“Beatitudes มหาบุญลาภ” หมายถึงคำสอนแปดประการที่พระเยซูเจ้าทรงแสดงไว้พื่อเป็นหนทางสู่ความสุขที่แท้จริง คำภาษากรีกสำหรับ “มหาบุญลาภ” หมายถึง “ความลับสู่ความสุข” มหาบุญลาภทั้งแปดประการนี้เป็นพระพรที่เปิดเผยความลับในการมีความสุขในโลกนี้และโลกหน้า ในพระพรเหล่านี้ พระเยซูทรงบอกเราว่าเราต้องทำอะไรจึงจะพบความสุขที่แท้จริง ความสุขไม่ได้หมายถึงความมั่งคั่งทางวัตถุหรือการมีชื่อเสียงและอำนาจทางโลก แต่มันก้าวข้ามการครอบครองทางโลกทั้งหมด เป็นคำสอนใหม่ที่ให้ความสุขฝ่ายจิตวิญญาณที่ส่งผลถึงชีวิตนิรันดร
ความสัมพันธ์ระหว่างพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ช่วยให้เราเข้าใจคำสอนนี้ ในพันธสัญญาเดิม โมเสสได้รับบัญญัติสิบประการบนภูเขาซีนาย ในทำนองเดียวกัน ในพันธสัญญาใหม่ พระเยซูซึ่งมักถูกเปรียบเทียบว่าเป็น“โมเสสคนใหม่” ได้ประกาศธรรมบัญญัติใหม่ ซึ่งแสดงให้เห็นในพระธรรมเทศนาในพระวรสารนักบุญมัทธิว ซึ่งก็คือ “พระธรรมเทศนาบนภูเขา” ซึ่งเป็นหัวใจสำคัญของคำสอนของพระเยซูเจ้า
ในพันธสัญญาเดิม โมเสสได้รับธรรมบัญญัติบนภูเขาและนำลงมาหาประชาชน ในทางตรงกันข้าม ในพันธสัญญาใหม่ พระเยซูทรงเทศนาบนภูเขา โดยเชิญชวนผู้คนให้เข้าใจจิตวิญญาณในระดับที่สูงขึ้น นี่หมายถึงการเปลี่ยนผ่านจากพันธสัญญาเดิมที่เน้นไปทางโลกไปสู่พันธสัญญาใหม่ที่มีทิศทางไปทางสวรรค์ อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ได้หมายความว่าพันธสัญญาใหม่ “สูงกว่า” พันธสัญญาเดิม แต่ทั้งสองอย่างล้วนเป็นส่วนสำคัญของการเปิดเผยของพระเจ้า โดยพันธสัญญาใหม่ทำให้พันธสัญญาเดิมสมบูรณ์และต่อยอดจากพันธสัญญาเดิม
ธรรมบัญญัติของโมเสสประกอบด้วยบัญญัติเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่ควรทำเป็นหลัก โดยเน้นที่พฤติกรรมทางศีลธรรมและระเบียบสังคม พันธสัญญาใหม่ไม่ได้ปฏิเสธธรรมบัญญัติเดิม แต่เน้นที่การกระทำในเชิงบวกและทัศนคติภายในที่นำไปสู่การเติมเต็มทางจิตวิญญาณและการรวมเป็นหนึ่งกับพระเจ้า
ธรรมบัญญัติของพันธสัญญาเดิมมีความสำคัญต่อการดำเนินชีวิตที่ชอบธรรมบนโลก แต่คำสอนของพันธสัญญาใหม่ โดยเฉพาะพระธรรมเทศนาเรื่องความสุข จะนำเราไปสู่คุณธรรมแห่งสวรรค์ ก่อนที่เราจะทำการสารภาพบาป การพิจารณาจิตสำนึกของตนเองก่อนสารภาพบาป จะเป็นประโยชน์ที่จะไตร่ตรองทั้งพระบัญญัติสิบประการและพระธรรมเทศนาเรื่องความสุข พระบัญญัติสิบประการและพระธรรมเทศนาเรื่องความสุขจะนำทางเราไปสู่เส้นทางแห่งจิตวิญญาณสู่สวรรค์
