ในหลายประเทศวันฉลองพระวรกายและพระโลหิตพระคริสตเจ้า ตรงกับวันอาทิตย์
แต่ตามธรรมเนียมดั้งเดิมนั้นวันฉลองนี้ตรงกับวันพฤหัสบดี
หลังจากวันอาทิตย์พระตรีเอกภาพ
พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ได้เคยตรัสเมื่อวันที่
17 พ.ย. 2010 เกี่ยวกับประวัติของวันฉลองพระวรกายและพระโลหิตพระคริสตเจ้า
ซึ่งนักบุญจูเลียนาเป็นผู้ริเริ่มขึ้นเป็นคนแรกและทำให้เกิดวันฉลองนี้ในพระศาสนจักร
ต่อไปนี้เป็นพระดำรัสของพระองค์
* * *
* * *
พี่น้องชายหญิงที่รัก
เช้าวันนี้ข้าพเจ้าขอแนะนำสตรีผู้หนึ่งให้ท่านรู้จัก
ถึงแม้เธอไม่ค่อยเป็นที่รู้จักกันมากนักแต่พระศาสนจักรเป็นหนี้บุญคุณเธอผู้นี้มาก
ไม่แต่เฉพาะความศักดิ์สิทธิ์ในชีวิตของเธอเท่านั้น
แต่เธอยังได้ทำสิ่งดีงามที่ยิ่งใหญ่
เธอได้ทำให้เกิดพิธีกรรมที่สำคัญที่สุดในปีพิธีกรรมนี้ นั่นคือ
วันฉลองพระวรกายและพระโลหิต พระคริสตเจ้า
เธอคือ นักบุญจูเลียนาแห่งคอร์นิลลอน ( St Juliana de Cornillon)
เป็นที่รู้จักกันในนาม นักบุญจูเลียนาแห่งลีจจี ( St Juliana
of Liège) เรารู้
เรื่องราวของเธอหลายอย่างซึ่งมาจากการเขียนประวัติของเธอโดยบุคคลท่านหนึ่งซึ่งได้รวบรวมพยานหลักฐานจากผู้คนที่ได้ติดต่อกับท่านนักบุญโดยตรง
จูเลียนาเกิดใกล้เมืองลีจจี ประเทศเบลเยี่ยม ระหว่างปี 1191-1192
เป็นสิ่งสำคัญที่ต้องพูดถึงสถานที่เกิดของเธอ เพราะในเวลานั้นสังฆมณฑลลีจจีเป็น “สถานที่ซึ่งมีความศรัทธาต่อศีลมหาสนิท” เป็นอย่างยิ่ง ก่อนที่จูเลียนาเกิดมา
นักเทววิทยาผู้มีชื่อเสียงหลายท่านได้พิสูจน์ให้เห็นถึงคุณค่ามหาศาลของศีลมหาสนิท
และที่ลีจจีนี้เช่นเดียวกัน
ได้มีกลุ่มสตรีที่อุทิศตนในการนมัสการศีลมหาสนิทและเทิดทูนศีลมหาสนิท
พวกเธอได้รับการแนะนำและด้วยแบบอย่างจากพระสงฆ์ พวกเธออาศัยอยู่ร่วมกันใช้เวลาในการสวดภาวนาและทำกิจการกุศล
จูเลียนาเป็นเด็กกำพร้าเมื่ออายุ 5 ขวบ เธอมีพี่สาวชื่อ อักเนส
ซึ่งต่อมาทั้งสองได้เป็นซิสเตอร์ในคณะออกุสติเนียนและอยู่ในอารามที่เลโปรซาเรี่ยมที่มองต์คอร์นิลลอน(
leprosarium
of Mont-Cornillon)
จูเลียนาได้รับการสั่งสอนจากซิสเตอร์ชื่อ “ซาเปียนซา”(แปลว่าปรีชาญาณ) ซึ่งรับหน้าที่ในการดูแลและพัฒนาจิตใจของเธอจนกระทั่ง
จูเลียนาได้รับการบวชและกลายเป็นแม่ชีของคณะออกุสติเนียน
เธอเล่าเรียนได้ดีมากจนเธอสามารถอ่านหนังสือของบรรดานักปราชญ์ของพระศาสนจักรได้
อาทิเช่น หนังสือของ น.ออกุสติน และน. เบอร์นาร์ด ซึ่งเป็นภาษาลาติน
