เป็นเวลา 46ปีนับจากที่พระสันตะปาปายอห์นปอลที่ 2ได้รับการเลือกตั้ง พระองค์ทรงมีบทบาทสำคัญยิ่งที่ทำให้โลกเปลี่ยนแปลง โลกได้เปลี่ยนจากยุคสมัยที่มีความตึงเครียดจากอุดมการณ์ทางการปกครองสองระบบมาเป็นยุคสมัยใหม่ในปัจจุบันที่มีสันติภาพมากขึ้น
พระสันตปาปายอห์น ปอลที่ 2 เมื่อได้รับการเลือกตั้งใหม่ๆ พระองค์เสด็จกลับโปแลนด์ที่กำลังอยู่ภายใต้การปกครองระบอบคอมมิวนิสต์,เป็นครั้งแรกในฐานะพระสันตปาปา ประชาชนมากกว่า 1 ล้านคนได้ตะโกนตอบพระดำรัสของพระองค์ว่า “เราต้องการพระเจ้า เราต้องการพระเจ้า เราต้องการพระเจ้า”
หากไม่ใช่การเสด็จเยือนโปแลนด์ครั้งแรกของพระสันตปาปายอห์น ปอลที่ 2 ในเดือนมิถุนายน 1979 จะไม่มีการชุมนุมแสดงความสามัคคีเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของชาวโปแลนด์เกิดขึ้นเลย “พระสันตปาปาโปแลนด์ในฐานะผู้นำทางจิตวิญญาณมีส่วนทำให้ลัทธิคอมมิวนิสต์ล่มสลาย” ดร. พาเวล สกิบินสกี้ นักประวัติศาสตร์จากมหาวิทยาลัยวอร์ซอและผู้อำนวยการพิพิธภัณฑ์สมเด็จพระสันตปาปาจอห์น ปอลที่ 2 และประมุขแห่งวอร์ซอระหว่างปี 2010-2015 กล่าว
พระสันตปาปายอห์น ปอลที่ 2 มีพระนามเดิมว่า คาโรล วอยติลา ทรงได้รับการประกาศให้เป็นนักบุญอย่างเป็นทางการจากวาติกันเมื่อวันที่ 27 เมษายน 2014 พระองค์ทรงเป็นหนึ่งในนักบุญที่มีชื่อเสียงที่สุดของประเทศโปแลนด์ อาทิ นักบุญอาดาลเบิร์ตแห่งปราก นักบุญแม็กซิมิเลียน มาเรีย โคลเบ นักบุญโฟสตินา โควัลสกา และนักบุญแอนดรูว์ โบโบลา กระบวนการประกาศเป็นบุญราศีของพระสันตปาปาโปแลนด์เป็นหนึ่งในกระบวนการที่สั้นที่สุดในประวัติศาสตร์
การเลือกตั้งชาวโปแลนด์ให้ดำรงตำแหน่งพระสันตปาปาในเดือนตุลาคม 1978 ก่อให้เกิดกระแสความรู้สึกไปทั่วโลก เพราะการประชุมลับได้ฝ่าฝืนกฎที่ว่าพระสันตปาปาจะต้องเป็นชาวอิตาลีและได้เลือกบุคคลจากหลังม่านเหล็ก "คอมมิวนิสต์ตกใจมากที่มีการเลือกบุคคลจากพื้นที่ในการควบคุมโดยที่พวกเขาทำอะไรไม่ได้ ในทางกลับกัน โลกตะวันตกก็ตกใจเช่นกันกับการเลือกตั้งบุคคลจากหลังม่านเหล็ก เพราะโดยทั่วไปแล้ว ประชาชนส่วนใหญ่ในภูมิภาคนี้ถูกควบคุมโดยทางการคอมมิวนิสต์"
คาร์โล วอยติยา(Karol Wojtyla) ขณะที่เป็นพระคาร์ดินัลและบิชอปแห่งโปแลนด์ซึ่งดำรงตำแหน่งมายาวนาน ทำให้เขาเป็นผู้มีอิทธิพลอันดับสองในพระศาสนจักรโปแลนด์ มีอิทธิพลอย่างมากต่อสังคมโปแลนด์ในช่วงเวลาที่พระศาสนจักรเป็นอำนาจหลักในการปกป้องพลเมืองโปแลนด์จากแรงกดดันของระบอบคอมมิวนิสต์ คาร์โล วอยติยาได้รับแต่งตั้งให้เป็นบิชอปในปี 1957 ในช่วงทศวรรษปี 1970 เขาเป็นตัวแทนของบิชอปโปแลนด์ในฐานะที่ปรึกษาที่ไว้วางใจได้หลักของพระคาร์ดินัล วิซินสกี(Wyszynski) นอกจากนี้ เขายังร่วมเดินทางกับพระคาร์ดินัล วิซินสกี ในการเยือนเยอรมนีในปี 1978 คาร์โล วอยติยายังเป็นผู้เข้าร่วมอย่างแข็งขันในสังคายนาวาติกันครั้งที่สอง และในปี 1968 มีบทบาทสำคัญมากในการร่างสมณสาส์น Humanae Vitae ของพระสันตปาปาเปาโลที่ 6
