วันจันทร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2567

การเยี่ยมซิสเตอร์อักเนส ครั้งสุดท้าย

 
 

นำมาจาก นิตยสาร Missio Immaculatae International ฉบับวันที่ 6 สิงหาคม 2023 
โดย Fr. Elias M. Mills,
 
คุณพ่อเอเลียส(Fr. Elias)และเพื่อนๆมีโอกาสไปเยี่ยมซิสเตอร์อักเนส ซาซากาวะ ผู้เห็นแม่พระประจักษ์ที่อาคิตะ ประเทศญี่ปุ่น ในระหว่างการแสวงบุญในเดือนเมษายน 2023
 
ผู้อ่านนิตยสาร Missio Immaculatae International ทราบดีว่ามีการจัดแสวงบุญเพื่อเยี่ยมชมสถานที่คาทอลิกของญี่ปุ่นในเดือนเมษายนของปีนี้ การแสวงบุญเกิดขึ้นตั้งแต่วันที่ 19 เมษายนถึง 2 พฤษภาคมและดำเนินไปด้วยดี นอกจากการแสวงบุญแล้ว เราก็มีจุดประสงค์รองสำหรับการเดินทางครั้งนี้ด้วย นั่นคือเพื่อประชาสัมพันธ์โครงการ Seibo Maria Roman Catholic Mission ไปยังประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นการเผยแพร่ศาสนาที่จัดตั้งขึ้นโดยการแจกเหรียญอัศจรรย์และแผ่นพับแก่ชาวญี่ปุ่นตามแบบอย่างของนักบุญ แม็กซิมิเลียน มาเรีย โคลเบ. เราสามารถแจกเหรียญและแผ่นพับได้ 2,000 เหรียญในทริปนี้ เหลือเพียง 18,000 เท่านั้น! ดังที่ได้กล่าวไปแล้ว ไข่มุกของการแสวงบุญของเราในญี่ปุ่นคือโอกาสที่จะได้เยี่ยมชมและสวดภาวนาในสถานที่ของการประจักษ์ของแม่พระที่อาคิตะต่อซิสเตอร์อักเนส ซาซากาวะ ตั้งแต่ปี 1973 ถึง 1981 ปีนี้เป็นวาระครบรอบ 50 ปีของเหตุการณ์อัศจรรย์ที่ คอนแวนต์ Seitai Hoshikai ของคณะผู้รับใช้แห่งศีลมหาสนิทศักดิ์สิทธิ์(Handmaids of the Holy Eucharist)ซึ่งเป็นคณะบักบวชที่ซิสเตอร์อักเนสเป็นสมาชิก สาส์นของแม่พระซึ่งได้รับการอนุมัติจากพระสังฆราชอิโตะ มีความเกี่ยวข้องมากยิ่งขึ้นในสมัยนี้จากการคุกคามของสงครามนิวเคลียร์และความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในพระศาสนจักรในระดับสูงสุด ในวันจันทร์ที่ 17 เมษายน พวกเรากลุ่มเล็กๆ มีความยินดีที่ได้ไปเยี่ยมซิสเตอร์อักเนส เราได้ยินมาว่าซิสเตอร์อักเนสอาศัยอยู่ในบ้านพักคนชราทางตอนใต้ของญี่ปุ่น ผมกับคนอื่นๆพร้อมไกด์ชาวญี่ปุ่นออกเดินทางไปปฏิบัติภารกิจเพื่อดูว่าเราจะได้พบซิสเตอร์อักเนส ซาซากาวาหรือไม่ ครั้งสุดท้ายที่บุคคลที่มาจากนอกประเทศญี่ปุ่นได้พูดคุยกับซิสเตอร์ด้วยตนเองคือในปี 