วันเสาร์ที่ 8 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ดร. กลอเรีย โปโล (ตอนที่ 2)

ประสบการณ์ตายแล้วฟื้นของ ดร. กลอเรีย โปโล
      เห็นพ่อแม่ของฉัน 
เมื่อฉันตะโกนว่าฉันเป็นคาทอลิก  ฉันก็เห็นแสงสว่างเล็กๆ ซึ่งเล็กมาก ในความมืด  แต่มันเป็นของขวัญที่ยิ่งใหญ่ที่สุดที่สามารถได้รับ  ฉันเห็นขั้นบันไดอยู่บนยอดสุดของหุบเหวนี้  แล้วฉันก็เห็นพ่อของฉัน (ซึ่งตายไปแล้ว)  อยู่ตรงทางเข้าของหุบเหวนี้  ท่านมีแสงสว่างที่สว่างไม่มากนัก  และขั้นบันไดที่สี่ขึ้นไป  ฉันเห็นแม่ของฉัน  มีแสงสว่างที่สว่างกว่ามาก  ทันทีที่เห็นพวกท่าน  ฉันมีความยินดีเป็นอย่างยิ่งและร้องออกมาว่า” คุณพ่อ  คุณแม่  ดีใจจริงๆ  มานำฉันออกไปด้วย  มานำฉันออกไปจากที่นี่ด้วย  ได้โปรดเถิด  คุณพ่อ  คุณแม่  ลูกขอวิงวอน โปรดนำลูกออกไปจากที่นี่ด้วย”
ขณะที่สิ่งที่เล่ามานี้เกิดขึ้น  เป็นเวลาที่ร่างกายของฉันกำลังอยู่ในสภาพโคม่า  ฉันถูกสวมด้วยสายท่อช่วยหายใจที่ติดอยู่กับเครื่อง  แต่อากาศไม่เข้าไปในปอดของฉัน  ไตของฉันไม่ทำงาน...ทั้งๆที่มีเครื่องช่วยหายใจ...นั่นเป็นเพราะน้องสาวของฉันซึ่งเป็นหมอและบรรดาเพื่อนๆหมอของเธอ คิดว่าไม่สมควรยื้อชีวิตของฉันอีกต่อไป  น้องสาวได้พูดกับพี่น้องของฉันว่า  ไม่สามารถทำอะไรได้อีกแล้ว  เป็นการดีกว่าที่จะให้ฉันตาย  น้องสาวของฉันยืนยันอย่างหนักแน่นต่อญาติพี่น้องคนอื่นๆของฉัน
คุณทราบไหมว่า  ฉันก็เคยสนับสนุนการทำ  การุณยฆาต

หมอคนอื่นๆไม่ยอมให้ใครเข้าไปในห้องยกเว้นน้องสาวของฉันซึ่งเป็นหมอเช่นเดียวกัน  เธออยู่ใกล้ฉันตลอดเวลา
เมื่อวิญญาณของฉันซึ่งอยู่ในอีกมิติหนึ่งได้เห็นพ่อแม่  ขณะนั้นน้องสาวอยู่ใกล้กับร่างกายของฉันที่อยู่ในสภาพโคม่า  แล้วเธอก็ได้ยินฉันร้องออกมา  เธอดีใจมาก และคิดว่าเธอคงช่วยให้ฉันกลับมาได้
บางทีคุณก็อาจเคยมีประสบการณ์เช่นนี้  อาจได้ยินบางคนที่หมดสติและร้องออกมา  นี่เป็นสิ่งที่เกิดกับฉัน  ฉันร้องออกมาด้วยความดีใจเมื่อเห็นพ่อแม่  และขอให้พวกท่านนำฉันออกไป  และน้องสาวของฉัน  ก็ได้ยินเสียงของฉัน  เธอจึงตะโกนว่า “พี่สาวของฉัน  พ่อและแม่ของฉันมาแล้ว  พวกแกไปให้พ้น  อย่ามายุ่งกับเธอ  ไปให้พ้น  คุณแม่  คุณพ่อ  ได้โปรด  อย่าเอาเธอไป  ไม่เห็นหรือว่าเธอยังมีลูกเล็กๆอยู่  อย่าเอาเธอไปเลย”
