การประจักษ์ครั้งที่ 6 -- การประจักษ์ครั้งสำคัญ
เราคงไม่สามารถขอบคุณและตอบแทนได้อย่างเหมาะสมสำหรับการที่แม่พระแห่งผลสำเร็จที่ดี ทรงประจักษ์ต่อคุณแม่มาเรียนา ทรงเผยแสดงเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในยุคสมัยของเรา
เป็นเวลาหลายร้อยปีก่อนที่จะเกิดเหตุการณ์นั้น แม่พระยังทรงตรัสแก่ซิสเตอร์ถึงพัฒนาการของประเทศเอกวาดอร์ การลอบสังหารประธานาธิบดีคาทอลิก กราเซีย
โมเรโน
การประกาศข้อความเชื่อเรื่องการปฏิสนธินิรมลของแม่พระ
และข้อความเชื่อเรื่องการไม่ผิดพลั้งของพระสันตะปาปา การโจมตีของกลุ่มลัทธิเมซอนต่อพระศาสนจักรคาทอลิก และอีกหลายเหตุการณ์
พระนางยังตรัสถึงความศรัทธาต่อแม่พระแห่งผลสำเร็จที่ดี ซึ่งจะยังไม่เกิดขึ้นจนกว่าจะถึงศตวรรษที่
20 และสิ่งนี้ก็ได้เกิดขึ้นแล้ว
การประจักษ์ที่นับว่าสำคัญที่สุดเกิดขึ้นในระยะใกล้ปลายชีวิตของคุณแม่มาเรียนา เช้าของวันที่ 2 ก.พ. 1634 ในวันฉลองการถือศีลชำระของแม่พระ คุณแม่มาเรียนากำลังสวดภาวนาอยู่เบื้องหน้าศีลมหาสนิท เมื่อท่านสวดภาวนาเสร็จ แสงจากตะเกียงข้างตู้ศีลก็ดับลง ทำให้โบสถ์ตกอยู่ในความมืดมิด แม่พระทรงประจักษ์มาและแจ้งแก่คุณแม่มาเรียนาว่า พระเยซูเจ้าทรงได้ยินคำอ้อนวอนของท่านแล้ว
และพระองค์จะทำให้ความทุกข์ของท่านสิ้นสุดลงภายในไม่เกินหนึ่งปี
“จงเตรียมวิญญาณของลูก เพื่อที่การชำระให้บริสุทธิ์จะได้มาถึงในความชื่นชมยินดีแห่งองค์พระเป็นเจ้าของเรา
โอ !
ถ้าหากมนุษย์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง วิญญาณนักบวช
จะได้รู้ว่าสวรรค์เป็นอย่างไรและการได้เป็นเจ้าของสวรรค์นั้นเป็นเช่นไรแล้ว พวกเขาจะดำเนินชีวิตแตกต่างจากปัจจุบันนี้ พวกเขาจะยอมอุทิศตนทั้งหมดเพื่อจะได้เป็นเจ้าของพระองค์”
แล้วแม่พระทรงอธิบายความหมายของการที่ไฟตะเกียงตู้ศีลดับลง
1. ความหมายแรกคือ
ปลายศตวรรษที่ 19 ไปจนถึงศตวรรษที่ 20
จะมีคำสอนผิดหลงนอกรีตมากมายถูกเผยแพร่ในดินแดนนี้ซึ่งเป็นสาธารณรัฐแล้ว
ด้วยการเผยแพร่คำสอนนอกรีตเหล่านี้จะดับแสงแห่งความเชื่ออันทรงคุณค่าจากจิตวิญญาณของมนุษย์ด้วยการฉ้อฉลของจิตใจ
ในช่วงเวลานี้จะมีหายนะภัยอันยิ่งใหญ่เกิดขึ้นทั้งฝ่ายร่างกายและฝ่ายจิตใจ ทั้งในที่สาธารณะและโดยส่วนตัว
“วิญญาณจำนวนเพียงเล็กน้อยซึ่งซ่อนตัวอยู่จะช่วยรักษาสมบัติแห่งความเชื่อเอาไว้ได้