2015 ไม่มีใครพูดคุยกับซิสเตอร์อักเนสเลยนับตั้งแต่เธอปรากฏตัวในวิดีโอเรื่อง “อาคิตะและความลับฟาติมา” ซึ่งเป็นสารคดีปี 2015 ก่อนหน้านั้น เธอพูดในที่สาธารณะในปี 1990 ดังนั้นโอกาสที่ซิสเตอร์จะเข้าถึงสาธารณชนจึงเป็นเรื่องยาก เราไม่แน่ใจว่าข้อมูลเกี่ยวกับตำแหน่งที่อยู่ของเธอถูกต้องหรือไม่ และเราจะได้รับอนุญาตให้พบกับเธอได้หรือไม่ หลังจากเดินทางไกลโดยรถยนต์บนถนนและเดินหลายไมล์ไปตามถนนแคบๆ และผ่านย่านต่างๆ มากมาย ในที่สุดเราก็มาถึงบ้านพักคนชราที่เราเชื่อว่าซิสเตอร์อาศัยอยู่ เมื่อเรามาถึงในช่วงบ่ายประมาณ 14.00 น. และเมื่อเข้าไปในสถานที่ เราได้รับการต้อนรับอย่างกรุณาจากเจ้าหน้าที่ ซึ่งดูจะประหลาดใจที่เห็นชาวอเมริกันมาเยี่ยมสถานที่ของพวกเขา เราถามว่าซิสเตอร์อักเนส ซาซากาวะอาศัยอยู่ที่นี่หรือไม่ และเราจะพบกับเธอได้ไหม พวกเขาตอบว่า “ใช่” สำหรับคำถามของเราทั้งสองข้อ แต่พวกเขาคิดว่าซิสเตอร์อาจจะงีบหลับอยู่ซึ่งอาจเป็นปัญหาได้ คนหนึ่งในนั้นจึงไปตรวจสอบและขอบคุณพระเจ้าที่ซิสเตอร์ตื่นอยู่และพบกับพวกเราได้ มีการใช้ข้อจำกัดด้านโควิด เช่นเดียวกับสถานดูแลผู้ป่วยในสหรัฐอเมริกาในช่วงที่โควิดระบาดหนัก ผู้คนสามารถพบปะกับผู้อยู่อาศัยได้ผ่านทาง iPad เท่านั้น แน่นอนว่า โควิดและวัคซีน,ไม่ได้เกี่ยวกับสุขภาพและความปลอดภัยของเราทั้งหลาย, แต่มันเป็นส่วนหนึ่งของแผนการณ์วิศวกรรมสังคมของชนชั้นสูงทางสังคมและผู้มีอำนาจในโลกที่จัดตั้งขึ้น, ระเบียบโลกใหม่ที่ไร้พระเจ้าของพวกเขา ดังนั้นเราจึงถูกบังคับให้คุยกับซิสเตอร์ผ่าน iPad เราไม่แน่ใจว่าซิสเตอร์จะเป็นอย่างไรเพราะสุขภาพของเธอไม่เคยดีเลยมาตลอดชีวิต ตั้งแต่วัยเด็ก ซิสเตอร์อักเนสต้องทนทุกข์ทรมานจากสภาพร่างกายที่อ่อนแอ แต่เมื่ออายุได้ 19 ปีเนื่องจากความผิดพลาดทางการแพทย์หลังการผ่าตัดไส้ติ่ง เธอป่วยเป็นอัมพาตในระบบประสาทส่วนกลาง ซึ่งทำให้เธอต้องล้มป่วยเป็นส่วนใหญ่เป็นเวลา 16 ปี ในช่วงเวลานี้ในโรงพยาบาล,ซิสเตอร์ได้พบกับนางพยาบาลคนหนึ่งซึ่งเป็นคาทอลิกที่กระตือรือร้นและแนะนำให้เธอรู้จักกับศาสนาคาทอลิก ดังนั้นความทุกข์ทรมานจึงไม่แปลกสำหรับซิสเตอร์อักเนส และอาจเป็นสาเหตุว่าทำไมเธอจึงได้รับเลือกให้เป็นผู้ส่งสารของแม่พระที่อาคิตะในที่สุด
 
