วันเสาร์ที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2557

ดร.กลอเรีย โปโล (ตอนที่ 10)


ขุมทรัพย์ฝ่ายจิต
ฉันถูกเรียกให้มาอยู่ในโลกนี้เพื่อช่วยสร้างโลกที่ดีกว่า  และใช้ความสามารถที่พระเป็นเจ้าทรงประทานให้ฉันในการร่วมมือกับพระองค์ขยายอาณาจักรแห่งสวรรค์บนโลกนี้  แต่ฉันไม่ได้ทำ...ตรงกันข้าม  ฉันให้คำแนะนำเลวๆแก่คนจำนวนมาก  และมีคนจำนวนมากที่ฉันได้นำไปสู่ความเสื่อมเสีย..ด้วยคำแนะนำที่เลวและตัวอย่างที่เลวของฉัน...ฉันไม่ได้ใช้ความสามารถที่พระเป็นเจ้าประทานแก่ฉัน  ไม่เคยใช้เลย  พระเยซูเจ้าทรงถามฉันด้วยว่า : “เจ้าได้นำขุมทรัพย์ฝ่ายจิตอะไรมาให้เราบ้าง?”
ขุมทรัพย์ฝ่ายจิตหรือ?  มือของฉันว่างเปล่า!  ดังนั้นพระองค์จึงตรัสกับฉันว่า “มันจะช่วยอะไรเจ้าได้หรือ  อพาร์ทเมนท์สองห้องนั้น  บ้านของเจ้า  คลินิก  สิ่งซึ่งเจ้าคิดว่าเป็นเจ้าของและพึงพอใจมาก?  บางทีเจ้าจะนำอิฐสักก้อนมาที่นี่ได้กระมัง?  มันจะมีประโยชน์อะไร  การที่เจ้าบูชาร่างกายของเจ้า  เงินทั้งหมดที่เจ้าใช้สำหรับมัน  การลดน้ำหนักเพื่อให้รูปร่างเข้าที่?  มันให้อะไรกับเจ้าบ้าง  การควบคุมอาหารที่ทำให้เจ้าต้องอดอาหารและอยากอาหาร  ต้องทรมานร่างกายเพื่อร่างกายของเจ้า?  เจ้าทำให้ร่างกายของเจ้าและตัวเจ้าเป็นพระเจ้า?  แล้วมันช่วยอะไรเจ้าได้ในเวลานี้  ที่นี่? เจ้าเป็นคนใจดี  ถูกต้อง  แต่เจ้าทำเพื่อให้พวกเขาขอบคุณเจ้า  และสรรเสริญเจ้า  แล้วพวกเขาจะพูดว่าเจ้าเป็นคนดี  เจ้าเปลี่ยนใจคนทุกคนโดยใช้เงิน  เพื่อที่พวกเขาจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งเป็นการตอบแทนเจ้า  บอกเราซิว่า  เจ้าได้นำอะไรมาที่นี่บ้าง?  เมื่อเราเห็นเจ้าล้มละลายทางการเงิน  นั่นไม่ใช่การลงโทษเจ้าอย่างที่เจ้าคิด  แต่เป็นพระพร  ใช่แล้ว  การล้มละลายนั้นเป็นการช่วยให้เจ้าแยกตัวออกมาจากพระเจ้าเงินตรานั้นได้  พระเจ้าที่เจ้ารับใช้!  เป็นการทำให้เจ้ากลับมาหาเรา  แต่เจ้าปฏิเสธ  เจ้าไม่ยอมลดตัวลงมาจากฐานะทางสังคมชั้นสูง  เจ้าแช่งด่า  ยอมตัวเป็นทาสของพระเจ้าเงินตรา  เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถได้รับสิ่งเหล่านั้นด้วยความสามารถของตัวเองโดยลำพัง  อาศัยการศึกษาของเจ้า  อาศัยพละกำลังของเจ้า  เพราะเจ้าเป็นคนที่ทำงานหนักและเป็นนักต่อสู้....