรรมชาตินิรันดร์ของพระองค์และรูปแบบความรักที่เหนือธรรมชาติของพระองค์ ความรักในพลังที่จิตใจมนุษย์ไม่อาจเข้าใจได้
แต่เป็นข้อพิสูจน์ถึงธรรมชาตินิรันดร์ของเราเช่นกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่เราดูเหมือนจะไม่รู้ในมุมมองทางโลกของเรา เราไม่ได้อายุ 30, 40 หรือ 50 ปี เรามีอายุเก่าแก่และเป็นอมตะในความรักนิรันดร์ของพระคริสต์ เป็นเวลาหลายพันล้านปีก่อนที่จะมาบังเกิดในชีวิตอันสั้นของเราในเนื้อหนังในที่สุด และเมื่อถึงเวลาที่เราเกิด เราก็จะซึมซับความรักที่พระองค์ทรงหลั่งไหลมาสู่เราตลอดพันล้านปีนั้นอย่างลึกซึ้ง เราเป็นเหมือนเมล็ดพันธุ์ที่ไม่มีชีวิตของพระเจ้า งอกและสะสมรูปแบบความรักอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ เพื่อที่เราจะได้เผยแพร่ออกไปสู่ผู้อื่นทั้งหมดเมื่อเราเกิดขึ้นมาในที่สุด
สุดท้ายนี้ เนื่องจากเรามีชีวิตอยู่และได้รับความรักจากพระคริสต์ตั้งแต่ก่อนการทรงสร้าง เห็นได้ชัดว่าเรามีชีวิตอยู่ในพระองค์ในช่วงเวลาสั้นๆของพระองค์บนโลก นั่นรวมถึงการประสูติ, การเทศนาสั่งสอน, และการทำอัศจรรย์ของพระองค์ เมื่อพระองค์ทรงเปลี่ยนน้ำเป็นเหล้าองุ่น, ในการเลี้ยงอาหารคนหลายพันคน, และทรงทำอัศจรรย์ให้ลาซารัสกลับเป็นขึ้นมาจากความตาย, เราก็มีชีวิตอยู่แล้วในพระองค์ สิ่งสำคัญที่สุด ผมคิดว่าเราอยู่ภายในองค์พระคริสต์ในขณะที่พระองค์ทรงทนทุกข์บนไม้กางเขน พวกเราทุกคนอยู่ที่นั่น โดยมีศูนย์กลางอยู่ที่ใจกลางพระหฤทัยอันศักดิ์สิทธิ์ของพระองค์ในขณะที่การปลดปล่อยพระเมตตาอันศักดิ์สิทธิ์เหนือธรรมชาติเกิดขึ้น เราได้รับพระเมตตาแห่งความรอดของพระองค์ในวันนั้น ก่อนที่เราจะเกิดขณะที่พระองค์ทรงหลั่งพระเมตตาของพระองค์ลงมาสู่เราจนลมหายใจสุดท้ายของพระองค์ และเรายังคงเก็บรักษาไว้จนถึงทุกวันนี้ ไม่เพียงเพื่อความรอดของเราเองเท่านั้น แต่เพื่อนำออกไปให้คนทั้งปวงด้วย เช่นเดียวกับที่พระองค์ทรงประทานแก่เราแต่ละคนเป็นรายบุคคล
************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น