ซิสเตอร์เทเรซา มาซูดา(Teresa Masuda) เพื่อนของซิสเตอร์อักเนสเป็นเพื่อนคนสนิทของเธอ, ได้เขียนในจดหมายเมื่อปี 2019 เกี่ยวกับการรักษาอันอัศจรรย์ที่ซิสเตอร์อักเนสได้รับเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2018 ซิสเตอร์อักเนสป่วยเป็นเนื้องอกซึ่งอาจเป็นมะเร็งในคอของเธออยู่ระยะหนึ่งซึ่งทำให้เธอกลืนลำบาก เป็นเรื่องยากสำหรับซิสเตอร์อักเนสถึงขนาดที่เนื้องอกทำให้เธอสำลักอาหาร และถ้าไม่ใช่เพราะคนที่รู้วิธีไฮม์ลิช(Heimlich method) เธออาจจะไปพบผู้สร้างของเธอ อาการของเธอรุนแรงมากจนซิสเตอร์ไม่สามารถดื่มน้ำได้อีกต่อไป และกินแต่อาหารอ่อนและกลืนง่ายเท่านั้น ซิสเตอร์อักเนสผู้คำนึงถึงถ้อยคำของแม่พระเกี่ยวกับการถวายเครื่องบูชากล่าวว่า “จนถึงตอนนี้ฉันถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้าไปมากมาย แต่ตอนนี้ฉันสงสัยว่าเครื่องบูชาครั้งสุดท้ายของฉันอาจเป็นเสียงของฉันหรือไม่” ในที่สุดซิสเตอร์เทเรซาและซิสเตอร์อักเนสพร้อมกับอีกสามคนไปพบพระสงฆ์ซึ่งพวกเขาจะมาเยี่ยมบ่อยๆ เพื่อขอคำแนะนำด้านจิตวิญญาณ, การสารภาพบาป, และการเจิมคนป่วย เมื่อถึงคราวซิสเตอร์อักเนส, ฆราวาสและซิสเตอร์เทเรซาก็จับมือเธอ ขณะที่พระสงฆ์วางมือบนคอของซิสเตอร์ ขณะที่พระสงฆ์กำลังสวดภาวนาโดยเอามือวางไว้ที่คอของซิสเตอร์อักเนส มือของพระสงฆ์เริ่มสั่นอย่างรุนแรงและในไม่ช้าร่างกายของเขาก็สั่นสะท้าน พระสงฆ์พูดสองครั้งว่า “ไปให้พ้น วิญญาณร้ายแห่งโรค! หลังจากสวดภาวนาในใจไม่กี่นาที,แล้วเขาก็พูดกับซิสเตอร์อักเนสว่า “อีกไม่นานคุณจะสบายดีเพราะวิญญาณชั่วร้ายทั้งสองที่กำลังทรมานคุณจากไปแล้ว” ไม่นานที่เขาพูดเช่นนี้,คอของซิสเตอร์เริ่มคลายและเธอพูดว่า “ฉันขอดื่มน้ำหน่อยได้ไหม” มีคนยืนอยู่ใกล้เธอยื่นแก้วน้ำให้,เธอดื่มลงไปอย่างสบายใจ ซิสเตอร์เทเรซาแจ้งแพทย์ของซิสเตอร์อักเนส,ที่เป็นผู้นัดหมายกับแผนกหู คอ จมูก ที่โรงพยาบาลท้องถิ่น และหลังจากผ่านการทดสอบต่างๆมากมาย แพทย์พบว่าเนื้องอกซึ่งมีขนาดเท่าเหรียญ 1 เยน (ใหญ่กว่าของเราเล็กน้อย) นิกเกิล) หายไป แพทย์ของซิสเตอร์อักเนสถามซิสเตอร์ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเนื้องอก และยังถามเธอว่าเธอกลืนเนื้องอกเข้าไปหรือไม่ ซิสเตอร์อักเนสตอบว่าเนื้องอกหายไปในทันที แพทย์ของเธอซึ่งดูเหมือนไม่ใช่ผู้มีความเชื่อ,รู้สึกประทับใจกับเหตุการณ์นี้มาก พระสงฆ์บอกว่ามีวิญญาณชั่วร้ายสองตัวอยู่เบื้องหลังอาการป่วยทางกายที่กำลังทรมานคอของซิสเตอร์ซึ่งทำให้ซิสเตอร์ไม่สามารถพูดได้ มีบางคนสงสัยว่าวิญญาณชั่วร้ายเหล่านั้นกำลังพยายามปิดปากซิสเตอร์อักเนสและสาส์นแห่งอาคิตะด้วยวิธีอื่นเช่นกันหรือไม่?
 