หมอคนอื่นๆต้องดึงตัวน้องสาวของฉันออกไปนอกห้อง  เพราะคิดว่าเธอเสียสติด้วยเกิดจากอาการช๊อกซึ่งเป็นเรื่องปกติที่อาจเป็นได้เมื่อคนเราเผชิญกับความเสียใจมากเกินไป  เพราะหลานชายของฉันซึ่งเป็นลูกของเธอได้เสียชีวิตพร้อมกับฉันด้วย  ทำให้เธอนอนไม่หลับถึงสามวัน  หมอจึงไม่ประหลาดใจที่เห็นเธอมีสภาพเช่นนั้น
กลับมายังสถานการณ์ของฉัน  ฉันดีใจยิ่งนักที่ได้พบกับพ่อแม่ในสถานที่อันน่ากลัวอย่างยิ่ง เมื่อพวกท่านมองมายังฉัน  ท่านรู้สึกเจ็บปวดมากอันแสดงให้เห็นจากใบหน้าของท่าน  เพราะในสถานที่นั้นเราสามารถรับรู้ความรู้สึกของคนอื่นได้  ฉันได้เห็นว่าท่านมีความเจ็บปวดอย่างยิ่ง  คุณพ่อถึงกับร้องไห้และพูดว่า “ลูกสาวของพ่อ  โอ พระเป็นเจ้า  ได้โปรด  ลูกสาวของผม  ข้าแต่พระเป็นเจ้า  ลูกสาวน้อยๆของผม”
แม่ของฉันสวดวิงวอนทันทีเมื่อท่านเห็นฉัน  และเห็นความเศร้าของฉันจากแววตา  ถึงแม้ท่านจะร้องไห้แต่ก็ยังคงไว้ซึ่งความสงบสันติและความอ่อนหวาน  ฉันเข้าใจได้ทันทีว่าท่านไม่สามารถดึงฉันออกไปจากที่นี่ได้  สิ่งนี้ทำให้ฉันเป็นทุกข์ทรมานที่เห็นพวกท่านต้องมารับรู้ความทุกข์ของฉันโดยไม่สามารถช่วยเหลือได้  ฉันยังเข้าใจด้วยว่า  พวกท่านมาอยู่ที่นี่เพื่อเป็นผู้แทนของพระเป็นเจ้าในการทำให้ฉันเรียนรู้  พวกท่านเป็นเหมือนติวเตอร์ที่คอยเฝ้าดูแลพระพรต่างๆที่พระเป็นเจ้าประทานให้แก่ฉัน  โดยเป็นแบบอย่างและพยานยืนยัน  พวกท่านต้องปกป้องฉันจากการโจมตีของซาตานและเสริมสร้างชุบชูพระหรรษทานซึ่งพระเป็นเจ้าประทานให้แก่ฉันในเวลาที่รับศีลล้างบาป  พ่อแม่ทุกคนเป็นผู้ปกป้องพระพรของพระเป็นเจ้าที่ประทานแก่ลูกๆของเขา

เมื่อฉันเห็นท่านเป็นทุกข์  โดยเฉพาะพ่อของฉัน ฉันก็ร้องออกมาอีกครั้งอย่างสิ้นหวัง “โปรดนำลูกออกจากที่นี่ด้วยเถิด  ลูกไม่ได้ทำผิดอะไรที่จะต้องมาอยู่ที่นี่  เพราะลูกเป็นคาทอลิก ลูกเป็นคาทอลิก  โปรดดึงลูกออกไปจากที่นี่”
      การพิพากษาของฉัน 