เธอมีความเฉลียวฉลาดและยังแสดงให้เห็นถึงความสามารถพิเศษของการเพ่งรำพึง
เธอสัมผัสได้ถึงการปรากฏของพระคริสต์
โดยได้มีประสบการณ์ในขณะที่อยู่เบื้องหน้าศีลมหาสนิท
เธอจะรู้สึกดื่มด่ำอยู่ในการเพ่งรำพึงนั้น บ่อยครั้งเธอต้องหยุดการเพ่งรำพึงเมื่อรำพึงถึงพระวาจาของพระเยซูเจ้าที่ว่า
“จงรู้ไว้เถิดว่า เราจะอยู่กับท่านตลอดเวลาตราบจนสิ้นพิภพ” (มท. 28:20)
เมื่อจูเลียนาอายุ 16 ปี
เธอได้รับนิมิตเป็นครั้งแรกซึ่งเกิดขึ้นหลายครั้งในระหว่างการเคารพศีลมหาสนิท
ในนิมิตเธอเห็นดวงจันทร์ส่องแสงสุกสกาว มีเส้นสีดำลากผ่าศูนย์กลางของดวงจันทร์
พระเยซูเจ้าทรงทำให้เธอเข้าใจถึงความหมายของภาพนี้
ดวงจันทร์เป็นสัญลักษณ์ของพระศาสนจักรบนโลกนี้
เส้นทึบสีดำหมายถึงพิธีฉลองอย่างหนึ่งซึ่งยังขาดหายไป ซึงจูเลียนาถูกขอร้องให้เป็นผู้ริเริ่มให้เกิดขึ้น
วันฉลองนี้ ก็คือ การเคารพศีลมหาสนิท
ซึงจะช่วยเพิ่มพูนความเชื่อของคริสตชนมากยิ่งขึ้นและทำให้การปฏิบัติคุณงามความดีก้าวหน้ามากขึ้นและเป็นการชดเชยความผิดของผู้ที่ทำทุรจารต่อศีลมหาสนิทด้วย
จูเลียนา
มีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้ทราบเรื่องนี้แต่เธอได้เก็บเรื่องนี้เป็นความลับเป็นเวลานานถึง
20 ปี และในเวลาที่เธอได้เป็นอธิการของอารามแล้ว
เธอจึงได้เปิดเผยให้แก่นักบวชสองคนซึ่งเป็นผู้ที่ศรัทธาในศีลมหาสนิทเป็นอย่างยิ่ง
คนหนึ่งคือ บุญราศีเอวา ผู้ดำรงชีวิตเป็นฤษี และ อีกคนคือ อิซาเบลลา
ซึ่งมาอยู่กับเธอที่อารามในมองต์คอร์นิลลอน
สตรีทั้งสามคนได้ก่อตั้งกลุ่มซึ่งมีลักษณะเป็น “สหพันธ์ฝ่ายจิต”
(spiritual alliance)โดยมีจุดประสงค์เพื่อเทิดเกียรติ
ศีลมหาสนิท
พวกเธอยังได้เลือกพระสงฆ์ที่น่านับถือท่านหนึ่ง ยอห์นแห่งเลาซาน ( John of Lausanne) ให้เป็นที่ปรึกษา
ท่านเป็นที่ปรึกษาฝ่ายกฏพิธีกรรมของสังฆมณฑลเซนต์มาร์ตินในลีจจี
สตรีทั้งสามได้ปรึกษาท่านเกี่ยวกับเทววิทยาและพิธีกรรมซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญสำหรับการก่อตั้งนี้
และก็ได้รับคำปรึกษาและการยืนยันที่น่าพอใจ
สิ่งที่เกิดขึ้นกับจูเลียนาในชีวิตของการเป็นนักบุญ ยืนยันกับเราว่า
แรงบันดาลใจซึ่งมาจากพระเป็นเจ้านั้นจำเป็นต้องอาศัยการสวดภาวนาอย่างสม่ำเสมอและการรอคอยด้วยความอดทน
จำเป็นต้องอาศัยมิตรภาพและการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับผู้มีจิตวิญญาณดีงามท่านอื่นๆ
และที่สุดต้องนำทุกสิ่งให้อยู่ในการตัดสินใจของผู้อภิบาลของพระศาสนจักร
