วันศุกร์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2557

ดร.กลอเรีย โปโล (ตอนที่ 11)


เมื่อเราทั้งสองถูกฟ้าผ่า  ก่อนที่พวกเขาจะนำเราไปยังห้องผ่าตัด“Social Seguro” พวกเขานำฉันไปยังโรงพยาบาลสาธารณะก่อน  ที่ซึ่งมีผู้ป่วยมากมาย  หลายคนได้รับบาดเจ็บ  หลายคนเป็นทุกข์  และไม่มีที่สำหรับวางแคร่ที่ฉันนอนอยู่เลย  คนที่นำฉันไปถามหมอว่าจะวางฉันไว้ที่ไหนได้บ้าง   หมอได้แต่พูดว่า “วางลงที่นั่น  วางลงที่นั่น”  ผู้ช่วยเหลือถามว่า “แล้ววางที่ไหนล่ะ?”  หมอตอบว่า “วางที่นั่น  ที่พื้น”  แต่พวกเขาไม่ต้องการวางฉันที่พื้น  เพราะฉันถูกเผาไหม้อย่างหนัก  และถ้ามีอาการแทรกซ้อน  ฉันอาจตายได้...ในเวลาความเป็นความตายนั้น  หมอเพียงแต่มองดูใบหน้าของฉัน...คนที่ช่วยฉันคิดว่าไม่อาจละทิ้งคนที่อยู่ในสถานะร้ายแรงแต่ยังมีโอกาสรอดชีวิตได้  ฉันถูกเผาไหม้เหมือน “ถูกย่าง” และอาจตายได้
แต่ฉันยังพอมีสติอยู่  และพึมพำด้วยความเจ็บปวด  หมอไม่มาดูฉันเลย  มีอยู่ช่วงเวลาหนึ่งที่ฉันอยู่ในความสงบ  ไม่ร้อง  เพราะฉันได้เห็นพระเยซูเจ้า  พระองค์ทรงก้มลงมาใกล้ชิดฉันมาก  พระองค์สัมผัสศีรษะของฉันและปลอบประโลมใจฉัน  คุณพอจะจินตนาการได้ไหม  ถึงความอ่อนโยนของพระองค์?  ฉันคิดว่านี่เป็นเพียงภาพมายา  จะเห็นพระเยซูเจ้าที่นี่ได้อย่างไร?  ฉันปิดตาลงแล้วเปิดใหม่  และฉันก็ยังเห็นพระองค์อยู่ที่นั่น  พระองค์ตรัสด้วยความอ่อนโยนกับฉันว่า “ลูกมองเห็นเรา  เด็กน้อย  ลูกกำลังจะตาย  จงรู้สึกถึงความต้องการพระเมตตาของเราเถิด”  ลองนึกดู...และพระองค์ตรัสอีกว่า  “พระเมตตา, พระเมตตา”  แต่ในเวลานั้นฉันคิดว่า “ต้องการพระเมตตาทำไม?  ฉันเคยทำสิ่งเลวร้ายอะไรหรือ?”