ซิสเตอร์ได้รับการเยียวยาทางกายอย่างอัศจรรย์หลายครั้งในช่วงชีวิตอันยาวนานของเธอ ย้อนกลับไปในปี 1973 ซิสเตอร์อักเนสต้องทนทุกข์ทรมานจากอาการหูหนวกอย่างลึกลับ ซึ่งไม่ได้ขัดขวางไม่ให้เธอได้ยินเทวดาผู้พิทักษ์และแม่พระ แม่พระทรงทำนายว่าเมื่อใดอาการหูหนวกนี้จะเกิดขึ้นและหายไป และในที่สุดซิสเตอร์อักเนสจะหายเป็นปกติในปี 1982
 
ในระหว่างการเยี่ยมของเรา ซิสเตอร์ตื่นตัวและเอาใจใส่ และแม้จะอยู่ในบ้านพักคนชราและถูกโดดเดี่ยวเหมือนกับหลายๆ คนที่อยู่ในสถานที่ดังกล่าว — ยังมีข้อจำกัดเรื่องโควิด — ก็ยังน่าแปลกใจที่เธอทำได้ดีเหมือนเดิม ผมมั่นใจว่าจิตวิญญาณของเธอคือการสวดสายประคำ 20 ถึง 30 สายต่อวัน ความโดดเดี่ยวและเงียบสงบอาจมีขึ้นเพื่อประโยชน์ของเธอ มีคำถามมากมายที่ผมอยากถามเธอ หนึ่งในนั้นคือ เธอสวดสายประคำวันละกี่สาย? ซิสเตอร์อักเนสตอบผ่านล่ามว่าเธอสวดสายประคำสามสายต่อวัน ผมถามกลับไปว่า แค่สามเท่านั้นหรือ…!? ผมเดาว่าซิสเตอร์ผู้น่าสงสารคงสวดลดลงบ้างเมื่อเธออายุ 93 ปีในวันที่ 28 พฤษภาคมปีนี้ สายประคำ 3 ครั้งต่อวัน! ผมหวังว่าผมจะจำบทวันทามารีย์ได้ถ้าผมมีอายุ 93 ปี ผมในนามของเพื่อนคนหนึ่งต้องการคำอธิบายเกี่ยวกับสาส์นของเธอเมื่อวันที่ 13 ตุลาคม 1973 เมื่อแม่พระตรัสกับซิสเตอร์อักเนสว่า “ตามที่แม่ได้บอกลูกแล้ว หาก ประชาชนไม่กลับใจและปรับปรุงตนเองให้ดีขึ้นพระบิดาจะทรงลงโทษอย่างรุนแรงต่อมวลมนุษยชาติ มันจะเป็นการลงโทษที่ยิ่งใหญ่กว่าน้ำวินาศอย่างที่ไม่มีใครเคยเห็นมาก่อน ไฟจะตกลงมาจากท้องฟ้าและจะกวาดล้างมนุษยชาติส่วนใหญ่ ทั้งคนดีและคนชั่ว โดยไม่ละเว้นทั้งพระสงฆ์และผู้ซื่อสัตย์ ผู้รอดชีวิตจะพบว่าตัวเองโดดเดี่ยวและอิจฉาคนที่ตายไปแล้ว อาวุธเพียงอย่างเดียวสำหรับลูกคือสายประคำและสัญลักษณ์ที่องค์พระบุตรของแม่ได้ทิ้งไว้” ผมและเพื่อนอยากทราบจากซิสเตอร์ว่า “สัญลักษณ์ที่องค์พระบุตรทิ้งไว้ให้” อาจเป็นสายจำพวกสีน้ำตาลของแม่พระแห่งภูเขาคาร์เมลหรือไม่ น่าเศร้าที่ต้องบอกว่าไม่มีใครสามารถแปลสิ่งนี้เป็นภาษาญี่ปุ่นได้ และความพยายามในการชี้แจงของผมก็ถูกขัดขวาง เราขอให้ซิสเตอร์สวดภาวนาสำหรับภารกิจ Seibo Maria mission to Japan เพื่อประกาศข่าวดีแก่ชาวญี่ปุ่น และบราเดอร์ไดดาคัส(Brother Didacus)ก็มอบสายประคำทำมือที่เพื่อนพระสงฆ์คนหนึ่งของเขาทำเพื่อเธอให้เธอ เธอแสดงความคิดเห็นว่าสายประคำนั้นใหญ่มาก,ซึ่งทำให้ทุกคนหัวเราะ หลังจากนั้นประมาณ 15 นาที เจ้าหน้าที่ก็บอกว่าเราต้องจบการสนทนา และเราแยกทางกันด้วยความเศร้าที่ไม่สามารถถามคำถามสำคัญบางข้อกับเธอได้ แต่พวกเรามีความสุขที่ได้อยู่ต่อหน้าสิ่งที่เราเชื่อว่าเป็น นักบุญที่มีชีวิต
 