และคนดีจะได้รับความทุกข์จากความโหดร้ายด้วยการเป็นมรณสักขีเป็นระยะเวลายาวนาน
หลายคนในบรรดาคนเหล่านี้จะถูกทรมานจนเสียชีวิต
คนที่ยอมสละชีวิตของตนเพื่อพระศาสนจักรและประเทศจะได้เป็นมรณสักขี
“เพื่อปลดปล่อยมนุษย์จากการยึดถือคำสอนผิดหลงนอกรีตเหล่านี้
ต้องอาศัยผู้ที่มีจิตใจเข้มแข็งเป็นอย่างมากและเขาจะต้องเข้ามาพึ่งพาความรักจากองค์พระบุตรของแม่ อย่างสม่ำเสมอ
ด้วยความกล้าหาญและความวางใจในพระเป็นเจ้า
เพื่อทดสอบความเชื่อและความวางใจของผู้ชอบธรรมเหล่านี้ จะมีบางเวลาที่ดูเหมือนทุกสิ่งจะสูญเสียไปและหมดสิ้นความหวัง
แต่นั่นจะเป็นจุดเริ่มต้นของการฟื้นฟูบูรณะที่สมบูรณ์”
วิญญาณที่ถูกเลือกเหล่านี้ ผู้ซึ่งจะช่วยรักษาพระศาสนจักร เป็นผู้ที่ น. หลุยส์ มารีย์ เดอ มงฟอร์ต ได้บรรยายไว้ว่า พวกเขาคืออัครสาวกในวาระสุดท้าย โดยอาศัยความศรัทธาต่อพระแม่มารีย์
2.
ความหมายประการที่สอง
“คอนแวนต์ของแม่นี้จะมีขนาดเล็กลงเป็นอย่างมาก
จะจมลงสู่ก้นบึ้งของมหาสมุทรแห่งความขมขื่นอย่างยิ่ง
และจะดูเหมือนจมลงในกระแสน้ำแห่งความทุกขเวทนา” กระแสเรียกของหลายคนจะสูญสลายไป แม่พระตรัสต่อว่า
ความอยุติธรรมจะแทรกซึมเข้ามาแม้แต่ในคอนแวนต์นี้ “ความจอมปลอมภายใต้ชื่อของความเมตตาที่หลอกลวง จะทำลายจิตวิญญาณ”
และวิญญาณของผู้สัตย์ซื่อจะร่ำไห้ในที่ลับเพื่อวิงวอนขอให้เวลานี้สั้นลง ให้ความทุกข์ที่กำลังเป็นอยู่ได้บรรเทาเพื่อทำให้การเป็นมรณสักขีลดน้อยลง
3. เหตุผลประการที่สามที่แสงตะเกียงตับ เนื่องมาจากจิตวิญญาณแห่งความไม่บริสุทธิ์
ซึ่งจะเข้มข้นขึ้นในบรรยากาศแห่งยุคสมัยนั้น
เหมือนมหาสมุทรที่สกปรก
มันจะไหลนองมาบนพื้นถนน ในจัตุรัส ในที่สาธารณะด้วยเสรีภาพที่น่าประหลาดใจ
“เกือบจะไม่มีวิญญาณที่บริสุทธิ์เหลืออยู่เลยในโลก”
พรหมจรรย์อันละเอียดอ่อนจะถูกรังเกียจและถูกทำลายอย่างสมบูรณ์ อย่างไรก็ตาม
แม่พระทรงสัญญาว่าจะยังคงมีวิญญาณที่ดีบางคนเหลืออยู่ภายในอารามซึ่งเป็นต้นกำเนิด พวกเขาจะเติบโตและอาศัยอยู่เหมือนเกราะกำบังให้แก่โลกต่อพระพิโรธของสวรรค์
แม่พระตรัสว่า “เมื่อปราศจากพรหมจรรย์
จำเป็นที่ไฟจากสวรรค์จะต้องตกลงเหนือแผ่นดินเหล่านั้นเพื่อชำระล้างพวกเขาให้บริสุทธิ์”
4. เหตุผลประการที่สี่ที่แสงตะเกียงดับลง คือกลุ่มลัทธิเมซอนนิก
