มีนักบวชหลายร้อยคนจากคณะต่างๆทั่วโลกที่เป็นพยานยืนยันอัศจรรย์นี้ ยกตัวอย่างเช่น พระสงฆ์คณะคาปูชิน Father Celestino Maria de Pozuelo
ท่านมาที่ลิมปัสวันที่ 29 ก.ค. 1919 และได้เขียนรายละเอียดในรายงานว่า
“.....พระพักตร์แสดงถึงความเจ็บปวดสาหัส
ร่างกายเป็นสีม่วงเพราะรอยฟกช้ำ
เหมือนกับพระองค์ทรงถูกโบยตีอย่างโหดร้าย
และมีเหงื่อท่วมตัว...”
Father Valentin Incio แห่ง Gijon รายงานว่า
ท่านมาที่ลิมปัสพร้อมกับกลุ่มแสวงบุญในวันที่ 4 ส.ค. 1919 มีผู้แสวงบุญ 30-40
คน เป็นพระสงฆ์สองท่าน กลาสี 10
คนและผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งได้ร้องไห้ออกมา
คุณพ่อเขียนรายงานว่า “ตอนแรกดูเหมือนพระเยซูเจ้าทรงมีชีวิต
พระเศียรอยู่ในตำแหน่งปกติและพระพักตร์ก็ดูปกติ แต่ดวงพระเนตรดูมีชีวิตและมองไปยังทิศทางต่างๆ
และแล้วพระองค์ทรงเพ่งมองมาที่ตรงกลางบริเวณที่มีกลาสียืนอยู่ พระองค์มองอยู่เป็นเวลานาน แล้วค์ก็ทรงหันมองไปทางซ้ายยังบริเวณซาคริสตี ทรงชำเลืองมองอยู่สักพักหนึ่ง แล้วก็ถึงเวลาที่น่าประทับใจสำหรับทุกคน พระเยซูเจ้าทรงหันมามองพวกเราทุกคนด้วยความอ่อนโยนและเมตตาอย่างที่สุด และด้วยความรักอย่างที่สุด
พวกเราถึงกับคุกเข่าลงและร้องไห้ถวายเกียรติแด่พระองค์...แล้วพระองค์ทรงปิดตาและลืมตา ทำให้เห็นว่ามีน้ำพระเนตรอยู่เอ่อล้น
แล้วพระองค์ทรงเคลื่อนไหวริมฝีปากเหมือนกับพระองค์ทรงตรัสหรือสวดภาวนาอยู่ ในเวลานั้นผู้หญิงที่อยู่ข้างๆผม
ได้เห็นพระอาจารย์ทรงพยายามเคลื่อนไหวแขนเพื่อให้หลุดออกจากไม้กางเขน” ในรายงานนี้มีพระสงฆ์ลงชื่อรับรองสามท่าน กลาสีเก้าคนและสตรีหนึ่งคน
Father Paulino Girbes
จากโบสถ์เซนต์นิโคลัส ในวาเลนเซีย เล่าว่า
วันที่ 15 ก.ย. 1919 ท่านเดินทางมาพร้อมกับพระสังฆราชสองท่านและพระสงฆ์
18ท่าน ทุกคนได้คุกเข่าที่ไม้กางเขน
“...เราทุกคนได้เห็นพระพักตร์พระเยซูเจ้าทรงเศร้าโศก ซีด
และมีสีคล้ำ
ปากอ้าออกมากกว่าปกติ
ดวงพระเนตรชำเลืองมองอย่างอ่อนโยนมายังพระสังฆราชและแล้วก็มองไปยังบริเวณซาคริสตี ภาพที่เห็นแสดงถึงความดิ้นรนในความตายของพระองค์ ซึ่งใช้เวลานานกว่าจะสิ้นสุดลง ผมไม่สามารถระงับน้ำตาไม่ให้ไหลและเริ่มร้องไห้ คนอื่นๆก็เช่นเดียวกัน...”
