วันจันทร์ที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2568

วันฉลองการถวายพระกุมารในพระวิหาร

 


แสงสว่างส่องแก่นานาชาติ: ทำไมเราจึงมีมิสซาวันเสกเทียน
 
ในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ พระศาสนจักรคาทอลิกฉลองการถวายพระกุมารในพระวิหาร หรือที่เรียกอีกอย่างว่ามิสซาวันเสกเทียน ซึ่งเป็นการเฉลิมฉลองการที่นักบุญโยเซฟและพระนางมารีย์นำพระกุมารไปถวายในพระวิหารแห่งเยรูซาเล็ม 40 วันหลังจากพระกุมารเยซูประสูติ
 
วันฉลองการถวายพระกุมารในพระวิหารได้รับการฉลองครั้งแรกโดยพระศาสนจักรตะวันออก แต่ประเพณีการจุดเทียนสำหรับงานฉลองนี้มีต้นกำเนิดในฝรั่งเศสศตวรรษที่ 6 ซึ่งชาวคาทอลิกจะเฉลิมฉลองด้วยขบวนแห่เทียน
 
“แสงเทียนที่ส่องสว่างชวนให้นึกถึงการเฉลิมฉลองคริสต์มาส เป็นสัญลักษณ์ที่แสดงถึงความมืดมิดของบาปที่ถูกขจัดออกไปด้วยแสงสว่างของพระคริสต์” วันฉลองนี้ถือเป็นจุดสิ้นสุดของเทศกาลพระคริสตสมภพ
 
พระวรสารสำหรับพิธีกรรมของงานฉลอง (ลูกา 2:22-40) เล่าถึงเรื่องราวการถวายพระกุมาร และรวมถึงเพลงสรรเสริญและคำพยากรณ์ของซีเมโอน ซึ่งมาที่พระวิหารเพื่อพบกับครอบครัวศักดิ์สิทธิ์
 
พระจิตทรงเปิดเผยแก่ซีเมโอนว่าเขาจะไม่ตายจนกว่าจะได้เห็นพระเมสสิยาห์ ซีเมโอนอุ้มพระกุมารเยซูไว้ในอ้อมแขนแล้วสวดเพลงสรรเสริญ (ลูกา 2:29-32):
 
“ข้าแต่องค์พระผู้เป็นเจ้า บัดนี้ พระองค์ทรงปล่อยผู้รับใช้ของพระองค์ไปเป็นสุขตามพระดำรัสของพระองค์ เพราะนัยน์ตาของข้าพเจ้าได้เห็นองค์พระผู้ช่วยให้รอดพ้น ผู้ที่พระองค์ทรงจัดเตรียมไว้สำหรับนานาประชาชาติ เป็นแสงสว่างเปิดเผยให้คนต่างชาติรู้จักพระองค์ และเป็นสิริรุ่งโรจน์สำหรับอิสราเอลประชากรของพระองค์” แสงสว่างส่องให้กับผู้ที่อาศัยอยู่ในความมืดมิด นี่คืองานเลี้ยงของเรา และเราเข้าร่วมในขบวนแห่พร้อมเทียนที่จุดไฟเพื่อเผยแสงสว่างที่ส่องลงมาบนเราและความรุ่งโรจน์ที่จะมาถึงเราผ่านทางพระองค์ ดังนั้น เราทุกคนควรรีบเร่งไปพบพระเจ้าของเรา”
 
นักเทววิทยา Marcellino D’Ambrosio, PhD ได้สังเกตว่า เมื่อพิจารณาบริบทของเวลาและสถานที่ที่มีการให้คำทำนาย การกล่าวถึงคนต่างชาติอาจดูผิดปกติ
 
D’Ambrosio เขียนไว้ในบทความสำหรับ Crossroads Initiative ว่า “ครอบครัวศักดิ์สิทธิ์กำลังยืนอยู่ในบริเวณวิหาร อาจเป็นลานด้านในของพระวิหาร ซึ่งคนต่างชาติถูกห้ามไม่ให้เข้า” โดยมีสมณะคอยต้อนรับครอบครัวต่างๆที่มาประกอบพิธี หนึ่งในนั้นคือครอบครัวศักดิ์สิทธิ์ และเมื่อถึงคิวของครอบครัวศักดิ์สิทธิ์เข้าในพระวิหาร ท่านสิเมโอนก็มาถึงโดยพระจิตทรงดลใจและท่านได้อุ้มพระกุมาร
 
