วันศุกร์ที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2567

ซิสเตอร์อักเนส (ต่อ)

 
 

การจากไปของซิสเตอร์อักเนส ซาซากาวะในญี่ปุ่น เมื่อวันที่ 15 สิงหาคม 2024 อันตรงกับวันสมโภชพระนางมารีย์รับเกียริตยกขึ้นสวรรค์ทั้งกายและวิญญาณ ขณะที่ท่านมีอายุ 93 ปี—ได้ทิ้งความลึกลับไว้เบื้องหลัง
 
ความคิดที่เกิดขึ้นในทันทีก็คือ จะเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของเธอ จะได้รับการจัดการด้วยความเคารพจากทางพระศาสนจักรหรือไม่? เพราะมีหลายคนที่มองว่าเธอเป็นนักบุญ (มีข่าวลือว่าทางญี่ปุ่นคิดที่จะบริจาคร่างกายของเธอเพื่อการวิจัยทางการแพทย์)? ชื่อของเธอจะถูกลบล้างให้หายไปจากหน้าประวัติศาสตร์หรือไม่? (เธอต้องอยู่ห่างจากบรรดาซิสเตอร์อื่นๆในคณะเป็นเวลาหลายปี อาจเนื่องมาจากการถูกเบียดเบียน)?
 
ในปี 1973 ซิสเตอร์อักเนส คัตสึโกะ ซาซากาวะ เกิดในครอบครัวที่นับถือพุทธศาสนา ได้รับศีลล้างบาปหลังจากได้รับความเชื่อจากพยาบาลชาวคาทอลิกผู้ให้น้ำจากเมืองลูร์ดให้เธอดื่ม เธอเข้าร่วมชีวิตนักบวชและใช้ชื่อว่าอักเนส  เธออยู่ในคอนแวนต์ของคณะสาวใช้แห่งศีลมหาสนิท(Handmaids of the Eucharist)ในเมืองยูซาวาได ชานเมืองอาคิตะ ทางตอนเหนือของญี่ปุ่น ในขณะที่เธอยังใหม่มากต่อชุมชนของคณะ ในปี 1973 เธอได้ยินเสียงที่มาจากพระรูปพระแม่มารีย์ทำด้วยไม้ซึ่งจำลองรูปมาจากการประจักษ์ของ “พระแม่มารีย์แห่งนานาชาติ"(Our Lady of All Nations) ซึ่งเริ่มต้นขึ้นในปี 1940 ในประเทศฮอลแลนด์ (การประจักษ์ที่วาติกันประกาศไม่รับรองเมื่อไม่นานมานี้)
 
เป็นเรื่องแปลกมากที่ได้ยินเสียงจากพระรูป—แต่ก็แปลกที่ในเวลานั้นซิสเตอร์อักเนส หูหนวกตั้งแต่ปลายฤดูหนาวของปี1972จากการได้ยินที่ค่อยๆลดน้อยลงจนไม่ได้ยินเลยในวันที่ 16 มีนาคม—และที่น่าแปลกอีกอย่างคือตรงกับวันครบรอบที่รำลึกถึงการค้นพบลูกหลานของ คริสตชนที่หลบซ่อนอยู่ในบริเวณ O'ura ในนางาซากิ
 
ซิสเตอร์อักเนส ถือเป็น “วิญญาณที่ทนทุกข์”(victim soul) มาตั้งแต่เกิด (เธอเกิดก่อนกำหนด) ซิสเตอร์ป่วยเป็นอัมพาตเมื่ออายุ 19 ปีเนื่องจากการผ่าตัดไส้ติ่งผิดพลาด ซึ่งเป็นอาการที่กินเวลานานถึงสิบหกปี แต่ในที่สุดเธอก็หายเป็นปกติหลังจากดื่มน้ำ จากเมืองลูร์ด สถานที่แม่พระประจักษ์แก่แบนาแด็ต ซูบีรุส ในฝรั่งเศส เธอทำงานในอาชีพแรกที่นางาซากิ สถานที่ที่เกิดระเบิดปรมาณูในปี 1945
 