ซึ่งจะแทรกซึมเข้าในวงสังคมระดับต่างๆ
มันจะนำคำสอนผิดๆเข้าไปในบ้านเพื่อทำร้ายเด็กๆ และปีศาจจะได้รับการสรรเสริญจากหัวใจที่ละเอียดอ่อนของบรรดาเด็กๆ
“ในระหว่างช่วงเวลาแห่งเคราะห์ร้ายนี้
ปีศาจจะล่อลวงบรรดาเด็กที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสา และด้วยเหตุนี้ กระแสเรียกเป็นพระสงฆ์จะสูญหายไป ซึ่งจะเป็นหายนะภัยที่แท้จริง”
แม่พระทรงสัญญาอีกครั้งว่า ในช่วงเวลานี้จะยังคงมีชุมนุมชนของนักบวช ผู้ซึ่งจะช่วยรักษาพระศาสนจักรและผู้อภิบาลศักดิ์สิทธิ์ของพระแท่นบูชา
– เป็นวิญญาณที่สวยงามและซ่อนเร้น
พวกเขาจะทำงานด้วยความกล้าหาญและไม่คำนึงถึงผลประโยชน์ส่วนตน แต่เพื่อช่วยวิญญาณให้รอด แต่แม่พระทรงเตือนว่า “พวกเขาจะถูกโจมตี ความชั่วจะก่อสงครามอันโหดร้าย เขาจะถูกจับผิด ใส่ความ ทำร้าย
เพื่อกีดขวางไม่ให้เขาปฏิบัติหน้าที่ได้
แต่พวกเขาจะเป็นเหมือนเสาหลักที่มั่นคง
พวกเขาจะไม่หวั่นไหวแต่จะเผชิญหน้ากับทุกสิ่งด้วยจิตวิญญาณแห่งความถ่อมตนและความเสียสละซึ่งเป็นอาภรณ์ที่เขาสวมใส่
โดยอาศัยคุณธรรมความเมตตาอันไม่มีที่สิ้นสุดขององค์พระบุตรของแม่ ผู้ซึ่งทรงรักพวกเขาด้วยดวงพระทัยอันอ่อนโยนของพระองค์”
แม่พระทรงตรัสต่อไปว่า
“ในช่วงเวลานี้พระสงฆ์จะห่างไกลจากจิตวิญญาณของความเป็นสงฆ์
เพราะพวกเขาจะไม่ใส่ใจในหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์ อันเนื่องมาจากขาดเข็มทิศแห่งสวรรค์ พวกเขาจะหลงทางออกจากถนนที่มุ่งตรงสู่พระเป็นเจ้า และจะยึดติดกับความร่ำรวยและทรัพย์สมบัติ อันเป็นสิ่งที่พวกเขาไม่ควรแสวงหา
“พระศาสนจักรจะต้องทนทุกข์มากสักเพียงไรในเวลานั้น
–ค่ำคืนอันมืดมิดของการขาดพระสังฆราชและบิดาเพื่อคอยดูแลพวกเขา(พระสงฆ์)
ด้วยความรักของบิดา ด้วยความอ่อนโยน พละกำลัง
ความเข้าใจและความชาญฉลาด
พระสงฆ์หลายองค์จะสูญเสียจิตวิญญาณความเป็นสงฆ์ของตน ทำให้วิญญาณของตนอยู่ในอันตรายอย่างใหญ่หลวง”
แม่พระทรงอธิบายต่อไปว่า
“เพราะฉะนั้นจงสวดภาวนาอย่างไม่หยุดหย่อน
ไม่เหนื่อยล้าและจงร่ำไห้ด้วยน้ำตาที่ขมขื่นภายในหัวใจที่ลึกลับของลูกเถิด จงวอนขอต่อพระบิดานิรันดรเพื่อให้ ความรักต่อศีลมหาสนิท
ต่อดวงพระหฤทัยแห่งองค์พระบุตรของแม่และพระโลหิตอันประเสริฐของพระองค์จะได้หลั่งลงในวาระนั้น...พระองค์จะได้ทรงสงสารบรรดาผู้อภิบาลของพระองค์และทำให้เวลานั้นจบสิ้นลง