ตัวอย่างเช่น เอเฟซัส 4:28-29 แสดงให้เห็นถึงคำเรียกร้องที่ลึกซึ้งกว่านี้: “คนที่เคยขโมย จงเลิกขโมย ใช้มือทำงานอย่างสุจริตจะดีกว่า เพื่อจะได้มีบางสิ่งมาแบ่งปันแก่ผู้ขัดสน จงอย่าพูดคำเลวร้ายใดๆเลย จงพูดแต่คำดีงามเพื่อช่วยกันเสริมสร้างผู้อื่นตามโอกาสและเพื่อให้เกิดประโยชน์แก่ผู้ที่ได้ยินได้ฟัง”
คนที่เคยขโมยที่กลับใจและเลิกลักขโมยกำลังปฏิบัติตามธรรมบัญญัติเก่าและกลายเป็นคนดีขึ้น เพื่อให้สอดคล้องกับพันธสัญญาใหม่ พวกเขาต้องก้าวไปอีกขั้น ไม่ใช่แค่ทำงานเพื่อประโยชน์ส่วนตัวเท่านั้น แต่ยังช่วยเหลือผู้อื่นด้วย ในทำนองเดียวกัน การหลีกเลี่ยงการพูดจาที่ก่อให้เกิดอันตรายก็เป็นสิ่งที่ดี แต่พันธสัญญาใหม่สนับสนุนให้เราใช้คำพูดของเราเพื่อยกระดับจิตใจและสนับสนุนผู้อื่น
พระธรรมเทศนาเรื่องความสุขซึ่งเริ่มต้นด้วย “ผู้มีใจยากจนย่อมเป็นสุข เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของพวกเขา” (มัทธิว 5:3) เรียกร้องให้เรามีความถ่อมตนทางจิตวิญญาณและพึ่งพาพระเจ้าอย่างเต็มที่ สิ่งนี้ไม่ได้ทำให้ความมั่งคั่งทางวัตถุหรือความสามารถลดลง แต่ให้คุณค่าสูงสุดกับการพึ่งพาพระเจ้า
“ผู้เป็นทุกข์โศกเศร้าย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้รับการปลอบโยน” (มัทธิว 5:4) หมายถึงความรู้สึกสำนึกผิดและเป็นทุกข์ถึงบาปที่ตนทำอย่างจริงใจ ทั้งในระดับส่วนบุคคลและส่วนรวม
ผู้ทีมีใจอ่อนโยน ผู้มีใจเมตตา ผู้มีใจบริสุทธิ์ ผู้สร้างสันติ และผู้หิวกระหายความชอบธรรม ล้วนได้รับสัญญาว่าจะได้รับความสำเร็จและได้รับพระพรจากพระเจ้า เนื่องจากพวกเขาเป็นตัวอย่างคุณธรรมแบบพระคริสต์ที่เหนือกว่ามาตรฐานทางโลก
ในที่สุด “ผู้ที่ถูกเบียดเบียนข่มเหงเพราะความชอบธรรมย่อมเป็นสุข เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา” (มัทธิว 5:10-12) รับรองกับเราว่าการทนทุกข์เพื่อความชอบธรรมนั้นไม่ใช่ไร้ประโยชน์ แต่เป็นหนทางไปสู่รางวัลในสวรรค์
การเตรียมตัวสารภาพบาป การไตร่ตรองถึงพระธรรมเทศนาอันศักดิ์สิทธิ์ควบคู่ไปกับพระบัญญัติสิบประการสามารถช่วยให้เราตรวจสอบจิตวิญญาณได้อย่างครอบคลุมมากขึ้น เพราะพระธรรมเทศนาเหล่านี้ไม่เพียงแต่ช่วยให้เราเป็นคนดีเท่านั้น แต่ยังช่วยให้เราสร้างความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งยิ่งขึ้นกับพระเจ้าและเป็นหนทางไปสวรรค์ได้อีกด้วย
************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น