ฉันไม่รู้สึกถึงความผิดพลาดของฉัน  แต่ฉันรู้แน่ว่าฉันกำลังจะตาย  ฉันรู้สึกเศร้าใจ...”อนิจจา  ฉันกำลังจะตาย!!!....อนิจจา  แหวนทองของฉัน!!!  ฉันนึกถึงแหวนทองของฉันขึ้นมาทันที  ฉันมองดูที่นิ้ว  มันถูกเผาไหม้ทั้งหมด  ราวกับว่ามันถูกระเบิดจนเละ  แต่ฉันยังพูดกับตัวเอง  “ฉันต้องถอดแหวนออก  มันมีราคาแพงมาก  ไม่เช่นนั้นพวกเขาอาจทำมันแตก  และมันจะไม่มีค่า”  ฉันไม่ได้คิดถึงเรื่องอื่นเลย  คุณไม่รู้หรอกว่า กลิ่นของเนื้อที่ถูกเผานั้นไม่น่าพอใจเลย  และยิ่งฉันถอดแหวน  มันยิ่งทำให้เนื้อเน่าเหม็น  แต่ฉันยังยืนกราน  ต้องทำให้สำเร็จ  ในที่สุดฉันก็ถอดแหวนออกได้สำเร็จ  แต่ทันใดฉันก็คิดขึ้นมาว่า  “ไม่นะ  ฉันกำลังจะตาย  และพยาบาลจะขโมยแหวนไป”  เวลานั้นน้องเขยของฉันก็มาถึง  ฉันดีใจมาก  ฉันบอกเขาว่า “รักษาแหวนของฉันด้วย” และเอาแหวนยัดใส่มือของเขา  เพราะเขาเป็นหมอ  และเขาอาจไม่เก็บแหวนเอาไว้  เขาอาจโยนมันทิ้ง  เพราะแหวนมีเศษเนื้อของฉันติดอยู่ด้วย  เขาบอกฉันว่าเขาจะนำไปให้เฟอร์นันโด  สามีของฉัน  ฉันพูดกับเขาว่า  “บอกน้องสาวของฉันให้ดูแลลูกๆของฉันด้วย  ช่างน่าสงสาร  พวกเขาจะไม่มีแม่แล้ว  อันที่จริง  ฉันก็ไม่ได้ทำหน้าที่แม่เลย”  ในเวลาใกล้ตายนี้  สิ่งที่แย่สำหรับฉันก็คือ  ฉันไม่ได้ใช้เวลาที่เหลือให้เป็นประโยชน์จากสิ่งที่พระเยซูเจ้าทรงมอบให้แก่ฉัน  ในการวิงวอนขอพระเมตตาและอภัยโทษจากพระองค์  แต่ฉันจะขออภัยโทษได้อย่างไร  ในเมื่อฉันคิดว่าฉันไม่มีบาป?  ฉันคิดว่าตัวเองเป็นนักบุญ  เมื่อไรก็ตามที่เราคิดว่าเราเป็น “นักบุญ”  เมื่อนั้นก็เท่ากับเราสาปแช่งตัวเอง
เมื่อฉันถอดแหวนออกและมอบให้กับน้องเขย  เพื่อที่เขาจะได้นำไปให้สามีของฉัน  ฉันก็พูดปลอบใจตัวเองว่า “ในที่สุด  ฉันก็ตายได้แล้ว”  และความคิดสุดท้ายก็คือ “อนิจจา  พวกเขาจะทำศพของฉันด้วยเงินจากที่ไหน  ในเมื่อตัวเลขในบัญชีธนาคารยังเป็นตัวแดงอยู่เลย?...”
พระเป็นเจ้า พระบิดา  ทรงรักพวกเราทุกคน  และเราแต่ละคน  ไม่ว่าเราจะเป็นคนดีหรือคนเลว  และถึงแม้เราจะอยู่ในช่วงเวลาสุดท้ายของชีวิต  พระองค์เสด็จมาหาเราด้วยพระทัยอ่อนโยนเป็นอย่างยิ่ง  ทรงสวมกอดเราด้วยความรักทั้งหมดของพระองค์....ทรงประสงค์จะช่วยเราให้รอด  แต่ถ้าหากเราไม่ต้อนรับพระองค์  ถ้าเราไม่วอนขออภัยโทษและพระเมตตาของพระองค์  และสำนึกในความผิดของเรา  พระองค์ต้องทรงยอมให้อิสระแก่เราที่จะเลือกว่าจะติดตามสิ่งใด  ถ้าหากเรามีชีวิตที่ปราศจากพระเป็นเจ้า  ในเวลานั้นเราจะปฏิเสธพระองค์  และพระองค์ทรงเคารพอิสรภาพของเรา  พระองค์ไม่บังคับเราให้ยอมรับพระองค์