สถานการณ์ของซิสเตอร์อักเนสดูเหมือนจะก่อให้เกิดคำถามมากมาย เหตุใดซิสเตอร์อักเนสผู้ที่ได้รับการประจักษ์จากแม่พระที่ได้รับการรับรองแล้วจากพระศาสนจักร, พร้อมด้วยสาส์นอันทรงพลังและเกี่ยวข้องกับยุคสมัยของเรา, จึงถูกซ่อนอยู่ในบ้านพักคนชรา เหตุใดเธอซึ่งเป็นนักบวชผู้อุทิศตัวไม่ได้อาศัยอยู่กับชุมชนนักบวชที่เธอสามารถรับศีลมหาสนิทได้ทุกวัน นี่เป็นเรื่องที่แปลกอย่างยิ่ง เนื่องจากในวัฒนธรรมญี่ปุ่น พวกเขาภาคภูมิใจอย่างยิ่งในการเคารพและดูแลผู้อาวุโสของตน ในปี 2019 มีสาส์นที่ดูขัดแย้งที่ซิสเตอร์อักเนสกล่าวถึงความจำเป็นต้องสวมผ้ากระสอบและขี้เถ้าและสวดสายประคำเพื่อชดใช้เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในพระศาสนจักรและโลกในเวลานั้น ดูเหมือนว่าบางคนในพระศาสนจักรอยากให้เราลืมซิสเตอร์อักเนสและสาส์นแห่งอาคิตะ นี่เป็นการจงใจใช่ไหม? บางคนเชื่อว่าซิสเตอร์กำลังถูก “ยกเลิก” และถูกโดดเดี่ยวโดยผู้ที่อยู่ในพระศาสนจักรซึ่งเป็นตรงกับคำเตือนอันรุนแรงของแม่พระที่อาคิตะเกี่ยวกับงานของปีศาจที่แทรกซึมเข้าไปในพระศาสนจักรซึ่งนำไปสู่การที่ “พระคาร์ดินัลจะขัดแย้งกับพระคาร์ดินัลและพระสังฆราชจะขัดแย้งกับพระสังฆราช” บางคนอาจคิดว่านี่เป็นเพียงจินตนาการที่ร้อนแรง แต่ย้อนกลับไปในปี 2015 สุภาพบุรุษคนหนึ่งติดต่อเจ้าหน้าที่ของพระศาสนจักรเกี่ยวกับการสัมภาษณ์ซิสเตอร์อักเนสเพื่อทำวิดีโอ เขาได้รับแจ้งว่าเขาจะเสียเวลาเปล่าเพราะซิสเตอร์ชราภาพแล้ว เขาไม่ท้อแท้และได้รับอนุญาติ เขาต้องประหลาดใจที่เมื่อได้พบกับซิสเตอร์ เธอก็เป็นคนมีจิตใจดี