เมื่อฉันร้องออกไปว่าฉันเป็นคาทอลิก  ฉันก็ได้ยินเสียงที่อ่อนหวานยิ่งนัก......ช่างอ่อนหวานจนทำให้ฉันเต็มเปี่ยมไปด้วยสันติและความรัก  ทำให้วิญญาณของฉันเริงร่า  เจ้าสิ่งมีชีวิตที่แสนน่ากลัวซึ่งเกาะกุมฉันอยู่  เมื่อได้ยินเสียงนี้  ทันทีทันใดก็รีบก้มลงกราบแสดงความเคารพนบนอบ  และขออนุญาตออกไป  เพราะพวกมันไม่สามารถทนทานความอ่อนหวานของเสียงนั้นได้  แล้วก็มีบางอย่างเปิดออกเหมือนปากที่กำลังเปิดออก  พวกมันจึงรับหนีเข้าไปด้วยความกลัว  คิดดูเถิด  ฉันได้เห็นปีศาจที่น่ากลัวก้มกราบ...เพียงแค่ได้ยินเสียงของพระเป็นเจ้าเท่านั้น แม้แต่ความเย่อหยิ่งของซาตานก็ไม่อาจทนทานเสียงนี้ได้  เพราะเสียงนั้นเป็นสิ่งที่มันกลัวและไม่ชอบเลย  พวกมันรีบคุกเข่าลงทันที
แล้วฉันก็ได้เห็นภาพพระนางพรหมจารีย์มารีย์ก้มลงกราบนมัสการ  ขณะที่พระสงฆ์กำลังยกศีลมหาสนิทขึ้น  ในระหว่างพิธีมิสซาที่อุทิศแก่วิญญาณของหลานชายของฉัน  พระนางพรหมจารีย์มารีย์ได้เข้ามาแทรกแซงเพื่อช่วยเหลือฉัน  พระนางก้มลงนมัสการพระเป็นเจ้าของเรา  พระนางทรงรวบรวมบทภาวนาทุกบทที่คนทั้งหลายสวดอุทิศให้ฉันขึ้นถวายแด่พระองค์

คุณทราบไหม  ในขณะที่พระสงฆ์กำลังยกศีลมหาสนิทขึ้น  เราจะรู้สึกถึงการปรากฏของพระเยซูเจ้า  ทุกๆคนจะคุกเข่าลงก้มกราบนมัสการ... แม้แต่ปีศาจ.....ส่วนฉัน  ซึ่งไปร่วมพิธีมิสซา  ไม่ได้แสดงความเคารพเลย  ไม่สนใจ... แถมยังเคี้ยวหมากฝรั่ง  และบางครั้งยังเป่าหมากฝรั่งด้วย  ช่างเย่อหยิ่งสิ้นดี  ด้วยเหตุนี้  พระเป็นเจ้าจึงไม่ฟังคำวิงวอนของฉันเมื่อฉันวิงวอนต่อพระองค์
เชื่อฉันเถอะ มันเป็นที่น่าสะดุดใจอย่างยิ่งที่ได้เห็นเจ้าสิ่งมีชีวิตที่น่าเกลียดเหล่านั้นรีบก้มลงกราบนมัสการแทบพื้นด้วยความหวาดกลัว  ขณะที่พระเป็นเจ้าทรงพระดำเนินผ่านพวกมันไป  ฉันได้เห็นพระนางพรหมจารีย์มารีย์  ทรงนมัสการแทบพระบาทของพระเป็นเจ้าด้วยความกตัญญู  ทรงสวดภาวนาเพื่อฉันเฉพาะพระพักตร์ของพระองค์....ส่วนฉัน  คนบาป  ช่างดื้อดึง  ไม่แสดงความเคารพต่อพระองค์  แล้วยังพูดอีกว่าฉันเป็นคนดี....สิ้นดีสิไม่ว่า  ฉันปฏิเสธพระองค์และยังกล่าวล่วงเกินพระองค์

คิดดูเถิดว่าฉันเป็นคนบาปหนาสักเพียงไร  แม้แต่ปีศาจยังต้องกราบนมัสการพระองค์แทบพื้นดิน  เมื่อพระเยซูคริสตเจ้าทรงเสด็จผ่านมา......
* * * * * * *
เสียงนั้น อ่อนหวานยิ่งนัก  กล่าวกับดิฉันว่า  ดีแล้ว  ถ้าเธอเป็นคาทอลิก จงบอกเราสิว่าบทบัญญัติของพระเป็นเจ้ามีอะไรบ้าง?