แต่ไม่ใช่เลย  จงดูสิว่า  มีคนที่เก่งกว่าเจ้ามากมายเพียงไร  พวกเขามีการศึกษาสูงกว่า  ดีกว่าเจ้า  และทำงานมากกว่าเจ้า...และพวกเขาได้รับสิ่งที่ควรได้รับเท่านั้น  แต่เจ้าซึ่งได้รับมากกว่า  ดังนั้นเจ้าก็ถูกเรียกร้องให้รับผิดชอบมากกว่าด้วย           
ฉันมองเห็นในหนังสือแห่งชีวิตของฉัน  ฉันเห็นเวลาที่ยังเป็นเด็กเล็กๆและครอบครัวของฉันยังยากจน  แม่มักจะต้มถั่วบ่อยๆ  และฉันก็ไม่ชอบเลย  ฉันจึงประท้วงไม่ยอมกิน  และพูดกับแม่ว่า “ถั่วบ้าๆอีกแล้วหรือ?  วันหนึ่งหนูจะร่ำรวย  และจะไม่ยอมกินมันอีกเลย”  ฉันมองเห็นว่า  มีอยู่วันหนึ่งฉันโยนถั่วที่แม่ทำและนำมาให้ฉันทิ้งไป  โดยที่ท่านไม่ทราบ  และเมื่อท่านนั่งที่โต๊ะเพื่อกินอาหาร  ท่านเห็นจานของฉันว่างเปล่า...ท่านคิดว่าฉันกินหมดแล้วเพราะหิวมาก  ท่านจึงไปตักถั่วมาให้ฉันอีก  เป็นถั่วส่วนที่เป็นของท่านเอง  แล้วท่านก็ไม่ได้กินอะไรเลย  รู้ไหม   พระเยซูเจ้าทรงแสดงภาพนี้ เพื่อบอกฉันว่า  ในตอนที่ฉันเป็นเด็ก   มีคนที่ใกล้ชิดฉันมากที่สุดคนหนึ่งซึ่งบ่อยครั้งยอมทนหิวไม่ทานอะไรเลย นั่นคือคุณแม่ของฉันเอง  ท่านมีลูก 7 คน  หลายครั้งท่านไม่ได้ทานอะไรเลยเพื่อที่พวกเราจะได้กิน  เพราะพวกเราจนมาก  ในวันนั้นท่านยอมหิวเพื่อนำอาหารมาให้ฉันกิน  โดยที่ไม่รู้ว่าฉันโยนมันทิ้งในถังขยะ  และบางครั้งมีบางคนมาเคาะประตูบ้านเพื่อขออาหาร  และท่านก็ให้อาหารที่ท่านกำลังทานแก่พวกเขา  ท่านทนหิวแต่ก็ไม่แสดงออกให้รู้  ไม่มีสีหน้าที่เศร้าหมองเลย  ตรงกันข้ามท่านกลับยิ้มจนไม่มีใครรู้เรื่องนี้  ฉันเคยเล่าเรื่องนี้ให้คุณฟังแล้ว  เกี่ยวกับ “เครื่องประดับของลูกสาว” ที่ฉันมีอยู่?  ฉันเรียกพ่อว่า “คนงานทุบหิน” (เฟร้ด ฟริ้นสโตน จากเรื่อง “มนุษย์ยุคหิน”)  และเรียกแม่ว่า  ผู้หญิงยุคหิน  เพราะท่านมักสวมเสื้อผ้าโบราณๆ  ใช้ของเก่าๆ  ฉันเคยถึงกับพูดว่าท่านไม่ได้เป็นแม่ของฉันด้วย...คิดดูเถอะ....