เขารู้สึกขุ่นเคืองอย่างยิ่งที่ถูกบอกว่าเธอเป็นคนชรา นอกจากนี้ ตอนที่เราไปเยี่ยมอาคิตะในปี 2019 บรรดาซิสเตอร์,ซึ่งไม่มีใครเคยประจำอยู่ที่อาคิตะระหว่างการประจักษ์ในปี 1973 ถึง 1981 เลยนั้น, ได้ประพฤติตัวผิดปกติสำหรับโบสถ์แม่พระ ตัวอย่างเช่น เราถามในปี 2019 ว่าซิสเตอร์ยินดีที่จะบอกกลุ่มของเราเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่นั่นหรือไม่ แต่พวกเธอปฏิเสธ นอกจากนี้ ตู้จัดแสดงที่บรรจุพระรูปแม่พระที่มีอัศจรรย์ร้องไห้ (101 ครั้ง) และมีเลือดไหล,ถูกคลุมด้วยผ้าขาว และไม่มีป้ายใดๆที่แสดงถึงความสำคัญของรูปปั้นนี้ เหตุผลเดียวที่ผมค้นพบสิ่งนี้ก็เพราะผมถามชายคนหนึ่งที่มักจะมาเยี่ยมสถานที่นั้นบ่อยๆว่า “นี่คืออะไร” แล้วเขาก็ดึงผ้าคลุมออกมาแล้วแสดงให้ผมเห็น พวกเขาประพฤติเช่นนี้ที่เมืองลูร์ดและฟาติมาเกี่ยวกับเหตุการณ์อัศจรรย์และความสำคัญของสถานที่ของพวกเขาหรือไม่? ข้อเท็จจริงแปลกอีกประการหนึ่งคือพวกเขาตีพิมพ์หนังสือเกี่ยวกับคอนแวนต์และประวัติศาสตร์ของวัด และหลังจากผ่านไป 90 หน้า พวกเขาก็เข้าถึง "เหตุการณ์ลึกลับ" โดยที่ซิสเตอร์อักเนส ซาซากาวะถูกเรียกว่า "ซิสเตอร์ 'S'" เท่านั้นตลอดการเล่าเรื่อง ทำไมความลับที่ยิ่งใหญ่? ชื่อของเธอเป็นที่รู้จักอย่างเปิดเผย และที่ฟาติมา พวกเขาไม่ได้เรียกเด็กๆ ว่า Child “F” หรือ Sister “L” หรือที่ Lourdes ว่า Sister “B” พระคาร์ดินัลรัตซิงเกอร์ เมื่อท่านดำรงตำแหน่งหัวหน้าสมณกระทรวงความเชื่อ ระบุว่าสาส์นที่อาคิตะเหมือนกับสาส์นที่ฟาติมาและได้ให้ข้อมูลเชิงลึกเพิ่มเติมเกี่ยวกับความลับข้อที่สาม
 