Father Joseph Einsenlohr ได้เขียนรายงานวันที่
18 มิ.ย. 1921 หลังจากประกอบพิธีมิสซาที่พระแท่นใต้ไม้กางเขนนี้ ท่านได้นั่งที่โบสถ์เพื่อร่วมพิธีมิสซาที่พระสงฆ์ท่านอื่นกำลังทำพิธีอยู่
“หลังจากพระเยซูเจ้าทรงหันศีรษะและดวงตาสักระยะหนึ่ง พระองค์เริ่มขยับบ่าของพระองค์เพื่อบิดและงอแขน
เหมือนคนที่ถูกตอกตะปูกับไม้กางเขนในขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ทุกๆส่วนเคลื่อนไหว ยกเว้นมือและเท้าที่มีตะปูตอกตรึงอยู่กับที่
ในที่สุดร่างกายทุกส่วนก็ผ่อนคลายเหมือนกับเสียชีวิตแล้ว และแล้วภาพก็มาอยู่ในสภาพปกติอีกครั้ง ศีรษะและดวงตาของพระองค์มองขึ้นสู่สวรรค์ ภาพที่เห็นทั้งหมดเริ่มต้นจากภาคถวายของมิสซาไปจบลงที่ภาคพระสงฆ์แจกศีลมหาสนิท...”
Father Antonio Maria de Torrelavega พระสงฆ์คาปูชิน
ได้มาที่ลิมปัสวันที่ 11 ก.ย.1919
ท่านเห็นโลหิตไหลออกมาจากมุมปากด้านซ้ายของพระเยซูเจ้า ในวันต่อมา. ท่าน”...เห็นดวงตาเคลื่อนไหวอีกครั้ง
และโลหิตก็ไหลออกมาจากมุมปากอีก....พระองค์ทอดพระเนตรมาที่ผมหลายครั้ง
ครั้งนี้ผมรู้สึกว่าร่างกายทั้งหมดของผมสั่นอย่างรุนแรง...ผมยืนขึ้น เพื่อเปลี่ยนสถานที่สามหรือสี่ครั้ง แต่ก็เห็นภาพเหมือนเดิม...ประมาณ
บ่ายสองโมง ขณะที่ผมคุกเข่าบริเวณกลางม้านั่ง ผมเห็นพระเยซูเจ้ามองมายังผม
ผมรู้สึกอ่อนแรงจนต้องใช้มือยึดม้านั่งไว้แน่น...ผมเห็นพระพักตร์ทรงเศร้าและหมองคล้ำมาก คนที่กำลังคุกเข่าอยู่รอบๆผมก็เห็นเช่นเดียวกัน...ผมพยายามสังเกตให้แน่ใจ ไม่มีข้อสงสัยเลย พระเยซูเจ้าทรงเคลื่อนดวงไหวดวงตาจริงๆ ระหว่างที่ผมอยู่ที่นี่ผมเห็นสิ่งนี้ห้าสิบครั้ง...”