พวกคุณคงไม่รู้ถึง พระหรรษทานมากมาย และพระพรต่างๆที่มาสู่ฉันและโลกนี้  โดยอาศัยแม่ของฉัน  แม่ผู้ไปโบสถ์ทุกวัน  และเบื้องหน้าพระแท่น  ท่านถวายความทุกข์ของท่าน  ความเจ็บปวดของท่านแด่พระเยซูเจ้าด้วยความไว้วางใจ  ไว้วางใจในพระองค์
พระเยซูเจ้าตรัสกับฉันว่า “ไม่มีใครที่รักเจ้า และจะรักเจ้า  มากเหมือนแม่ของเจ้า  ไม่มี!  ไม่มีใครจะรักเจ้าด้วยความอ่อนโยนเช่นเดียวกับเธอ”  แล้วนั้นพระเยซูเจ้าทรงให้ฉันเห็นภาพงานเลี้ยงต่างๆที่ฉันมี  อันเนื่องมาจากความหิวโหยของคุณแม่ของฉัน (หลังจากที่ฐานะทางสังคมของฉันเปลี่ยนไป)....งานเลี้ยงหรูหราฟุ่มเฟือยเหล่านั้น  งานเลี้ยงบุฟเฟต์เหล่านั้น  อาหารครึ่งหนึ่งในงานจะถูกทิ้งไปเมื่องานเลิก  โดยไม่เสียดมเสียตายเลย
พระเยซูเจ้าตรัสว่า “มองดูพี่น้องของเจ้าสิ  พวกเขากำลังทนทุกข์จากความหิวโหย  เป็นเราเองที่กำลังหิวโหย”  พระองค์ตรัสเสียงดังเหมือนตะโกน  รู้ไหมว่าพระองค์ทรงทนทุกข์เพราะความหิวโหยมากสักเพียงไร  เป็นความหิวโหยของบรรดาบุตรของพระองค์  ความเย่อหยิ่งของพวกเราทำให้เราขาดความรักต่อเพื่อนมนุษย์ของเรา  เป็นสาเหตุทำให้พระองค์เศร้าพระทัยยิ่งนัก
พระองค์ยังคงให้ฉันเห็นต่อไปว่า  ในบ้านของฉันมีสิ่งของฟุ่มเฟือยราคาแพงมากเพียงไร  ในเวลานั้นฉันมีสิ่งของราคาแพงในบ้าน  มีเสื้อผ้าหรูที่มีราคาแพงมาก  พระเยซูเจ้าตรัสว่า “เราเปล่าเปลือย  แต่เจ้ากลับมีเสื้อผ้าราคาแพงมากมายซึ่งเจ้าไม่เคยใช้เลย...”  ฉันมองเห็นด้วยว่า  เมื่อเราอยู่ในสังคมของชนชั้นสูง  ถ้ามีเพื่อนผู้หญิงคนหนึ่งซื้อเสื้อมียี่ห้อ  ฉันก็จะต้องมีที่ดีกว่า  ถ้าใครซื้อรถหรู  ฉันก็ต้องซื้อรถที่หรูกว่า...ฉันต้องการของที่ดีกว่าคนอื่นเสมอ  เพราะฉันเป็นคนขี้อิจฉา  พระเยซูเจ้าตรัสกับฉันว่า “เจ้าหยิ่งยโสเสมอ  เจ้าเปรียบเทียบตัวเองกับคนอื่นที่ดีกว่าเจ้า  คนที่ร่ำรวยกว่า  และไม่เคยมองดูคนที่มีฐานะต่ำกว่าเจ้าเลย  เวลาที่เจ้ายังยากจนอยู่  เจ้าเดินในหนทางแห่งความศักดิ์สิทธิ์  เพราะเจ้าได้ให้สิ่งของแก่ผู้อื่นแม้เจ้าขัดสน”  พระองค์ให้ฉันเห็นภาพ  แม่ของฉันในเวลานั้นที่ฉันเป็นเด็ก  ท่านสามารถซื้อรองเท้าเทนนิสแบรนด์เนมให้ฉันได้  ทั้งๆที่เรายากจนมาก  ฉันดีใจและมีความสุขมาก  แต่ต่อมาฉันพบเด็กคนหนึ่งบนถนน  เขาไม่มีรองเท้าใส่  ฉันรู้สึกสงสารเขามาก  จึงถอดรองเท้าที่ได้มามอบให้แก่เขา  แล้วกลับบ้านโดยไม่มีรองเท้า  คุณแม่และคุณพ่อแทบจะฆ่าฉันทีเดียว  เพราะท่านต้องเสียสละอดออมเงินเพื่อซื้อรองเท้า   