มันเป็นชีวิตที่ไม่เพียงแต่เป็นความทุกข์ทรมานเท่านั้น แต่ยังเป็นประสบการณ์ลึกลับที่เธอได้รับอีกด้วย
 
ระหว่างที่อยู่ในโรงพยาบาลครั้งหนึ่ง อาการของซิสเตอร์อักเนสอยู่ในขั้นโคม่า และเมื่อเธอได้รับศีลสำหรับคนป่วย ดูเหมือนว่ามีแสงแปลกๆล้อมรอบเธอ และพระสงฆ์ได้ยินเธอสวดภาวนาบทข้าแต่พระบิดา, วันทามารีย์, และพระสิริรุ่งโรจน์,เป็นภาษาลาติน ถึงแม้ว่าเธอจะยังคงหมดสติและไม่เคยเรียนภาษาลาตินนั้นมาก่อน ต่อมาเธอจำได้ว่าได้เห็น "คนที่สวยงามในสถานที่ซึ่งดูเหมือนทุ่งนาที่น่ารื่นรมย์" ในระหว่างที่เธออยู่ในอาการโคม่า “บุคคลนี้ที่โบกมือ,ได้เชิญฉันให้เข้าไปหาเธอ” เธอเล่า ตามที่เขียนไว้ในหนังสือ Akita: The Tears and Message of Mary โดย Teiji Yasuda, O.S.V. และตีพิมพ์โดยมูลนิธิ 101 ในกรุงวอชิงตัน รัฐนิวเจอร์ซีย์ “แต่ฉันถูกขัดขวางไม่ให้ไปหาเธอ,โดยคนที่รูปร่างผอมบางราวกับโครงกระดูกที่มีชีวิตซึ่งจับฉันไว้”
 
หลังจากสวดภาวนามากขึ้น ซิสเตอร์ที่หมดสติ “ได้เห็น” บุคคลที่มีสง่าราศีคนหนึ่งปรากฏตัวขึ้นที่ข้างเตียงของเธอ— “บุคคล” (ซึ่งเชื่อว่าเป็นทูตสวรรค์) สอนให้เธอสวดภาวนาว่า: “พระเยซูเจ้าข้า โปรดอภัยบาปของลูกทั้งหลาย โปรดช่วยลูกทั้งหลายให้พ้นจากไฟนรก และนำวิญญาณทั้งหลายไปสู่สวรรค์ โดยเฉพาะอย่างยิ่งของผู้ที่ต้องการพระเมตตาของพระองค์มากที่สุด” ซึ่งเป็นคำภาวนาที่มอบให้กับเด็กๆแห่งฟาติมาระหว่างการประจักษ์เมื่อหกทศวรรษก่อน—การประจักษ์ซึ่งเริ่มขึ้นโดยทูตสวรรค์ ส่วน“บุคคล” นั้นเป็นทูตสวรรค์ผู้พิทักษ์(อารักขเทวดา)ของซิสเตอร์ซาซากาว่า
 
เหตุการณ์พิเศษครั้งแรกที่อาคิตะเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 1973 เมื่อซิสเตอร์อักเนสเห็นแสงเจิดจ้าส่องมาจากตู้ศีลในโบสถ์น้อยของคอนแวนต์ “ฉันถูกครอบครองด้วยอารมณ์ความรู้สึก ฉันจึงก้มกราบลงกับพื้นทันที” เธอเคยเล่าไว้ “ฉันคงอยู่ในท่านี้สักหนึ่งชั่วโมง”
 
แสงสว่างเกิดขึ้นอีกในวันต่อๆมา “มีสิ่งที่คล้ายหมอกหรือควัน”เกิดขึ้นด้วย ซึ่งรวมตัวกันรอบพระแท่นบูชาพร้อมรังสีแสง พื้นที่รอบตัวเธอดูเหมือนจะเปิดออก “จากนั้นก็ปรากฏสิ่งมีชีวิตจำนวนมากที่คล้ายกับเทวดา,ล้อมรอบพระแท่นบูชาเบื้องหน้าศีลมหาสนิท” ซิสเตอร์อักเนสกล่าว โดยเน้นถึงพลังอำนาจของศีลมหาสนิท
 