Father Manuel Cubi
ผู้เขียนหนังสือ
ผู้บรรยายและที่ปรึกษาของ Church del Pilar ใน
Saragossa
ได้เขียนรายงานวันที่ 24 ธ.ค. 1919
ท่านมาพร้อมกับกลุ่มแสวงบุญ
ท่านได้เห็นความทุกข์ทรมานและความเศร้าโศกของพระเยซูเจ้า
“..มีคนหนี่งรู้สึกตื้นตันใจมากเมื่อเห็นพระเยซูเจ้าทรงพยายามดิ้นรนให้หลุดจากไม้กางเขนด้วยการดิ้นอย่างหนัก
คนหนึ่งรู้สึกว่าได้ยินเสียงครวญครางของพระองค์ในลำคอ แล้วพระองค์ทรงยกศีรษะ หันดวงตา และปิดปากของพระองค์ ผมได้เห็นลิ้นและฟันของพระองค์....เกือบครึ่งชั่วโมงที่พระองค์แสดงให้พวกเรารู้ว่าพวกเรามีค่าต่อพระองค์มากสักเพียงไร
และพระองค์ต้องทนทุกข์ทรมานเพื่อพวกเราในความกระหายและการถูกทอดทิ้งอย่างไรบนไม้กางเขน”
มีรายงานของนายแพทย์หลายคนที่ตอนแรกไม่เชื่อและพยายามหาเหตุผมทางวิทยาศาสตร์เพื่อพิสูจน์ว่าเป็นเพียงเรื่องของ
“จิตใต้สำนึก” Dr. Penamaria
ได้เขียนและตีพิมพ์รายงานของท่านในหนังสือ “La Montana” เดือน พ.ค. 1920 ท่านอธิบายสิ่งที่ท่านเรียกว่า
“ความตายอีกครั้งหนึ่งของพระคริสต์บนกางเขน”
ท่านเขียนว่า
หลังจากที่ได้เห็นการเคลื่อนไหวของตาและปากของพระรูป
และได้เปลี่ยนจุดสังเกตในโบสถ์หลายจุดเพื่อตรวจสอบอัศจรรย์นี้ ท่านสวดภาวนาขอให้ได้ข้อพิสูจน์ที่เด่นชัด ขอให้มีบางสิ่งที่พิเศษมากเกิดขึ้น
“...เพื่อที่จะไม่มีสิ่งใดเป็นที่สงสัยเหลืออยู่อีกต่อไป
และทำให้ผมมีความคิดในทางบวกสำหรับอัศจรรย์ของพระองค์
เพื่อที่ผมจะได้ประกาศยืนยันความจริงนี้แก่ทุกคน และปกป้องความจริงนี้ต่อผู้ที่โจมตี แม้จะต้องเสี่ยงที่จะสูญเสียชีวิตของผมเอง” คำวอนขอนี้ดูจะเป็นที่พอพระทัยของพระเยซูเจ้า...ในเวลาต่อมา ปากของพระองค์ก็บิดไปทางซ้ายอย่างแรง
ดวงตาใสเต็มไปด้วยความเจ็บปวดจ้องมองขึ้นสู่สวรรค์ แสดงออกถึงความโศกเศร้า ริมฝีปากที่ซีดของพระองค์สั่นระริก กล้ามเนื้อคอและทรวงอกหดตัวเพื่อพยายามสูดหายใจด้วยความพยายามอย่างหนัก ร่างกายที่แข็งเกร็งแสดงถึงความตายที่กำลังใกล้เข้ามา
แขนของพระองค์ดูเหมือนพยายามที่จะดึงให้หลุดจากไม้กางเขนด้วยการเคลื่อนไหวไปมาอย่างรุนแรง และแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนที่บริเวณตะปูซึ่งแทงทะลุฝ่ามือของพระองค์ทำให้พระองค์ได้รับความเจ็บปวดสุดจะทนทานในเวลาที่ทรงเคลื่อนไหวแขน ตามมาด้วยการถอนหายใจ..ครั้งที่สอง...แล้วครั้งที่สาม