แต่การกระทำของฉันครั้งนี้เป็นที่พอพระทัยของพระเยซูเจ้ามาก  พระองค์ทอดพระเนตรเห็นแม้ในขณะที่ฉันเดินเท้าเปล่าอยู่  อันเนื่องมาจากความดีความมีเมตตาและคำภาวนาของคุณแม่ของฉัน พระองค์จึงทรงประทานพระหรรษทานมากมายให้แก่พวกเรา    พระเยซูเจ้ายังคงแสดงให้ฉันเห็นต่อไป   ถ้าหากฉันไม่ปิดตนเองต่อพระหรรษทานและต่อพระจิตเจ้าแล้ว  ฉันจะช่วยเหลือคนเป็นจำนวนมาก  ด้วยความสามารถที่พระองค์ประทานให้แก่ฉัน  พระองค์ทรงแสดงให้เห็นภาพมวลมนุษยชาติทั้งหมด  การตอบสนองของเราต่อพระคุณของพระองค์  ทำได้โดยการดำเนินชีวิตของเราอย่างถูกต้องและให้หัวใจของเราอยู่ใกล้ชิดพระองค์และพระจิตเจ้า  และตอบสนองต่อการดลใจของพระองค์  พระองค์ตรัสว่า “เราคงจะดลใจเจ้าให้สวดภาวนาเพื่อคนเหล่านี้แล้ว  ถ้าหากเจ้าทำสิ่งนี้  ปีศาจจะไม่สามารถเข้าไปในจิตใจของพวกเขาและทำให้เกิดความเสียหายมากมาย”  ดังตัวอย่างเช่น  เด็กหญิงเล็กๆคนหนึ่งถูกล่อลวงโดยพ่อของเธอเอง  ถ้าเพียงแต่ฉันไม่ปิดตนเองต่อพระจิตเจ้า  ฉันจะได้รับการดลใจจากพระจิตเจ้า  แล้วฉันจะสวดภาวนาให้แก่ผู้ที่เป็นบิดาและเด็กหญิงคนนั้น  เขาจะได้รับการปกป้องจากการสวดภาวนา  ปีศาจจะไม่สามารถเข้าไปในจิตใจของผู้เป็นพ่อได้  และจะไม่เกิดความรุนแรง  ไม่เกิดความทุกข์ขึ้นมากมาย  หรือเด็กผู้ชายคนนั้นจะไม่คิดฆ่าตัวตาย  พระเยซูเจ้าตรัสต่อไปว่า “ถ้าเพียงแต่เจ้าสวดภาวนา  เด็กหญิงคนนั้นก็ไม่ต้องทำแท้ง และเธอก็จะไม่มีจิตใจที่ตายด้านและละทิ้งเราไป และเมื่อเวลาที่เจ้าอยู่ที่เตียงนอนของโรงพยาบาล  ถ้าเพียงแต่เจ้าสวดภาวนา  เราจะให้คำแนะนำแก่เจ้า  เพื่อที่เจ้าจะได้ช่วยเหลือเพื่อนพี่น้องของเจ้า   เราจะแนะนำเจ้า  เราจะนำเจ้าไปหาประชาชนเหล่านี้  มีความทุกข์มากมายในโลก  เจ้าจะได้ช่วยเหลือพวกเขา”
พระองค์ให้ฉันเห็นคนจำนวนมากในโลกที่ทนทุกข์  และฉันสามารถช่วยเหลือพวกเขาได้อย่างไรบ้าง  แต่ฉันไม่เคยยอมให้พระจิตเจ้าสัมผัสใจฉันเลย  ฉันไม่เคยรู้สึกสะเทือนใจเมื่อได้เห็นความทุกข์ของคนอื่น  พระเยซูเจ้าตรัสว่า “มองดูความทุกข์ของประชากรของเราสิ  ดูสิว่าเราทำให้คนในครอบครัวของเจ้าเป็นโรคมะเร็ง  ก็เพื่อที่เจ้าจะได้รู้สึกสะเทือนใจในความทุกข์ของคนที่เป็นโรคแบบเดียวกันนี้บ้าง  แต่เจ้าสะเทือนใจก็เมื่อสามีของเจ้าถูกอายัดทรัพย์เท่านั้น”  และพระองค์ทรงตรัสเสียงดังว่า “เจ้า...ผู้มีหัวใจเป็นหิน  ไม่สามารถรู้สึกถึงความรัก"
              โดยสรุป  ฉันต้องการอธิบายว่าเราจะได้เห็นตัวเราเองอย่างไรบ้างในหนังสือแห่งชีวิต.
