วันเสาร์ที่ 10 สิงหาคม พ.ศ. 2567

ไฟแห่งความเชื่อ

 
 

‘เรามาเพื่อจุดไฟในโลก เราปรารถนาอย่างยิ่งที่จะให้โลกนี้ลุกเป็นไฟ เรายังมีพิธีล้างอีกอย่างหนึ่งซึ่งต้องรับ และเราเป็นทุกข์กังวลใจอย่างมากจนกว่าจะสำเร็จ!” 
ลูกา 12:49
 
พระเยซูเสด็จมาเพื่อทรงนำไฟชนิดใดมาสู่แผ่นดินโลก?
 
พระเยซูเสด็จมาเพื่อไถ่กู้มนุษยชาติให้ได้รับความรอด และเพื่อสั่งสอนประชาชนด้วยพระวาจาและแบบอย่างของพระองค์ พระองค์ทรงเข้ามาในโลก เพื่อนำอาณาจักรของพระเจ้าเข้ามา และนั่นหมายถึงการเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆให้ดีขึ้น ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่าย
 
พระเยซูเสด็จมาเพื่อจุดไฟแห่งความเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงเป็นองค์ความรักและความเมตตาอันล้นเหลือ และทรงปรารถนาจะเป็นหนึ่งเดียวกับมนุษย์ เป็นไฟที่พระองค์ปรารถนาให้เผาผลาญในดวงใจของมนุษย์ทุกคน 
 
ไฟแห่งความเชื่อในพระเจ้านี้จะเปลี่ยนแปลงโลกและนำพระอาณาจักรของพระเจ้ามาสู่โลก ตามที่พระองค์ทรงสอนเราให้สวดภาวนาต่อพระบิดาว่า “พระอาณาจักรจงมาถึง พระประสงค์จงสำเร็จในแผ่นดินเหมือนในสวรรค์” (มัทธิว 6:10) เป็นเรื่องสมเหตุสมผลเมื่อพิจารณาว่า พระเยซูจะไม่ทรงสอนให้เราสวดภาวนาในสิ่งที่ไม่มีทางเกิดขึ้น
 
พระเยซูยังตรัสอีกว่า “เรายังมีพิธีล้างอีกอย่างหนึ่งซึ่งต้องรับ และเราเป็นทุกข์กังวลใจอย่างมากจนกว่าจะสำเร็จ!” พระองค์ทรงรู้ดีว่าการเปลี่ยนแปลงที่พระองค์ทรงนำมานั้นจะถูกต่อต้าน และสุดท้ายแล้วมันจะทำให้พระองค์สิ้นพระชนม์ พระองค์ทรงเป็นมนุษย์มากพอที่จะรู้สึกเป็นทุกข์กังวลใจในเรื่องนี้ ดังนั้นเราเองก็ควรคาดหวังที่จะได้สัมผัสกับความทุกข์นั้นเช่นกัน
 
ในวันเพ็นเตคอสเต,เมื่อพระจิตเสด็จลงมาเหนือศีรษะของอัครสาวกในรูปของลิ้นไฟ ทำให้พวกเขาเต็มไปด้วยความเร่าร้อนของพระจิตเจ้า เปโตรได้ออกไปนอกห้องและเทศน์สอนผู้คนที่มารวมตัวกันด้านนอก อัครสาวกองค์อื่นๆก็พูดกับผู้คนเป็นภาษาต่างๆตามภูมิลำเนาของพวกเขาแต่ละคน อัครสาวกพูดเกี่ยวกับเรื่องของพระเยซูเจ้าผู้เป็นพระบุตรของพระเจ้า คำพูดนั้นเสียดแทงหัวใจของพวกเขา ทำให้ในวันนั้นมีผู้กลับใจ 3,000 คน ตั้งแต่นั้นมาไฟแห่งความเชื่อนี้ก็ไม่เคยดับลงเลย บางครั้งมันอาจเบาลงเป็นเพียงถ่านที่ยังคุอยู่ แต่ลมหายใจของพระจิตทำให้อุณหภูมิทางวิญญาณสูงขึ้นจนติดไฟได้อีก
 