...ฉันคิดด้วยความหวาดกลัว....คำถามนั้นเป็นสิ่งที่ฉันไม่ได้คาดคิดมาก่อน  ฉันรู้แต่เพียงว่ามี 10 ข้อ...และไม่มากกว่านั้น
“ฉันจะตอบคำถามนี้อย่างไรดี?” ฉันคิด  ฉันจำได้ว่าแม่เคยบอกว่า  บัญญัติข้อแรกคือความรัก ท่านพูดถึงเรื่องนี้เสมอ.....รักพระเป็นเจ้าและรักเพื่อนมนุษย์  ในที่สุดคำสั่งสอนของแม่ของฉันก็เป็นประโยชน์ในคราวนี้  ฉันพูดกับตัวเอง  ฉันจึงตอบคำถามและหวังว่าจะถูกต้อง.....ฉันจึงเริ่มพูด  “บัญญัติข้อแรกคือ  จงรักพระเป็นเจ้าเหนือสิ่งอื่นใด  และ...รักเพื่อนมนุษย์เหมือนรักตนเอง”
“ดีมาก” พระองค์ตรัส  “แล้วเธอทำตามหรือไม่?  เธอรักเราหรือไม่?
ด้วยความสับสน  ฉันตอบว่า “ดิฉัน...ใช่  ใช่ค่ะ ใช่”
แต่เสียงที่น่ามหัศจรรย์กล่าวว่า “ไม่”
ฉันขอยืนยันกับคุณว่าพระองค์ตรัสว่า “ไม่”  ฉันรู้สึกเหมือนฟ้าผ่าลงมาที่ตัวฉันเมื่อได้ยินคำว่า “ไม่”  ฉันรู้สึกเจ็บปวดเหมือนถูกฟ้าผ่า....ฉันรู้สึกอับอาย  หน้ากากของฉันถูกถอดออก  ฉันเหมือนตัวเปล่าเปลือย

เสียงอันอ่อนโยนนั้นตรัสกับฉันต่อว่า “ไม่  เธอไม่ได้รักเราผู้เป็นพระเจ้าของเธอเหนือสิ่งอื่นใด  และไม่ได้รักแม้แต่เพื่อนบ้านของเธอเหมือนตัวเองด้วย  เธอทำตัวเป็นพระเจ้าเสียเอง  เธอจะระลึกถึงพระเจ้าก็ต่อเมื่อเธอมีความทุกข์ยากลำบากมากเท่านั้น  เธอบอกว่า  เธอได้คุกเข่าสวดวิงวอน  เธอขอมิสซา  เธอไปร่วมพิธีมิสซา  เพื่อสวดภาวนาวอนขอพระหรรษทานหรืออัศจรรย์....เมื่อเธอยากจน  ครอบครัวของเธอก็ถ่อมตน  เมื่อเธอปรารถนาที่จะได้งานทำ  นั่นแหละเธอจึงจะคุกเข่าสวดภาวนา วิงวอนขอต่อพระเจ้าของเธอ  เธอจะสวดภาวนาเพื่อขอให้เราดึงเธอให้พ้นจากความยากจน  และขอให้เธอได้งานทำ  เมื่อเธอมีความจำเป็น  เมื่อเธอต้องการเงิน  เธอก็จะสัญญาว่า  จะสวดสายประคำ... แต่... ข้าแต่พระเจ้าโปรดประทานเงินให้ฉันสักหน่อยเถอะ”
นี่คือความสัมพันธ์ของเธอต่อพระเจ้าของเธอ  แต่เธอไม่เคยรักษาคำสัญญาที่เธอให้ไว้เลยแม้แต่ข้อเดียว  นอกจากไม่รักษาสัญญาแล้ว  เธอยังไม่ขอบคุณเราอีกด้วย”
แล้วพระเป็นเจ้าทรงยืนยันว่า “เธอให้คำสัญญาต่อพระเจ้าของเธอ  แต่เธอไม่รักษาคำสัญญานั้นเลย”