เขาอธิบายต่อไปว่า ประกาศกมาลาคีได้ทำนายในเรื่องนี้ว่า “ทันใดนั้น องค์พระผู้เป็นเจ้าที่ท่านแสวงหาจะเสด็จเข้ามาในพระวิหารของพระองค์” (มลค. 3:1) แต่พระองค์ไม่ได้เสด็จมาเพื่อประทับอยู่ที่นั่น และแพระองค์จะเสด็จออกจากพระวิหารเพื่อประทานแสงสว่างแก่ประชากรของพระองค์ พระองค์เสด็จมาเพื่อจุดไฟแห่งความรักเผาทั้งโลก”
 
นักบุญโซโฟรเนียส ซึ่งเป็นพระสังฆราชแห่งเยรูซาเล็มในศตวรรษที่ 7 ได้เทศน์ในวันฉลอง โดยสะท้อนให้เห็นประเด็นสำคัญเรื่องแสงสว่าง
 
“เราได้เห็นความรอดของพระเจ้าผ่านสายตาของซีเมโอนเช่นกัน ซึ่งพระองค์ได้เตรียมไว้สำหรับประชาชาติทั้งปวง และเผยให้เห็นว่าเป็นความรุ่งโรจน์ของอิสราเอลใหม่ ซึ่งก็คือตัวเราเอง เมื่อซีเมโอนได้รับการปลดปล่อยจากพันธนาการแห่งชีวิตนี้เมื่อเขาได้เห็นพระคริสต์ เราก็ได้รับการปลดปล่อยจากสภาพบาปเก่าของเราทันทีเช่นกัน”
 
“ด้วยความเชื่อ เราก็โอบรับพระคริสต์, ความรอดของพระเจ้าพระบิดาด้วยเช่นกัน เมื่อพระองค์เสด็จมาหาเราจากเบธเลเฮม” นักบุญกล่าวต่อ “เมื่อก่อนเราเป็นคนต่างศาสนา บัดนี้เราได้เป็นประชากรของพระเจ้าแล้ว ดวงตาของเราได้เห็นพระเจ้าในร่างมนุษย์ และเนื่องจากเราได้เห็นพระองค์ประทับอยู่ท่ามกลางเรา และได้ต้อนรับพระองค์ไว้ในอ้อมแขนของเราด้วยใจ เราจึงถูกเรียกว่าอิสราเอลใหม่”
 
วันที่ 2 กุมภาพันธ์ ถือเป็นวันสวดภาวนาสำหรับผู้ที่ถวายตนด้วย ซึ่งคิดขึ้นโดยพระสันตปาปายอห์น ปอลที่ 2
 
พระองค์เลือกวันนี้เพราะเป็นวันเสกเทียน “เพราะว่าชายและหญิงที่ถวายตนแล้วจะต้องเป็นแสงสว่างในโลก โดยเลียนแบบพระเยซู ผู้เป็นแสงสว่างของโลก”
 
คำทำนายของซีเมโอนถูกเล่าไว้ในบทที่ 2 ข้อ 34-35 ซึ่งซีเมโอนกล่าวกับพระนางมารีย์ว่า
 
“พระเจ้าทรงกำหนดให้กุมารนี้เป็นเหตุให้คนจำนวนมากในอิสราเอลต้องล้มลงหรือลุกขึ้น และเป็นเครื่องหมายแห่งการต่อต้านl (35)เพื่อความในใจของคนจำนวนมากจะถูกเปิดเผย” ส่วนท่าน ดาบจะแทงทะลุจิตใจของท่าน”
 
ในคำเทศน์ในวันฉลองนี้ นักบุญโซโฟรเนียสยังพูดถึงบทบาทของพระแม่มารีย์ในการนำพระเยซูมาหาผู้ที่อยู่ในความมืด
 
“พระมารดาของพระเจ้า พระนางพรหมจารีมารีย์ ทรงอุ้มพระกุมารผู้เป็นแสงสว่างที่แท้จริงไว้ในอ้อมแขนและนำพระองค์ไปหาผู้ที่อยู่ในความมืด” เขากล่าว “เราควรอุ้มพระกุมารเพื่อให้ทุกคนได้เห็นและสะท้อนความเจิดจ้าของแสงสว่างที่แท้จริงในขณะที่เรารีบเร่งไปพบพระองค์
 
“แสงสว่างได้มาถึงแล้วและส่องลงมายังโลกที่ถูกปกคลุมไปด้วยเงามืด แสงสว่างจากสวรรค์ได้เสด็จมาเยือนเราและประทานพระหรรษทานอันอุดมบริบูรณ์แก่เราทุกคน"
 
************************
 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น