“ด้วยความรู้สึกตื่นตาตื่นใจกับปรากฏการณ์อันน่าประหลาดใจนี้ ฉันจึงคุกเข่าลงเพื่อแสดงความเคารพ” เธอกล่าว “แล้วฉันก็คิดว่าอาจมีไฟอยู่ข้างนอก
 
“เมื่อหันกลับไปมองผ่านหน้าต่างที่ยื่นออกไปด้านหลัง ก็เห็นว่าข้างนอกไม่มีไฟ
 
“แต่เป็นพระแท่นบูชาที่ถูกห่อหุ้มด้วยแสงสว่างลึกลับนี้จริงๆ”
 
ซิสเตอร์ซาซากาวะยังต้องทนทุกข์ทรมานจากความเจ็บปวดจากรอยแผลบนฝ่ามือของเธอด้วย
 
แต่ประสบการณ์ที่เด่นที่สุดของเธอเกี่ยวข้องกับเสียงที่เธอได้ยินจากพระรูป “แม่พระแห่งนานาชาติ” นั้น เสียงจากพระรูปพูดว่า “ลูกสาวของแม่ ลูกเชื่อฟังแม่เป็นอย่างดีโดยละทิ้งทุกสิ่งเพื่อติดตามแม่ ความบกพร่องของหูของลูกเจ็บปวดหรือไม่? อาการหูหนวกของลูกจะหายเป็นปกติแน่นอน จงอดทน, มันเป็นการทดลองครั้งสุดท้าย รอยแผลที่มือทำให้ลูกเจ็บปวดหรือเปล่า? จงสวดภาวนาเพื่อชดเชยใช้โทษบาปของมนุษย์” ซิสเตอร์ยังได้ยินคำภาวนานี้: 
“ดวงพระหฤทัยอันศักดิ์สิทธิ์ที่สุดของพระเยซูเจ้า, ซึ่งปรากฏอยู่อย่างแท้จริงในศีลมหาสนิท ลูกขอถวายร่างกายและวิญญาณของลูกให้เป็นหนึ่งเดียวกับพระหฤทัยของพระองค์, ซึ่งถวายเป็นบูชาตลอดเวลาบนพระแท่นบูชาทั่วโลกเพื่อสรรเสริญพระบิดา,เพื่อวอนขอให้พระอาณาจักรของพระองค์จงมาถึง โปรดรับเครื่องบูชาอันต่ำต้อยนี้ของลูกด้วย โปรดใช้ลูกตามที่พระองค์ทรงประสงค์เพื่อถวายเกียรติแด่พระบิดาและความรอดของวิญญาณทั้งหลาย ข้าแต่พระมารดาผู้ศักดิ์สิทธิ์ยิ่งของพระเจ้า โปรดอย่าให้ลูกต้องพรากจากพระบุตรของพระแม่เลย โปรดปกป้องและปัองกันลูกในฐานะลูกที่พิเศษของพระแม่ด้วยเทอญ อาแมน” นี่เป็นคำภาวนาที่พวกเราควรสวดด้วยเช่นกัน
 
ตามที่ได้รายงานไปหลายครั้งแล้วในปีที่ผ่านมา สาส์นแห่งอาคิตะมีความรุนแรงมาก—เป็นคำทำนายถึงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นซึ่งประกอบด้วย “การลงโทษอันยิ่งใหญ่ต่อมวลมนุษยชาติ” ที่ “ร้ายแรงยิ่งกว่าน้ำวินาศ” (หมายถึงน้ำวินาศในยุคสมัยของ โนอาห์) หากมนุษย์ไม่กลับใจและ “เปลี่ยนแปลงชีวิตตนเองให้ดีขึ้น” แม่พระทรงบอกว่าจะมีไฟตกลงมาจากท้องฟ้าและกวาดล้าง “มนุษยชาติส่วนใหญ่” ถ้อยคำเหล่านี้อาจถูกโยนทิ้งไปเพราะดูเหมือนเกินจริง แต่เนื่องจากข้อเท็จจริงที่ว่าหลังจากคณะกรรมาธิการของพระสังฆราชปฏิเสธสาส์นนี้ในตอนแรก, พระสังฆราชองค์ต่อมาได้ออกจดหมายอภิบาลรับรองประสบการณ์ของเธอ หลังจากที่ได้หารือกับพระคาร์ดินัล รัทซิงเกอร์ (พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ผู้ล่วงลับไปแล้ว) ที่นครวาติกัน แต่ยังไม่ได้ออกความเห็นขั้นสุดท้าย
 