แล้วหนังสือแห่งชีวิตของฉันก็ถูกปิดลง

การกลับมา
เมื่อหนังสือแห่งชีวิตของฉันถูกปิดลง  รู้ไหมว่าฉันรู้สึกอย่างไร  ฉันอกสั่นขวัญแขวนเป็นอย่างยิ่ง  ฉันเห็นตัวเองหัวกลับลงและรู้สึกว่ากำลังตกลงไปสู่ขุมไฟ  แล้วขุมไฟนั้นก็เปิดออกดูคล้ายกับรูขนาดใหญ่  ฉันตกลงไปข้างในนั้น  ฉันเริ่มร้องด้วยความกลัวเรียกชื่อนักบุญทุกองค์ให้มาช่วยฉัน  รู้ไหมว่าฉันเรียกชื่อนักบุญมากมายแค่ไหน  น.อัมโบรส  น. อิสิดอร์  น.ออกุสติน  ฯลฯ. ฉันไม่รู้ด้วยซ้ำว่าจำชื่อนักบุญมากมายขนาดนี้ได้อย่างไร  ทั้งๆที่ฉันเป็นคริสตชนที่ไม่ดี  แต่เมื่อฉันเรียกชื่อนักบุญทุกองค์เท่าที่จำได้เสร็จแล้ว  ฉันก็เงียบ....รู้สึกเหมือนตัวเองว่างเปล่า  ความเจ็บปวด  ความอับอายมากมายเหลือคณา  ฉันตระหนักว่าไม่มีใครสามารถช่วยฉันได้  ฉันจึงพูดกับตัวเองว่า  “...คนทั่วไป..บนโลก..ที่คิดว่าฉันเป็นนักบุญ...ที่หวังว่าเมื่อฉันตาย  จะได้วอนขอพระหรรษทานผ่านทางฉัน ตอนนี้ฉันอยู่ที่ไหน?  ฉันเงยหน้าขึ้นมองและได้เห็นคุณแม่ของฉัน  ฉันรู้สึกเศร้าใจมาก  ปวดร้าวใจยิ่งนัก เพราะคุณแม่ต้องการนำฉันไปสู่อ้อมพระหัตถ์ของพระเป็นเจ้า  ฉันร้องด้วยความสับสนและเป็นทุกข์ทรมานใจว่า “แม่จ๋า  ช่างน่าอายเหลือเกิน  ลูกได้สาปแช่งตัวเอง  ลูกกำลังจะไปที่ไหน  ลูกจะไม่ได้เห็นหน้าแม่อีกแล้ว”
          แต่ในขณะนั้น  พระเยซูเจ้าทรงประทานพระหรรษทานที่สวยงามมาก  คุณแม่ยืนอยู่อย่างเงียบๆ  และพระเป็นเจ้าทรงอนุญาตให้ท่านชี้นิ้วขึ้นเบื้องบน   เชื้อเชิญให้ฉันมองไปที่นั่น  ฉันมองเห็นตัวเองจากสายตาอีกคู่หนึ่งที่กำลังเจ็บปวด  มันเป็นความตาบอดฝ่ายจิตที่หลุดพ้น  และในชั่วขณะนั้นฉันได้เห็นที่นั่น  ในช่วงเวลาที่น่ามหัศจรรย์
วันหนึ่ง  คนไข้ของฉันคนหนึ่งพูดกับฉันว่า “คุณหมอ  ฉันรู้สึกเสียใจและเจ็บปวดแทนคุณหมอเป็นอย่างยิ่ง  เพราะคุณหมอยึดติดกับวัตถุนิยมมากเกินไป  แต่วันหนึ่งหากคุณหมอพบว่าตัวเองอยู่ในสถานการณ์ที่อันตรายร้ายแรง  ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม  ขอให้คุณหมอวิงวอนต่อพระเยซูคริสตเจ้าให้ทรงรักษาคุณหมอด้วยพระโลหิตของพระองค์  และคุณหมอจะได้ขออภัยต่อพระองค์  เพราะพระองค์จะไม่ทรงทอดทิ้งคุณหมอเลย  พระองค์ทรงใช้พระโลหิตของพระองค์เป็นค่าไถ่คุณหมอแล้ว”
ดังนั้นด้วยความอับอายและเศร้าเสียใจเป็นอย่างยิ่ง  ฉันเริ่มต้นร้องออกมาว่า “พระเยซูเจ้าข้า  โปรดทรงเมตตาต่อลูกด้วยเถิด  โปรดอภัยแก่ลูกด้วย  พระเยซูเจ้าข้า  โปรดอภัยลูกด้วย  โปรดให้โอกาสครั้งที่สองแก่ลูกด้วยเถิด”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น