พระเป็นเจ้าทรงแสดงให้ฉันเห็นคำภาวนามากมายของฉัน  เมื่อฉันขอให้พระองค์ประทานรถคันแรกแก่ฉัน  ฉันสวดภาวนาด้วยความถ่อมตนเป็นอย่างมาก  ฉันวิงวอนขอพระองค์ประทานให้ถึงแม้จะเป็นรถเก่าก็ได้....และฉันก็ได้รับ  แต่เมื่อได้รับตามที่ต้องการแล้ว ฉันไม่เคยกล่าวคำ “ขอบคุณ” พระเป็นเจ้าเลย  และแปดวันต่อมา  นอกจากจะไม่ได้ขอบคุณพระองค์แล้ว  ฉันยังปฏิเสธพระองค์และพูดจาไม่ดีเกี่ยวกับพระองค์อีกด้วย  พระองค์ทรงแสดงแก่ฉัน  พระคุณทุกประการที่ทรงประทานให้  แต่ฉันก็ไม่รู้บุญคุณของพระองค์และไม่ได้ขอบพระคุณพระองค์เลย
ฉันเห็นพระเป็นเจ้าเช่นนี้จริงๆ  ความสัมพันธ์ของฉันกับพระเป็นเจ้าเหมือนกับ “ธนาคารที่คอยแจกจ่ายเงิน”  นั่นคือ  ฉันสวดสายประคำ  แล้วพระองค์ก็จะประทานเงินแก่ฉัน.....และถ้าหากพระองค์ไม่ประทานให้  ฉันก็จะเป็นกบฏต่อพระองค์  พระเป็นเจ้าทรงแสดงให้ฉันเห็นสิ่งเหล่านี้ทุกประการ   เมื่อฉันได้งานทำและมีเงิน  ฉันเริ่มรู้สึกว่าตัวเองยิ่งใหญ่  ไม่มีความรักหรือความกตัญญูให้แก่พระองค์แม้แต่น้อย
กตัญญูหรือ?  ไม่มีเลย  ไม่มีแม้แต่ “ขอบคุณ” ที่ฉันจะมอบแก่พระองค์สำหรับสุขภาพที่ดี  หรือการมีที่อยู่อาศัย....ไม่มีคำสวดภาวนาเพื่ออุทิศให้แก่คนยากจนที่ไม่มีบ้านหรืออาหารกิน  ไม่มีเลย  ฉันช่างอกตัญญูยิ่งนัก  ยิ่งไปกว่านั้น  ฉันเป็นคนอกตัญญูในสายพระเนตรของพระองค์  เมื่อฉันไปเชื่อเรื่องโชคชะตาจากเทพีวีนัสและเมอร์คิวรี่ ฉันเชื่อหมอดู  เชื่อว่าดวงดาวมีอิทธิพลต่อชีวิตของฉัน  ฉันเชื่อทุกอย่างที่โลกบอกกับฉัน  อย่างเช่น เรื่องการเกิดใหม่ในชาติหน้า...ฉันลืมคุณค่าแห่งพระโลหิตของพระเยซูคริสตเจ้าพระเจ้าของเรา   
พระเยซูเจ้าตรัสต่อไปว่า “ทุกสิ่งที่เธอมี  ไม่ใช่มาจากการวอนขอของเธอ  แต่เป็นพระพรที่เธอได้รับจากสวรรค์  แต่เธอกลับบอกว่าเธอได้รับมาด้วยความสามารถของเธอเอง  จากการทำงานและการดิ้นรนต่อสู้...เธอได้ทุกอย่างมาด้วยตัวของเธอเอง และด้วยการศึกษาของเธอ  ไม่จริงเลย!  ดูสิ  มีผู้เชี่ยวชาญมากมายที่มีคุณสมบัติดีมากกว่าเธอ  และทำงานมากกว่าเธอไม่ใช่หรือ?”