พร้อมทั้งส่งพระสังฆราชมาให้พระศาสนจักรผู้ซึ่งจะช่วยรักษาจิตวิญญาณของพระสงฆ์ของท่าน
“องค์พระบุตรและแม่จะรักบรรดาบุตรเหล่านี้ด้วยความรักอันไม่อาจพรรณนาได้
และเราทั้งสองจะประทานพระพรแก่พวกเขาอย่างมากมายเพื่อทำให้พวกเขามีหัวใจที่ถ่อมตน ว่านอนสอนง่ายต่อการดลใจแห่งสวรรค์
มีพละกำลังที่จะต่อสู้เพื่อความถูกต้องของพระศาสนจักร มีความอ่อนโยนและความรักในหัวใจ
เพื่อเขาจะได้เป็นเหมือนพระคริสต์อีกองค์หนึ่ง เขาจะช่วยเหลือทั้งผู้ใหญ่และผู้น้อย โดยไม่ทอดทิ้งวิญญาณที่เคราะห์ร้ายที่มาขอคำแนะนำและความสว่างจากพวกเขาในเวลาแห่งความสงสัยและความลำบากของแต่ละคน สถานที่ศักดิ์สิทธิ์จะมาอยู่ในมือของพวกเขามากขึ้น
และทุกสิ่งจะถูกชั่งตามมาตรฐานและพระเป็นเจ้าจะได้รับการสรรเสริญ”
“วิญญาณที่เฉื่อยชาของผู้ถวายตนต่อพระเจ้าในฐานะพระสงฆ์และนักบวชจะยังยั้งการมาของพระสังฆราชและบิดาผู้นี้
และนั่นจะเป็นเหตุให้การสาปแช่งของปีศาจเข้าครอบครองดินแดนนี้ มันจะประสบความสำเร็จโดยอาศัยชาวต่างชาติที่ปราศจากความเชื่อ ซึ่งมีจำนวนมากมายเหมือนเมฆหนาดำทึบ
มันจะกีดขวางการยกถวายอันบริสุทธิ์ของประเทศนี้แด่ดวงพระหฤทัยอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้า
- องค์พระบุตรของแม่
“เพราะคนพวกนี้
ความชั่วร้ายจึงเข้ามา
ซึ่งจะดึงดูดทุกขเวทนาทุกชนิดให้มายังประเทศนี้ อาทิเช่น
โรคระบาด ข้าวยากหมากแพง สงครามกลางเมืองและสงครามกับประเทศอื่น การละทิ้งศาสนา
สิ่งเหล่านี้จะเป็นสาเหตุของความเศร้าโศกสำหรับวิญญาณจำนวนมาก สำหรับพระเยซูเจ้าและสำหรับแม่ด้วย
“เพื่อที่จะสลายเมฆดำนี้ซึ่งกีดกั้นความชื่นชมยินดีของพระศาสนจักรในวันอันสดใสแห่งเสรีภาพ
จะมีสงครามที่น่ากลัวที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
ที่ทำให้โลหิตของประชากรและชาวต่างชาติต้องหลั่งชโลมดิน
รวมทั้งโลหิตของพระสงฆ์,นักบวชและฆราวาส
ค่ำคืนนั้นจะน่ากลัวที่สุด
เพราะพูดไปแล้ว
ความชั่วร้ายจะมองเห็นชัยชนะของมัน
“แล้วนั้น
เวลาของแม่จะมาถึง
แม่จะกระชากลากเจ้าซาตานให้ลงมาจากบัลลังก์แห่งความเย่อหยิ่งของมันอย่างอัศจรรย์
จะกระทืบมันภายใต้เบื้องบาทของแม่และล่ามโซ่มันไว้ในขุมนรกนิรันดร
และแล้วพระศาสนจักรและประเทศจะเป็นอิสระจากการปกครองแบบเผด็จการอันชั่วร้ายของมัน”
5.