แม้ว่าในปี 1978 จะเป็นเรื่องยากที่จะอธิบายสาเหตุการได้รับเลือกของพระคาร์ดินัลวอยติยาให้เป็นพระสันตปาปา แต่ก็เป็นที่ยอมรับได้ทั้งจากฝ่ายอนุรักษ์นิยมและเสรีนิยม
นักประวัติศาสตร์หลายคนเชื่อว่าพระสันตปาปายอห์น ปอลที่ 2 มีบทบาทสำคัญในการโค่นล้มลัทธิคอมมิวนิสต์
นักบุญสององค์
นับเป็นพระพรของพระเจ้าที่ทรงประทานนักบุญสององค์ในยุคศตวรรษที่ 20 พระสันตะปาปายอห์นปอลที่ 2 ทรงพบกับคุณแม่เทเรซาหลายครั้งและทรงยกย่องกิจการของคุณแม่เทเรซามาก
ทั้งสองท่านเป็นนักบุญที่มีชื่อเสียงและสำคัญที่สุดสองคนในศตวรรษที่ 20 ไม่ได้เป็นแค่เพื่อนกันในฐานะสาวกของพระคริสต์เท่านั้น ทั้งสองท่านต่างก็เสริมซึ่งกันและกันอย่างลึกซึ้ง โดยที่แม่ชีเทเรซาได้นำคำสอนหลายๆประการที่พระสันตปาปายอห์น ปอลสอนไว้มาปฏิบัติ
“ในขณะที่พระสันตปาปายอห์น ปอลได้วางรากฐานทางเทววิทยาและทางปัญญาสำหรับการทำความเข้าใจศักดิ์ศรีของมนุษย์ท่ามกลางความมืดมนในศตวรรษที่ 20 ไม่ว่าจะเป็นการทำแท้ง การุณยฆาต ลัทธิอเทวนิยม ลัทธิคอมมิวนิสต์ และลัทธิวัตถุนิยม แม่ชีเทเรซาก็เป็นพยานที่ยังมีชีวิตอยู่ถึงคำสอนของพระสันตปาปา” บรรณาธิการของ National Catholic Register ระบุไว้ในปี 2016
แม้ว่าแม่ชีเทเรซาจะมีอายุมากกว่าพระสันตปาปายอห์น ปอลถึงสิบปี แต่ทั้งคู่ก็ประสบกับเหตุการณ์สำคัญในชีวิตศรัทธาในปี 1946 โดยในปีนั้น คาร์โล วอยติยาได้รับการบวชเป็นพระสงฆ์ และซิสเตอร์เทเรซาได้ยิน "กระแสเรียกภายในกระแสเรียก" ให้รับใช้คนยากจนบนท้องถนนในกัลกัตตา ตลอดชีวิตของทั้งคู่ ทั้งสองท่านอุทิศตนอย่างลึกซึ้งต่อพระแม่มารีย์และการสวดสายประคำ
พระสันตะปาปา ยอห์น ปอล ที่ 2 ทรงโบกพระหัตถ์ทักทายคริสตศาสนิกชน พร้อมด้วยแม่ชีเทเรซา ที่เมืองกัลกัตตา รัฐเบงกอลตะวันตกของอินเดีย ในปี 1986
พระสันตะปาปายอห์น ปอลที่ 2 ทรงปกครองศาสนจักรรวมระยะเวลาทั้งสิ้น 26 ปี 15 วัน ซึ่งยาวนานที่สุดเป็นอันดับที่ 3 ตามประวัติศาสตร์ของศาสนจักรโรมันคาทอลิกอันยาวนานนับ 2,000 ปี โดยเชื่อว่านักบุญเปโตรทรงเป็นผู้ดำรงตำแหน่งพระสันตะปาปายาวนานที่สุด คือ 37 ปี
พระองค์เป็นพระสันตะปาปาที่สำคัญที่สุดองค์หนึ่งในประวัติศาสตร์สมัยปัจจุบัน พระองค์ทรงเดินทางรอบโลกเพื่อเยี่ยมเยียนคริสตชนมากกว่าพระสันตะปาปาองค์ใด ๆ ในอดีตที่ผ่านมา ทรงต่อต้านกระแสทุนนิยมที่ไร้ขอบเขต การกดขี่ทางการเมือง ยืนกรานในการต่อต้านการทำแท้ง และปกป้องวิถีทางของศาสนจักรในเรื่องเพศสภาพของมนุษย์
