รูปภาพ : นักบุญฟรังซิสอยู่ต่อหน้าสุลต่าน (c. 1325) ภาพนี้อยุ่ที่ Cappella Bardi, Basilica
di Santa Croce, Florence
ฟรังซิสมุ่งมั่นที่จะเป็นมรณสักขี
ท่านจึงพยายามเป็นครั้งที่ 3
ที่จะเผยแพร่ความเชื่อในพระตรีเอกภาพด้วยการหลั่งเลือด
ท่านเดินทางไปยังดินแดนของผู้ที่ไม่มีความเชื่อ หลังจากท่านกลับใจได้ 13 ปี ท่านเดินทางไปที่ซีเรีย
และไปยืนอยู่ต่อหน้าสุลต่านแห่งบาบิลอน อย่างกล้าหาญ - สุลต่านอัล – คามิล
ในเวลานั้นมีสงครามระหว่างพวกซาราเซนกับคริสตชน
กองทัพของทั้งสองฝ่ายตั้งกองกำลังเผชิญหน้ากันอยู่
จึงไม่อาจเป็นไปได้ที่จะเดินผ่านกองกำลังฝ่ายหนึ่งไปยังอีกฝ่ายหนึ่งโดยไม่เสียชีวิต สุลต่านได้ออกกฤษฏีกาอันโหดเหี้ยมว่า ไม่ว่าใครก็ตามที่สามารถนำหัวของคริสตชนมาถวายได้จะได้รับเหรียญทองคำเป็นรางวัล
แต่ฟรังซิสไม่หวาดหวั่นแต่อย่างใด
ท่านสวดภาวนาต่อพระเป็นเจ้าให้ประทานพละกำลังแก่ท่าน ท่านร้องเพลงแห่งความวางใจของประกาศก
“แม้ข้าพเจ้าเดินไปในท่ามกลางเงาแห่งความตาย
ข้าพเจ้าก็ไม่หวาดหวั่นต่อความชั่วร้ายใดๆ เพราะพระองค์ทรงอยู่กับข้าพเจ้า”
ท่านนำบราเดอร์อิลลูมินาตุสไปกับท่านด้วย
ระหว่างทางนั้นท่านบังเอิญเจอแกะสองตัว
น.ฟรังซิสจึงบอกบราเดอร์ว่า “บราเดอร์ จงวางใจในพระเป็นเจ้าเถิด
เพราะเราจะทำให้พระวาจาในพระวรสารสมบูรณ์ นั่นคือ ‘ดูเถิด
เราส่งท่านไปดุจแกะในท่ามกลางฝูงสุนัขป่า’”
เมื่อพวกเขาเดินทางต่อไปอีกหน่อยพวกเขาก็พบกับทหารซาราเซน
ทหารเข้ามาล้อมเหมือนสุนัขป่าและจับกุมผู้รับใช้ของพระเจ้า
ได้ทรมานและพูดดูหมิ่นต่างๆนาๆ
และในที่สุดนำตัวไปอยู่ต่อหน้าสุลต่านตามความปรารถนาของฟรังซิส
เจ้าชายแห่งซาราเซนได้ถามถึงจุดประสงค์ในการมา , ใครเป็นผู้ส่งมา และมาได้ด้วยวิธีใด ฟรังซิสได้ตอบคำถามอย่างไม่หวั่นกลัวว่า เขาไม่ได้ถูกส่งมาโดยมนุษย์
แต่โดยพระเจ้าสูงสุด
เพื่อชี้หนทางแห่งความรอดให้แก่ประชากรของพระองค์ และทำให้พวกเขาได้รู้ความจริงแห่งพระวรสาร และด้วยความจริงใจ ความอดทนและความเร่าร้อน
ฟรังซิสได้เทศน์แก่สุลต่าน มีพระเจ้าหนึ่งเดียวในสามพระบุคคล
และพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระผู้ไถ่มนุษย์ทุกคนให้ได้รับความรอด
ในพระองค์ทรงเต็มเปี่ยมด้วยพระเกียรติรุ่งโรจน์และพระองค์ทรงสัญญาว่า :”เราจะประทานคำพูดและปรีชาญานแก่ท่าน ซึ่งจะไม่มีศัตรูคนใดของท่านสามารถโต้แย้งหรือปฏิเสธได้”
น.ฟรังซิส อัสซีซี ได้อธิบายความหมายของพระวาจาจากพระวรสารแก่สุลต่านว่า
“ถ้าตาของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำบาป จงควักมันออกเสีย”(มก. 9:46)
จากหนังสือ” St. Francis of Assisi and the Conversion of the Muslims, TAN Books, 2007, pp. 68-69.” : เขียนไว้ว่า
น.ฟรังซิส ได้เทศน์ต่อหน้าสุลต่าน อัล – คามิล ในปี 1219 เป็นเวลาที่กำลังมีการทำสงครามครูเสดครั้งที่
5 สุลต่าน อัล-คามิลพยายามทดสอบ น.ฟรังซิส
ในเรื่องที่เกี่ยวกับคำสอนของพระเยซูคริสตเจ้า
ซึ่งแสดงว่าสุลต่านเองก็มีความรู้ในเรื่องคำสอนของพระเยซูเจ้าเช่นเดียวกัน หรือบางที น.ฟรังซิส