พระสังฆราชโรเบิร์ต โทโรเท (Bishop Robert Torote) ของสังฆมณฑลลีจจี
ในตอนแรกลังเลใจ แต่สุดท้ายก็อนุญาติในข้อเสนอของจูเลียนาพร้อมกับเพื่อนๆของเธอ
และได้จัดพิธีกรรมอันสง่างามขึ้นเพื่อฉลองพระวรกายและพระโลหิตพระคริสตเจ้าในสังฆมณฑลของท่าน
โดยมีการเคารพศีลมหาสนิทและการแห่แหนอย่างสง่า ต่อมาพระสังฆราชท่านอื่นๆได้เห็นตัวอย่างนี้และได้ทำตามในสังฆมณฑลของตนเองบ้าง
อย่างไรก็ตาม เพื่อเพิ่มพูนความเชื่อของพวกเขา
พระเยซูเจ้าทรงขอร้องให้นักบุญยอมรับการทดลองด้วย
สิ่งนี้เกิดขึ้นแก่จูเลียนาโดยเธอได้รับการต่อต้านจากบุคคลบางกลุ่มซึ่งเป็นพระสงฆ์และบางคนก็เป็นพระสงฆ์ผู้ใหญ่ซึ่งอารามของเธอต้องขึ้นตรงกับท่านเหล่านั้นด้วย
ด้วยเหตุนี้
จูเลียนาจึงตัดสินใจยอมออกจากคอนแวนต์แห่งมองต์คอร์นิลลอนพร้อมกับเพื่อนๆหลายคน
เป็นเวลานานถึง 10 ปี ตั้งแต่ 1248 – 1258
เธอได้ไปพักอาศัยในอารามอื่นหลายแห่งในคณะซิสเตอร์เซียน Cistercian sisters
เธออธิบายและสอนทุกคนด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตน
เธอไม่เอ่ยปากวิพากษ์วิจารณ์และบ่นว่าคนที่ต่อต้านเธอและคนเหล่านั้นก็ยังคงขัดขวางการเผยแพร่การนมัสการศีลมหาสนิทอยู่ต่อไป
จูเลียนาเสียชีวิตที่ Fosses-La-Ville ในเบลเยี่ยม ปี 1258
เธอเสียชีวิตในห้องพักซึ่งมีศีลมหาสนิทตั้งวางไว้ ตามหนังสือชีวประวัติของเธอ
จูเลียนาเสียชีวิตขณะที่ทำการเพ่งรำพึงอย่างดื่มด่ำในความรักของพระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิท
ซึ่งเป็นที่รักและเคารพเทิดทูนของเธอเสมอมา Jacques Pantaléon of Troyes เป็นพระสังฆราชผู้ได้ดำเนินการต่อมาในการฉลองพระวรกายและพระโลหิตพระคริสตเจ้าในระหว่างที่ท่านอภิบาลดูแลสังฆมณฑลในลีจจี
และเป็นท่านซึ่งต่อมาได้รับเลือกให้เป็นพระสันตะปาปาทรงพระนามว่า อูรบันที่ 4 ในปี
1264
พระองค์ทรงตั้งวันฉลองพระวรกายและพระโลหิตพระคริสตเจ้าอย่างเป็นทางการในพระศาสนจักร
ให้ตรงกับวันพฤหัสบดีหลังจากวันอาทิตย์พระตรีเอกภาพ
ในสมณสาส์นการก่อตั้งซึ่งมีชื่อว่า Transiturus de hoc
mundo, (11 Aug. 1264), พระสันตะปาปาอูรบัน
ยังได้อ้างโดยตรงถึงประสบการณ์ของจูเลียนากับศีลมหาสนิท
และทรงยืนยันในความน่าเชื่อถือ พระองค์ทรงเขียนว่า “ถึงแม้ว่าศีลมหาสนิทจะได้รับการเฉลิมฉลองทุกวันอยู่แล้วก็จริง
แต่เราเห็นว่ามีความเหมาะสมที่จะให้อย่างน้อยมีหนึ่งวันในปีหนึ่ง
มีการเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่เพื่อเคารพเทิดทูนศึลมหาสนิทนี้”
“
เราจะได้รับรู้สึกถึงการปรากฏของพระคริสตเจ้าในจิตใจและความคิดของเราอย่างแท้จริง
แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเราได้เห็นองค์พระคริสตเจ้าหรอกนะ ในทางตรงข้าม
ถึงแม้ว่ารูปปรากฏจะเป็นอย่างอื่น
แต่ในศีลมหาสนิทนี้ก็เป็นองค์พระคริสตเจ้าอย่างแท้จริง
พระเยซูคริสตเจ้ายังคงอยู่กับพวกเราด้วยพระองค์เองอย่างแท้จริง
ขณะที่พระองค์เสด็จขึ้นสู่สวรรค์นั้น พระองค์ตรัสว่า “จงรู้ไว้เถิดว่า
เราจะอยู่กับพวกท่านตลอดเวลาตราบจนสิ้นพิภพ” (มท. 28:20)
พระสันตะปาปาทรงทำการฉลองพระวรกายและพระโลหิตพระคริสตเจ้าขึ้นที่เมือง
ออเวียตโต Orvieto
เพราะพระองค์ทรงประทับอยู่ที่นั่น
พระองค์ทรงตรัสสั่งให้นำแผ่นศีลที่มีอัศจรรย์กลายเป็นเนื้อและเลือดที่เกิดขึ้นที่เมือง
บอลซีนา Bolsena เมื่อปีที่แล้ว 1263
ให้นำมาไว้ที่อาสนิวหารของ ออเวียตโต - และได้อยู่มาจนถึงทุกวันนี้
อัศจรรย์ศีลมหาสนิทเกิดขึ้น
เมื่อพระสงฆ์ท่านหนึ่งซึ่งมีความสงสัยในความจริงเกี่ยวกับการปรากฏอย่างแท้จริงของพระเยซูเจ้าในศีลมหาสนิท
ในขณะที่ท่านกำลังเสกแผ่นศีลให้กลายเป็นพระกายและพระโลหิตของพระเยซูเจ้า
เวลานั้นเองโลหิดก็เริ่มไหลออกมาจากแผ่นศีล
เป็นการยืนยันความจริงในเรื่องนี้แก่พวกเรา
พระสันตะปาปาอูรบันที่ 4
ทรงขอให้นักเทววิทยาผู้ยิ่งใหญ่ท่านหนึ่งในประวัติศาสตร์ -- นักบุญโทมัส อควินัส – ซึ่งในเวลานั้นอยู่กับพระองค์ที่ออเวียตโต
ให้นิพนธ์บทพิธีกรรมที่จะใช้ในงานฉลองที่ยิ่งใหญ่นี้
และบทพิธีกรรมนี้ถือเป็นผลงานชิ้นเยี่ยมทีเดียว ซึ่งยังคงใช้อยู่ในทุกวันนี้
(บทเพลง Pange Lingua ตานตูมเอโก )
บทพิธีกรรมนี้ให้ความรู้สึกกินใจและตระหนักว่าศีลมหาสนิทเป็นองค์พระเยซูเจ้าอย่างแท้จริง
ซึ่งมาจากความรักของพระองค์เพื่อเป็นค่าไถ่มนุษย์
ทำให้เรากลับคืนดีกับพระบิดาเจ้าและทำให้เราได้รับความรอด
หลังจากการสิ้นพระชนม์ของพระสันตะปาปาอูรบันที่ 4
การเฉลิมฉลองพระวรกายพระคริสตเจ้าจำกัดวงอยู่ในประเทศฝรั่งเศส เยอรมณี ฮังการี
และอิตาลีตอนเหนือ ต่อมา พระสันตปาปายอห์นที่22 ในปี 1317
ได้ทรงเริ่มให้มีพิธีเฉลิมฉลองนี้อีกครั้งในพระศาสนจักรทั่วโลก
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาการเฉลิมฉลองนี้ก็พัฒนาเรื่อยมาและคงอยู่ในหัวใจของคริสตชนทั่วโลกอย่างลึกซึ้ง
*******************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น