เสด็จเยือนประเทศไทย
พระสันตะปาปายอห์น ปอลที่ 2 พระสันตะปาปาองค์ที่ 264 ของพระศาสนจักร เสด็จเยือนไทยอย่างเป็นทางการในฐานะพระราชอาคันตุกะ เมื่อวันที่ 10-11 พฤษภาคม 1984 นับเป็นประมุขของพระศาสนจักรโรมันคาทอลิกพระองค์แรกที่เสด็จเยือนไทยอย่างเป็นทางการ หลังจากที่มีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-นครรัฐวาติกัน ในระดับเอกอัครราชทูต ตั้งแต่ปี 1969 ในการนั้นพระองค์ทรงเข้าเฝ้าพระบาทสมเด็จพระบรมชนกาธิเบศร มหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร (รัชกาลที่ 9) พร้อมด้วยสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ พระบรมราชชนนีพันปีหลวง ณ พระที่นั่งจักรีมหาปราสาท ในพระบรมมหาราชวัง
------------------------
เมื่อครั้งที่พระสันตะปาปายอห์นปอลที่ 2 ทรงได้รับเลือกในปี 1978 ซิสเตอร์ลูซีอาได้ส่งจดหมายพิเศษถึงพระสันตะปาปาเกี่ยวกับการประกอบพิธีถวายประเทศรัสเซียแด่ดวงหทัยนิรมาลของพระนางมารีย์ ซิสเตอร์ลูซีอามีความเชื่อว่า พระสันตปาปาพระองค์นี้คือผู้ที่แม่พระทรงเลือก เมื่อพระองค์ถูกลอบปลงพระชนม์ในปี 1981 อันตรงกับวันฉลองแม่พระแห่งฟาติมา พระสันตะปาปาทรงให้นำสาส์นความลับข้อที่ 3 แห่งฟาติมา มาให้พระองค์อ่าน และทรงเชื่อมั่นว่าสาส์นนั้นกล่าวถึงการลอบปลงพระชนม์ของพระองค์ ทำให้พระองค์ประสงค์จะทำทุกอย่างให้เป็นไปตามที่แม่พระแห่งฟาติมาตรัสไว้ นั่นคือการถวายประเทศรัสเซียและโลกทั้งมวลแด่ดวงหทัยนิรมลของแม่พระ และพระองค์ได้ประกอบพิธีนี้พร้อมกับพระสังฆราชทั่วโลกในวันที่ 25 มีนาคม 1984 ในพิธีนั้นพระสันตะปาปาตรัสว่า
“โดยอาศัยอำนาจจากการประกอบพิธีถวายครั้งนี้จะเป็นการรวมประชาชน ปัจเจกบุคคลและนานาชาติเข้าด้วยกัน พิธีนี้จะเป็นชัยชนะเหนือปีศาจ ความชั่วร้ายและจิตแห่งความมืดมิด ที่สามารถปลุกให้ตื่นขึ้นมา และที่จริงมันได้ตื่นขึ้นมาแล้วในยุคสมัยของเรานี้เอง ในหัวใจของมนุษย์และในประวัติศาสตร์ของเรา”
หลังจากการประกอบพิธีถวายนี้ซึ่งซิสเตอร์ลูซีอากล่าวว่า ได้รับการยอมรับจากสวรรค์แล้ว ได้ก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างใหญ่หลวง กำแพงเบอร์ลินถูกทำลาย และลัทธิคอมมิวนิสต์ในประเทศทางยุโรปตะวันออกที่อยู่ภายใต้อำนาจของรัสเซียเริ่มต้นล่มสลายไปทีละประเทศ ทำให้ประเทศเหล่านั้นมีอิสรภาพของตนเอง ในปี 1991 พรรคคอมมิวนิสต์ในรัสเซียถูกต่อต้านและสั่งห้าม รัสเซียเริ่มมีอิสรภาพในทางศาสนา การกลับใจของรัสเซียได้เริ่มต้นขึ้น
************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น