เองได้เทศน์สอนท่านในเรื่องนี้มาก่อนแล้ว ก็เป็นได้ สุลต่านจึงเผชิญหน้ากับท่านนักบุญและยกเอาพระวาจาของพระเยซูเจ้าขึ้นมาต่อสู้
– พระองค์ยกคำพูดจากบทเทศน์บนภูเขา – ตามพระวรสารของนักบุญมัทธิว
“เรากล่าวแก่ท่านว่า จงอย่าตอบโต้คนชั่ว ถ้าผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน จงหันแก้มซ้ายให้กับเขาด้วย และถ้าผู้ใดฟ้องศาลเพื่อจะเอาเสื้อยาวของท่าน จงแถมเสื้อคลุมให้กับเขาด้วย”(มธ.5:39-40)
สุลต่านถาม น.ฟรังซิส ว่าเหตุใด นักรบครูเสตจึงมารุกรานแผ่นดินของมุสลิม
ถ้าหากพวกเขายึดถือตามคำสอนของพระเยซูเจ้า? ด้วยพระวาจาที่ว่า “จงหันแก้มซ้ายให้เขา”
และตอบแทนความชั่วด้วยความดี
สุลต่านต้องการแสดงให้เห็นว่า
ไม่มีความชอบธรรมที่นักรบครูเสดจะมารุกราน
ทั้งๆที่สุลต่านก็รู้อยู่ว่าชาวมุสลิมได้เข้ายึดครองแผ่นดินนี้จากคริสตชนด้วยกำลังเมื่อศตวรรษที่แล้ว
น. ฟรังซิส ให้คำตอบ สุลต่าน อัล –
คามิลที่ทำให้สุลต่านประหลาดใจ
น.ฟรังซิสตอบว่า สุลต่าน ไม่ได้ศึกษาพระวรสารอย่างครบถ้วน พระเยซูเจ้ายังได้ตรัสในเวลาเดียวกันด้วยว่า
“ถ้าตาขวาของท่านเป็นเหตุทำให้ท่านทำบาป จงควักมันออกเสีย ท่านจะเข้าสู่สวรรค์โดยมีตาเพียงข้างเดียว ก็ยังดีกว่าต้องไปอยู่ในนรกโดยมีตาทั้งสองข้าง และถ้ามือของท่านเป็นเหตุทำให้ท่านทำบาป จงตัดมันทิ้งไปเสีย ท่านจะเข้าสู่สวรรค์โดยมีมือเพียงข้างเดียว ก็ยังดีกว่าต้องอยู่ในนรกโดยมีมือทั้งสองข้าง”(มธ.5:29-30)
“ถ้าตาขวาของท่านเป็นเหตุทำให้ท่านทำบาป จงควักมันออกเสีย ท่านจะเข้าสู่สวรรค์โดยมีตาเพียงข้างเดียว ก็ยังดีกว่าต้องไปอยู่ในนรกโดยมีตาทั้งสองข้าง และถ้ามือของท่านเป็นเหตุทำให้ท่านทำบาป จงตัดมันทิ้งไปเสีย ท่านจะเข้าสู่สวรรค์โดยมีมือเพียงข้างเดียว ก็ยังดีกว่าต้องอยู่ในนรกโดยมีมือทั้งสองข้าง”(มธ.5:29-30)
ฟรังซิสได้อธิบายความหมายของประโยคนี้แก่สุลต่าน
โดยเปรียบเทียบว่าพวกซาราเซนก็คือคนที่ต้องการชักนำให้คริสตชนออกห่างจากความเชื่อและความรักของพระเป็นเจ้า สุลต่านเป็นผู้ที่พระเป็นเจ้าทรงรักดังดวงพระเนตรของพระองค์ พระองค์จึงทรงประทานอำนาจให้แก่สุลต่าน(11)
แต่มีบางคนที่ใกล้ชิดเราที่ดึงเราให้ออกห่างจากศาสนาของเรา ถึงแม้ว่าเขาจะเป็น ”. .
.ผลแอปเปิลในตาของเรา
ก็ต้องถูกควักออกเสีย
ถูกดึงออก หรือ ถูกขับไล่ออกไป . .
.”
เพื่อที่ความเชื่อของเราและความรอดพ้นของเราจะได้มั่นคงปลอดภัย -
ด้วยเหตุผลนี้ “. . .
จึงเป็นความชอบธรรมที่คริสตชนจะเข้ามารุกรานแผ่นดินที่พระองค์อาศัยอยู่ . . ”
ด้วยว่าชาวมุสลิมต้องการทำให้ทุกคนหันมานับถือศาสนาของเขาโดยใช้กำลังบังคับ ต้องการทำให้ทุกคนไม่นมัสการพระคริสตเจ้า และให้กล่าวผรุสวาทต่อพระนามของพระองค์
(12) แต่ในทางกลับกัน ถ้าสุลต่านและประชาชนของพระองค์ “. . .
จะสำนึกผิด เทิดทูนบูชา
และตระหนักว่าพระเยซูคริสตเจ้าคือองค์พระผู้สร้างและพระผู้ไถ่. . .”
พระองค์และประชาชนทุกคนก็จะกลับกลายเป็นที่รักของคริสตชนทั้งมวล เมื่อ น.ฟรังซิส อธิบายแก่สุลต่านจบแล้ว คนที่ฟังอยู่ที่นั่นพากันสรรเสริญคำตอบของท่านนักบุญ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น