ขณะที่ศิษย์สองคนกำลังเดินทางไปเอมมาอุส พระเยซูทรงปรากฏมาร่วมเดินทางไปกับพวกเขาด้วย พระเยซูทรงอธิบายพระคัมภีร์ทุกข้อที่เกี่ยวข้องกับพระองค์แก่พวกเขา ในตอนสุดท้ายพวกเขาก็จำพระองค์ได้ แต่พระองค์หายไปจากสายตาของพวกเขา พวกเขาพูดแก่กันว่า “ใจของเราไม่ได้เร่าร้อนเป็นไฟอยู่ภายในหรือเมื่อพระองค์ตรัสกับเราขณะเดินทาง”
 
ไฟแห่งความเชื่อถูกจุดขึ้นในจิตใจของบรรดาอัครสาวกและถูกจุดขึ้นในจิตใจของพวกเราด้วย
 
ไฟแห่งความเชื่อถูกจุดขึ้นในจิตใจของเราโดยผ่านทางพระวาจาของพระเยซูเจ้าและการมาประทับอยู่ของพระจิตในใจของเรา ไฟนี้ทำให้ใจของเราเร่าร้อนและมีความกระตือรือร้นที่จะแผ่ขยายพระอาณาจักรของพระเจ้า
 
ภาพของไฟทำให้เราคิดถึงคุณสมบัติต่างๆของมัน ไฟให้แสงสว่าง , ความอบอุ่น , การเผาไหม้ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงหรือการทำให้บริสุทธิ์ , พลังอำนาจ , ความลึกลับ
 
ไฟยังมีอำนาจในการลุกลามไปยังส่วนอื่นๆด้วย
 
พระเยซูทรงกล่าวถึงพระองค์เองว่าทรงเป็นดั่งแสงสว่างของโลก และเรียกร้องบรรดาศิษย์ของพระองค์ให้เป็นแสงสว่าง พระจิตเป็นแสงสว่างภายใน,พระจิตทรงทำให้เราสามารถเข้าร่วมชีวิตใหม่ที่เจิดจ้าของพระตรีเอกภาพ
 
ด้วยไฟแห่งความเชื่อในพระเจ้า,จะทำให้โลกมีสันติสุขและมีสันติภาพและนำมาซึ่งความรักในหัวใจของมนุษย์ทุกคน 
 
ไฟแห่งความเชื่อนี้คือ ความเชื่อในพระเจ้าผู้ทรงเป็นองค์ความรักและความเมตตาหาที่สุดมิได้ พระเจ้าผู้ทรงเป็นความจริงและชีวิตนิร้นดร์ ผู้ที่เชื่อในพระองค์ก็จะมีชีวิตนิรันดร และร่วมสุขกับพระองค์ 
 
เราจึงมีหน้าที่จะช่วยแผ่ขยายความเชื่อนี้ไปให้แก่ผู้อื่นเท่าที่จะทำได้ ด้วยคำพูดและแบบอย่างของเรา คริสตชนกลุ่มแรก,เมื่อได้รับไฟแห่งความเชื่อจากอัครสาวกแล้ว  “พวกเขาประชุมกันอย่างสม่ำเสมอเพื่อฟังคำสอน ดำเนินชีวิตร่วมกันฉันพี่น้อง ร่วมพิธีบิขนมปังแบะอธิษฐานภาวนา ร่วมกินอาหารและเข้าใจกัน เขาทั้งหลายสรรเสริญพระเจ้า และได้รับความนิยมจากประชาชนทุกคน องค์พระผู้เป็นเจ้าทรงทำให้จำนวนผู้ที่ได้รับความรอดเพิ่มขึ้นทุกวัน”
 
************************
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น