             ฉันทำความผิด  ด้วยการเป็นคนที่ไม่มีความจริงใจ  ตีสองหน้า  ต่อหน้าคนอื่นฉันพูดจายกย่อง  แต่ลับหลังฉันพูดถึงเขาในทางเสียหาย: ภายนอกคนเราพูดจาดี  แต่คุณไม่รู้หรอกว่าภายในใจเขาคิดอะไรบ้าง  ยกตัวอย่าง  ฉันพูดชมบางคนว่า “คุณสวยจัง  แต่งตัวดี  มันเข้ากับคุณเลย”  แต่ภายในใจฉันคิดว่า  ดูทึนทึก  น่าเกลียดจะตาย  และเราก็เชื่อว่าเราเป็นเหมือนราชินี   ในหนังสือแห่งชีวิต คุณจะได้เห็นสิ่งเหล่านี้ทั้งหมด  ทุกสิ่งที่เราเห็นและความคิดด้วยจะแตกต่างออกไป  การพูดโกหกทุกอย่างของฉันจะถูกเปิดเผยในแสงสว่าง  มันเป็น “สีแดงที่มีชีวิต”  เพื่อเป็นหลักฐานที่ทุกคนจะได้เห็น  จำนวนกี่ครั้งแล้วที่ฉันออกจากบ้านโดยไม่ให้แม่รู้  เพราะท่านไม่ยอมให้ฉันไปที่ไหนเลย  กี่ครั้งที่ฉันหลอกแม่ว่า “คุณแม่  หนูต้องไปทำงานกลุ่มที่ห้องสมุด”  แล้วท่านก็เชื่อฉัน  แต่ฉันไปดูภาพยนตร์ลามก  หรือไปที่บาร์เพื่อดื่มเบียร์กับเพื่อนผู้หญิง  และที่นั่น  คุณแม่ของฉัน...อยู่ที่นั่น...ในเวลานี้...กำลังมองดูทุกอย่างในหนังสือแห่งชีวิตของฉัน....เวลานี้ไม่มีอะไรที่ถูกปิดบัง  ฉันรู้สึกอับอายนี่กระไร  น่าอายยิ่งนัก  ตอนที่พ่อแม่ของฉันยากจน  ฉันถูกส่งไปโรงเรียนโดยมีนมและกล้วยหอมเป็นอาหารกลางวัน  ฉันกินกล้วยหอมและทิ้งเปลือกลงบนพื้น  ฉันไม่เคยคิดถึงคนอื่นซึ่งอาจเดินมาและลื่นล้มจนได้รับบาดเจ็บ  พระเยซูเจ้าทรงให้ฉันเห็นว่า  มีใครบ้างที่ลื่นล้มและมีใครบ้างที่ได้รับบาดเจ็บ  เพราะความสะเพร่าและการขาดความเมตตาของฉัน
ฉันได้เห็นด้วยความอับอายและเจ็บปวดใจยิ่งนัก  ฉันสารภาพบาปอย่างดีเพียงครั้งเดียวเท่านั้น  ตอนที่ฉันโตแล้ว  มีผู้หญิงคนหนึ่งในห้างสรรพสินค้าในกรุงโบโกตาทอนเงินให้ฉันผิด  เธอทอนเงินเกินไป 4,500 เปโซ  พ่อเคยสอนเราให้มีความซื่อสัตย์  อย่าได้โกงเงินใครแม้แต่สตางค์เดียว   ฉันรู้เรื่องเมื่ออยู่ในรถยนต์  ตอนที่กำลังขับไปคลินิกส่วนตัว  ฉันพูดกับตัวเองว่า “ดูสิ  คนโง่  ดันทอนเงินให้เกิน 4,500 เปโซ  ฉันต้องกลับไป...แต่ดูกระจกหลังสิ  รถกำลังติด  ไม่เอาละ  ฉันจะไม่กลับไป  ฉันไม่ต้องการไปสายและเสียเวลา  เป็นความผิดของเธอที่ทำเรื่องโง่ๆนี้”   แต่ฉันรู้สึกผิดและเสียใจมากในเงินนี้  เพราะพ่อสั่งสอนพวกเราไว้  ในวันอาทิตย์ฉันจึงไปสารภาพบาป  ฉันพูดว่า “ลูกขอสารภาพว่าได้ขโมยเงิน 4,500 เปโซ  และไม่นำไปคืน  ลูกเก็บเงินนั้นไว้”  และฉันไม่ได้สนใจว่าพระสงฆ์พูดอะไรกับฉันบ้าง  เพราะคิดว่าอย่างน้อยก็ไม่มีใครกล่าวหาว่าฉันเป็นขโมย