พระเยซูเจ้าทรงยกตัวอย่างบัญญัติสิบประการ  เพื่อฉันจะได้รู้ว่าตัวฉันเองเป็นอย่างไร  แทนที่ฉันจะนมัสการพระเป็นเจ้าเพียงผู้เดียว  ฉันกลับนมัสการซาตาน  ในคลินิกส่วนตัวของฉัน  มีผู้หญิงที่ทำไสยศาสตร์เข้ามาและบอกฉันว่าเขาสามารถขจัดโชคร้ายออกไปจากที่นี่ได้   เขาบอกว่า  ถึงแม้จะไม่เชื่อก็อย่าลบหลู่  เพราะเราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง  แล้วเธอก็ทำพิธีของเธอด้วยเกือกม้าและว่านหางจระเข้  และฉันทำอย่างไร?  ฉันเปิดประตูให้กับปีศาจ  ยอมให้มันเข้ามาได้ตามที่มันพอใจในคลินิกส่วนตัวของฉัน  พวกคุณรู้ไหม  มันเป็นสิ่งที่น่าละอายมาก  พระเป็นเจ้าทรงวิเคราะห์ชีวิตของฉันด้วยพระบัญญัติสิบประการ  ในส่วนที่เกี่ยวกับเพื่อนมนุษย์  ฉันพูดนินทาทุกคนในทุกเรื่อง...ฉันอิจฉาคนอื่น  ฉันได้เห็นสิ่งนั้น  ฉันพูดโกหกหลอกลวงคนอื่น  เมื่อฉันพูดว่า “ฉันเป็นคาทอลิก”  นั่นยิ่งเป็นการยืนยันว่าฉันพูดเท็จและหลอกลวง  ฉันได้ทำสิ่งชั่วร้ายแก่คนหลายคน  ฉันไม่มีความกตัญญูต่อพ่อแม่ของฉันด้วย  ท่านได้เสียสละเป็นอย่างมาก เพื่อทำให้ฉันได้รับการศึกษาจนเป็นผู้เชี่ยวชาญและประสพความ สำเร็จในชีวิต  แต่เมื่อฉันได้งานทำแล้ว ฉันก็ไม่เคยไปหาท่านเลย  ท่านไม่อยู่ในสายตาของฉัน  โดยเฉพาะแม่ของฉัน  เพราะท่านเป็นคนถ่อมตนและยากจน
พระเยซูเจ้าทรงแสดงให้ฉันเห็นถึงการเป็นคนชอบบ่นของฉัน  เมื่อฉันตื่นนอน  สามีของฉันทักทายว่า “สวัสดีวันใหม่”  และฉันตอบว่า “อาจจะเป็นวันดีสำหรับคุณ  แต่ดูฝนที่กำลังตกสิ” ฉันชอบบ่นว่าเรื่องต่างๆเสมอ
...ทำวันพระเจ้าให้เป็นวันศักดิ์สิทธิ์หรือ?  ช่างน่าหวาดหวั่นยิ่งนัก  ความเศร้าสักเพียงไรที่ฉันรู้สึก  พระเยซูเจ้าทรงให้ฉันเห็นตัวฉันเอง  ฉันใช้เวลาในวันอาทิตย์สี่หรือห้าชั่วโมงเพื่อดูแลสุขภาพตัวเองด้วยการเล่นยิมนาสติก  ฉันไม่ได้ให้เวลาแก่พระเป็นเจ้าแม้แต่สัก 10 นาที  ไม่เคยขอบพระคุณพระองค์ หรือสวดภาวนาอย่างดี.... ไม่ ,ไม่ได้ทำอะไรทั้งนั้น  ตรงกันข้าม  ในวันนั้นบางครั้งฉันสวดสายประตำในช่วงพักโฆษณาของละครทีวีอย่างรวดเร็ว  ฉันต้องการสวดให้เสร็จในช่วงเวลาโฆษณานั้น  ฉันจึงสวดอย่างเร่งรีบโดยไม่ใส่ใจในสิ่งที่ฉันสวดอยู่  เพราะกลัวว่าละครอาจจะเริ่มต้นขึ้น  ฉันจึงไม่ได้ประโยชน์อะไรในการสวดเลย  เพราะฉันไม่ได้ยกจิตใจขึ้นหาพระเป็นเจ้า