เหตุผลประการที่ห้าที่ตะเกียงดับ มีสาเหตุเนื่องมาจาก
ความไม่สนใจและการละเลยของบรรดาผู้ที่ครอบครองทรัพย์สมบัติมหาศาล
พวกเขาไม่สนใจและนิ่งเฉยเฝ้ามองดูพระศาสนจักรถูกกดขี่ คนดีมีคุณธรรมถูกเบียดเบียน
และมองดูชัยชนะของปีศาจโดยปราศจากจิตเมตตาเอื้ออาทร พวกเขาไม่ยอมใช้ทรัพย์สมบัติของตนมาช่วยเหลือและทำลายความชั่วร้ายนี้และเพื่อรักษาความเชื่อ นอกจากนั้นยังมีสาเหตุมาจากการที่ประชาชนยอมให้พระนามของพระเป็นเจ้าค่อยๆถูกถอดถอนออกทีละเล็กทีละน้อย และยอมให้จิตแห่งความชั่วร้ายเข้ามาแทนที่แถมยังยอมรับเอาความชั่วและกิเลสตัณหาด้วยใจอิสระ”
“อนิจจา! ลูกสาวที่ถูกเลือกของแม่เอ๋ย! ถ้าลูกไปอยู่ในช่วงเวลานั้น
ลูกจะต้องตายด้วยความโศกเศร้าเมื่อเห็นทุกสิ่งที่แม่ได้เปิดเผยแก่ลูกบังเกิดขึ้น แต่องค์พระบุตรสุดที่รักของแม่และแม่มีความรักใหญ่หลวงต่อดินแดนนี้ซึ่งเป็นมรดกของเรา
เราจึงปรารถนาให้ลูกอุทิศชีวิตของลูกและสวดภาวนาเพื่อทำให้ระยะเวลาอันน่าหวาดหวั่นนั้นสั้นลง”
เมื่อแม่พระทรงอธิบายความหมายของการที่ตะเกียงดับลงเสร็จแล้ว คุณแม่มารียนาได้เห็นวิญญาณที่ต้องสูญเสียไปในช่วงเวลานั้น ด้วยความรู้สึกท่วมท้นที่ได้เห็นภาพของวิญญาณนับไม่ถ้วนต้องถูกสาปแช่งในช่วงเวลาดังกล่าว คุณแม่มาเรียนาถึงกับเป็นลมสลบ
และซิสเตอร์คนอื่นมาพบท่านในสภาพเหมือนตายไปแล้ว
เพียงแต่หัวใจยังเต้นอย่างอ่อนๆ
นายแพทย์ทั้งหลายพยายามช่วยให้ท่านฟื้นขึ้นมาแต่ไม่ประสบผลสำเร็จ และได้ยืนยันว่าท่านได้เสียชีวิตแล้วจากอาการช็อค
บรรดาซิสเตอร์ได้สวดภาวนวิงวอนต่อสวรรค์ให้คุณแม่มาเรียนา
ซึ่งเป็นอธิการผู้ก่อตั้งคนสุดท้ายของพวกเขา “เป็นผู้ดูแลและเสาหลักของบ้าน” สองวันต่อมา
คุณแม่มาเรียนาก็ลืมตาขึ้น ทำให้บรรดาซิสเตอร์ยินดีเป็นอย่างยิ่ง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น