....แต่พระเยซูเจ้าตรัสกับฉันว่า “เป็นการขาดความเมตตาเมื่อไม่นำเงินไปคืน  สำหรับเจ้า  เงิน 4,500 เปโซ  เป็นเรื่องเล็กน้อย  แต่สำหรับผู้หญิงคนนั้นเป็นอาหารสำหรับสามวัน”  เป็นเรื่องน่าเศร้าที่สุด ที่ได้เห็นผู้หญิงคนนั้นและลูกน้อยที่น่าสงสารสองคนของเธอต้องทนหิวโหยถึงสองวัน  เพราะความผิดของฉัน  เช่นนี้เองที่พระเยซูเจ้าทรงแสดงแก่ฉันให้รู้ว่า  การกระทำของฉันส่งผลต่อเนื่องเสมอ  และมีผู้ที่ต้องได้รับความทุกข์เพราะเหตุนั้น  เพราะการกระทำทุกการกระทำย่อมมีผลสืบเนื่องของมัน  ทั้งสิ่งที่เรากระทำและสิ่งที่เราไม่ได้กระทำด้วย  ย่อมส่งผลต่อเราเองและผู้อื่น  ทุกคนจะได้เห็นผลต่อเนื่องเช่นนี้ในหนังสือแห่งชีวิต  เมื่อเวลามาถึง  เราจะปรากฏเบื้องเฉพาะพระพักตร์พระเป็นเจ้าและถูกพิพากษา  คุณจะได้เห็นเหมือนที่ฉันได้เห็น  เมื่อหนังสือแห่งชีวิตของฉันถูกปิดลง  นึกดูสิว่าฉันเศร้าเสียใจ  อับอายขายหน้า  มากมายสักเพียงไร...
หนังสือแห่งชีวิตของฉันถูกปิดลงอย่างสวยงาม  ความประพฤติทั้งหลายทั้งปวงของฉัน  ประกอบด้วยบาปของฉัน  ความสกปรกของฉัน  อารมณ์ความรู้สึกขนพองสยองเกล้าของฉัน  พระเยซูเจ้ายังคงตรวจสอบฉันแม้แต่ในวินาทีสุดท้าย  พระองค์ทรงส่งอุปกรณ์เครื่องมือและบุคคลต่างๆมาให้ฉัน  พระองค์ตรัสกับฉัน  ตะโกนบอกฉัน  นำบางสิ่งไปจากฉัน  ทำให้ฉันหกล้มในความทุกข์เพื่อที่จะพบฉัน  และฉันอาจจะพบพระองค์  พระองค์ตามหาฉันตลอดเวลา  แม้แต่ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต  รู้ไหมว่าพระเป็นเจ้าและพระบิดาของพวกเราเป็นใคร?  พระองค์เป็นพระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพในความรัก  ผู้ทรงขอร้องเราแต่ละคนให้กลับใจ  แต่เรากลับตอบแทนพระองค์อย่างไม่ใยดี  ฉันอยากจะพูดว่า “พระเป็นเจ้าทรงลงโทษฉัน  พระองค์ทรงสาปแช่งฉัน”  แต่แท้จริงแล้ว  หาเป็นเช่นนั้นไม่  พระองค์ไม่เคยสาปแช่งเราเลย  ความจริงแล้ว  ด้วยจิตใจอิสระของฉัน  ฉันได้เลือกด้วยจิตใจอิสระว่าใครจะเป็นบิดาของฉัน  และไม่ใช่พระเป็นเจ้า  ฉันได้เลือกซาตานให้เป็นบิดาของฉัน


2 ความคิดเห็น:

  1. ไม่ระบุชื่อ5 เมษายน 2557 เวลา 10:12

    ขอบคุณมากครับ ขอพระเจ้าอวยพรในการนำสิ่งที่ดีมาแบ่งปันกันครับ

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ8 เมษายน 2557 เวลา 19:38

    ขอขอบคุณ ดร. กลอเรีย, ผู้แปล, ผู้ทำ blog, และผู้ส่ง link ของ blog นี้มาให้
    ขอพระเจ้าทรงอวยพระพรทุกท่านและเพิ่มพูนพละกำลังในการทำสิ่งดีๆ ให้แก่เพื่อนพี่น้องต่อไปนะคะ

    ตอบลบ