แม่พระยังตรัสกับซิสเตอร์อีกว่า “แม่พร้อมกับพระบุตรของแม่,ได้เข้าแทรกแซงหลายครั้งเพื่อระงับพระพิโรธของพระบิดา” แม่พระทรงบอกกับซิสเตอร์ว่า “แม่ได้ป้องกันไม่ให้ภัยพิบัติมาเยือนโดยถวายความทุกข์ทรมานของพระบุตรบนไม้กางเขน, พระโลหิตอันทรงคุณค่าของพระองค์ และวิญญาณอันเป็นที่รักซึ่งปลอบโยนพระองค์จนกลายเป็นกลุ่มวิญญาณที่ยอมทนทุกข์ การสวดภาวนา,การทำพีลกรรม, และการเสียสละตนเองอย่างกล้าหาญ,สามารถบรรเทาพระพิโรธของพระบิดาได้
 
คำทำนายที่ร้ายแรงเช่นนี้—น่าตื่นใจพอๆ กับที่กิเบโฮ ในราวันดาและการประจักษ์ครั้งสำคัญอื่นๆ
 
สิ่งที่น่าสนใจ,ตามคำบอกเล่าของเทอร์ตันคือซิสเตอร์อักเนสได้รับสาส์นเป็นภาษาญี่ปุ่น ยกเว้นการใช้คำว่า “พระคาร์ดินัล” ครั้งที่สองซึ่งแม่พระตรัสกับเธอเป็นภาษาอังกฤษ (เป็นภาษาที่เธอไม่รู้จัก) เธอพยายามที่จะออกเสียงคำนี้ถึงกับถามพระสังฆราชว่าคำว่า "พระคาร์ดินัล" หมายถึงอะไร
 
และความลึกลับก็ลึกซึ้งยิ่งขึ้น
 
เมื่ออายุได้เจ็ดสิบปลายๆ, ซิสเตอร์อักเนสไม่ได้อยู่ที่อาคิตะอีกต่อไป คอนแวนต์ที่อาคิตะยังคงเปิดอยู่เพื่อให้ผู้ศรัทธาได้สักการะพระรูปแม่พระ แต่ยังคงมีข้อโต้แย้งในหมู่พระสังฆราชเกี่ยวกับความถูกต้องอยู่ อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่าสนใจคือคำทำนายประการหนึ่งที่ตรัสโดยพระมารดาแห่งอาคิตะได้เกิดขึ้นจริงอย่างแน่นอน
 
สิ่งนี้เกี่ยวข้องกับสาส์นที่ว่าวันหนึ่งซิสเตอร์ซาซากาวาจะหายจากความบกพร่องทางการได้ยินของเธอ
 
แท้จริงแล้วในวันที่ 13 ตุลาคม หนึ่งปีหลังจากประสบการณ์นั้นไม่นาน ซิสเตอร์ก็ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นจึงรับสาย
 
อีกด้านหนึ่งคือพระสังฆราชจอห์น อิโตะถึงกับตกตะลึง ท่านรู้ว่าซิสเตอร์อักเนสหูหนวกและตระหนักถึงคำทำนายที่ว่าวันหนึ่งเธอจะได้ยิน
 
พระสังฆราชอิโตะ,ในฐานะหัวหน้าสังฆมณฑลนีงะตะ ซึ่งต่อมาได้รับรองการประจักษ์ที่อาคิตะเมื่อวันที่ 22 เมษายน 1984 ซึ่งเป็นวันอาทิตย์อีสเตอร์ ในขณะเดียวกัน วันที่ 13 ตุลาคม(วันที่ซิสเตอร์หายจากหูหนวกและสาส์นสำคัญของแม่พระ) ก็เป็นวันครบรอบอัศจรรย์แห่งดวงอาทิตย์อันยิ่งใหญ่ที่ฟาติมา
 
************************
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น