พระเยซูเจ้ายังทรงแสดงให้ฉันเห็นต่อไปว่าฉันอกตัญญูต่อพระองค์อย่างไรบ้าง – ความเกียจคร้านของฉันที่จะไปร่วมพิธีมิสซา....ในตอนที่ฉันยังอยู่กับพ่อแม่นั้น  เมื่อคุณแม่บอกให้ฉันไปร่วมพิธีมิสซา  ฉันตอบท่านว่า “แม่  ถ้าพระเป็นเจ้าอยู่ทุกหนแห่งแล้ว  มีความจำเป็นที่ฉันต้องไปโบสถ์เพื่อร่วมพิธีมิสซาด้วยหรือ?”  ฉันพูดไปเช่นนั้นเพื่อที่จะได้อยู่สบายที่บ้าน...และพระเยซูเจ้าทรงแสดงสิ่งนี้แก่ฉัน  พระองค์ทรงดูแลฉันตลอดเวลา 24 ชั่วโมงทุกวันและตลอดชีวิตของฉัน  แต่ฉันยังเกียจคร้านไม่ยอมอุทิศเวลาเพียงเล็กน้อยในวันอาทิตย์ให้แก่พระองค์บ้างเลย  อย่างน้อยเพื่อแสดงความกตัญญูและความรักต่อพระองค์....แต่ร้ายยิ่งไปกว่านั้น  การไปโบสถ์บ่อยๆซึ่งน่าจะเป็นการหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณให้สดชื่น  ฉันกลับใช้เวลาทั้งหมดเพื่อดูแลร่างกายของฉัน  ฉันกลายเป็นทาสของเนื้อหนังของตนเองและลืมไปว่าฉันมีสิ่งที่สำคัญที่สุด   นั่นคือ ฉันมีจิตวิญญาณ  และฉันไม่เคยคิดที่จะดูแลวิญญาณของฉันเลย
ในส่วนที่เกี่ยวกับพระวาจาของพระเป็นเจ้า  ฉันเคยพูดด้วยความเย่อหยิ่งว่า  คนที่อ่านพระคัมภีร์มากๆ  จะกลายเป็นคนโง่ – ฉันได้พูดผรุสวาทต่อพระเป็นเจ้า  และฉันยังเคยพูดอีกว่า “อะไรล่ะที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุด?  พระเป็นเจ้าสถิตที่นั่นจริงหรือ?  ในผอบศีลและจอกกาลิกษ์นะหรือ?.....พระสงฆ์น่าจะเติมเหล้าบรั่นดีลงไปด้วยนะ   จะได้ทำให้รสชาติดีขึ้น”
ฉันได้ทำให้ความสัมพันธ์ของฉันกับพระเป็นเจ้าเลวร้ายลงมากยิ่งนัก  ฉันละทิ้งจิตวิญญาณของตนเอง  ยังไม่พอ  ฉันยังพูดวิจารณ์พระสงฆ์ด้วย  พวกคุณรู้ไหม  ฉันรู้สึกแย่เพียงไรในเรื่องนี้ขณะที่อยู่เฉพาะพระพักตร์พระเยซูเจ้า  พระองค์ทรงแสดงให้ฉันเห็นวิญญาณของฉันที่ตกต่ำลงเพราะการพูดวิจารณ์พระสงฆ์  สิ่งที่เลวที่สุดในการพูดวิจารณ์นี้ก็คือ  ฉันเคยประกาศว่า  พระสงฆ์เป็นพวกรักร่วมเพศ  ซึ่งคนในชุมชนทั้งหมดได้รับรู้สิ่งที่ฉันพูด....คุณคงนึกไม่ถึงหรอก ว่ามันเลวร้ายเพียงใดที่ฉันทำต่อพระสงฆ์  ไม่, คุณจินตนาการไม่ออกหรอก  ฉันจะไม่อธิบายเรื่องนี้ให้พวกคุณฟัง  เพราะต้องใช้เวลานานเกินไป  ฉันจะบอกแต่เพียงว่า  คำพูดเพียงคำเดียวมีอำนาจสามารถฆ่าและทำลายวิญญาณได้  ตอนนี้ฉันได้เห็นความชั่วทุกอย่างที่ฉันได้ทำแล้ว  ความละอายของฉันยิ่งใหญ่ยิ่งนัก  จนไม่มีคำพูดใดมาอธิบายได้  ฉันจะขอให้พวกคุณอย่าได้ทำเช่นเดียวกับฉันเป็นอันขาด  จงอย่าพูดวิจารณ์พระสงฆ์  จงสวดภาวนา  ฉันได้เห็นว่าความผิดร้ายแรงมากที่สุดที่ทำให้วิญญาณของฉันมีมลทิน  และนำคำสาปแช่งมาให้ชีวิตของฉัน  นั่นก็คือ การพูดให้ร้ายแก่พระสงฆ์
_____________________________________________________________________________
      สวดภาวนาเพื่อพระสงฆ์

2 ความคิดเห็น:

  1. ขอบคุณที่มาแบ่งปันค่ะ รออ่านต่อมุกวันเลยค่ะ ขอบคุณพระเจ้าค่ะ

    ตอบลบ