โปรดสวดภาวนาเพื่อซิสเตอร์อักเนสด้วย หากแม่พระประสงค์ให้ซิสเตอร์กล่าวแก่โลกก่อนที่เธอจะไปสู่นิรันดร เธอจะได้รับโอกาสพูดอีกครั้งในฐานะประกาศกในยุคของเรา ย้อนกลับไปในปี 2015 เธอระบุในวีดีโอ “อาคิตะและความลับฟาติมา” ว่า “นับตั้งแต่เหตุการณ์ปี 1973 เธอได้อธิษฐานขอให้ผู้คนได้เรียนรู้สาส์นของพระแม่มารีย์” นี่ดูไม่เหมือนคนที่แสวงหาความเงียบและสันโดษ สาส์นแห่งอาคิตะมีความเกี่ยวข้องกับยุคสมัยของเรามากและใครๆก็คิดว่าซิสเตอร์มีอะไรจะพูดมากกว่านี้ คำพูดของเธอที่ให้ความชัดเจนและความเข้าใจเพิ่มเติมจะเป็นแหล่งของความหวังและประโยชน์อันยิ่งใหญ่แก่จิตวิญญาณ
 
บางคนอ้างว่าการประจักษ์ของแม่พระที่อาคิตะไม่ได้รับการรับรองจากพระศาสนจักร แต่สิ่งนี้ไม่เป็นความจริง หลังจากที่ได้เป็นสักขีพยานเห็นเหตุการณ์ดังกล่าวและได้ตรวจสอบเหตุการณ์เหล่านั้นอย่างรอบคอบมาหลายปี พระสังฆราชจอห์น โชจิโระ อิโตะ พระสังฆราชแห่งนีงะตะ ได้ประกาศให้เหตุการณ์ในเมืองอาคิตะ ประเทศญี่ปุ่น มีต้นกำเนิดเหนือธรรมชาติ และอนุญาตให้ทั่วทั้งสังฆมณฑลแสดงความเคารพต่อ พระมารดาศักดิ์สิทธิ์แห่งอาคิตะ ในสารที่จะอ่านในทุกตำบลของสังฆมณฑลในวันอาทิตย์อีสเตอร์ที่ 22 เมษายน 1984 พระสังฆราชแนะนำว่า “สาส์นแห่งอาคิตะคือสาส์นแห่งฟาติมา” พระสังฆราชอิโตะได้ไปเยือนกรุงโรมเป็นครั้งที่สามในเดือนมิถุนายน 1988 เพื่อขอความเห็นจากสันตะสำนัก “ผมกังวลเพราะสาส์นนี้มีความร้ายแรง” ท่านกล่าว พระคาร์ดินัล โจเซฟ รัตซิงเกอร์ ซึ่งขณะนั้นเป็นประธานของสมณกระทรวงความเชื่อ ให้ความมั่นใจแก่พระสังฆราชอิโตะว่าเขาได้ประพฤติตนอย่างถูกต้อง และให้การตัดสินขั้นสุดท้ายเกี่ยวกับเหตุการณ์และสาส์นแห่งอาคิตะว่าเชื่อถือได้และสมควรแก่ความเชื่อ จาก Michael Journal, “สาส์นแม่พระที่อาคิตะ ประเทศญี่ปุ่น”; https://www.michaeljournal.org/articles/roman-catholic-church/item/messages-of-mary-at-akita-japan.
 
การรับรองการประจักษ์ในระดับท้องถิ่นเป็นขั้นตอนแรกในอำนาจของพระศาสนจักรในการประกาศว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติและสมควรแก่ความเชื่อนั้นสอดคล้องกับกฎบัญญัติของพระศาสนจักร และเพียงพอสำหรับการเริ่มแสดงความเคารพและความศรัทธาต่อสาธารณะ พระคาร์ดินัลรัทซิงเกอร์และคณะในสมณะกระทรวงความเชื่อไม่ได้เพิ่มเติมอะไรอีกเนื่องจากคำประกาศของพระสังฆราชอิโตะก็เพียงพอแล้ว
 
************************
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น