ผมไม่รู้ว่าพระองค์ถอนหายใจกี่ครั้งเวลาที่ทรงได้รับความเจ็บปวดอยู่ตลอดเวลา แล้วก็มีการกระตุกอย่างน่ากลัว เหมือนคนที่พยายามดิ้นรนเพื่อหายใจเข้า ปากและจมูกเปิดกว้าง และแล้วโลหิตก็ไหลทะลักออกมา ของเหลว น้ำเป็นฟองไหลออกจากปาก ลิ้นของพระองค์สั่นเทา พระองค์พยายามปิดปากสองถึงสามครั้ง แล้วทรงหายใจอย่างช้าๆ...ตอนนี้จมูกของพระองค์ชี้ขึ้น ริมฝีปากเม้มปิดสนิทแล้วคลายออก ทรวงอกขยายและหดตัวอย่างรุนแรง แล้วศีรษะก็ตกลงจนเห็นด้านหลังของศีรษะ...ในที่สุดก็ทรงสิ้นพระชนม์...ผมพยายามบรรยายสิ่งที่ผมได้เห็นในระยะเวลามากกว่าสองชั่วโมงให้ชัดเจนมากที่สุดเท่าที่จะทำได้”
ในเดือน สิงหาคม 1920 Dr. D. Pedro Cuesta ได้เห็นอัศจรรย์
ท่านเล่าว่าท่านมาพร้อมกับพระสงฆ์ท่านหนึ่ง
ท่านและเพื่อนคู่สามีภรรยาคู่หนึ่งได้ร่วมในพิธีมิสซาเวลาเช้า ระหว่างพิธีนั้น
เพื่อนของท่านเห็นการเคลื่อนไหวที่อัศจรรย์ แต่ท่านไม่เห็น ถึงแม้ว่าจะย้ายที่ไปด้านอื่นของโบสถ์
บ่ายวันนั้นมีคนมาชักชวนให้ท่านไปที่โบสถ์อีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้ท่านได้เห็นอัศจรรย์ “เมื่อผมจ้องไปเป็นครั้งที่สามหรือครั้งที่สี่ ผมเห็นส่วนที่เป็นเนื้อทั้งหมดหายไป เหลือแต่เพียงผิวหนัง และกระดูกซึ่งผมเคยเห็นเวลาที่ศึกษากายวิภาค ศีรษะแห้งสนิท จนกระทั่งผิวหนังหายไป ผมมองไม่เห็นพระรูปเป็นเวลาสักพักหนึ่งแล้วพระรูปก็กลับมาใหม่ แต่มีสภาพเหมือนกับซากศพ แต่ต่อมาก็กลับมามีสภาพเหมือนเดิมที่มีเนื้อหนัง ใช่แล้ว
ผมได้เห็นอย่างชัดเจนถึงการก่อรูปของ hypertrophy
(การเจริญมากเกินไป) ของศีรษะ
สิ่งนี้ได้ลามไปยังส่วนอื่นๆของร่างกายด้วย อัศจรรย์นี้เกิดขึ้นซ้ำสองครั้ง ในครั้งที่สอง ผมไม่สามารถระงับความรู้สึกและควบคุมตัวเองได้อีกต่อไป ผมร้องไห้อย่างหนักและรีบวิ่งหนีออกจากโบสถ์ ความกลัวอย่างรุนแรงครอบงำจิตใจของผม ทั้งๆที่ผมไม่เคยรู้สึกกลัวมากแบบนี้มาก่อน ผมไม่สามารถอธิบายให้ชัดเจนได้...ผมซึ่งไม่เคยเจ็บป่วย รู้สึกเหมือนจะตายไปตรงนั้นเลย สัญชาติญาณในการเอาตัวรอดทำให้ผมต้องรีบออกมาจากโบสถ์ มิฉะนั้นผมคงต้องถูกหามออกมาในสภาพของซากศพ
ผมจึงต้องรีบออกมาจากโบสถ์และเล่าเรื่องนี้ให้ประชาชนที่อยู่ด้านนอกฟัง ในฐานะที่ผมเป็นแพทย์ที่มีชื่อเสียงและคำพูดของผมที่เชื่อถือได้ ผมขอสาบานในสิ่งที่ผมพูด ณ. ที่นี้ และผมขอยืนยันและรับรองด้วยเลือดของผมเอง” ด้วยอารมณ์ที่หวั่นไหว แพทย์ผู้นี้กล่าวต่อไปว่า “ผมรู้สึกว่า
คงต้องใช้เวลาฟื้นฟูจิตใจสักระยะหนึ่ง”
และเขาก็ทำเช่นนั้น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น