วันอาทิตย์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2557

ความกล้าหาญของนักบุญฟรังซิส


รูปภาพ : นักบุญฟรังซิสอยู่ต่อหน้าสุลต่าน (c. 1325) ภาพนี้อยุ่ที่ Cappella Bardi, Basilica di Santa Croce, Florence

ฟรังซิสมุ่งมั่นที่จะเป็นมรณสักขี  ท่านจึงพยายามเป็นครั้งที่ 3 ที่จะเผยแพร่ความเชื่อในพระตรีเอกภาพด้วยการหลั่งเลือด ท่านเดินทางไปยังดินแดนของผู้ที่ไม่มีความเชื่อ  หลังจากท่านกลับใจได้ 13 ปี ท่านเดินทางไปที่ซีเรีย และไปยืนอยู่ต่อหน้าสุลต่านแห่งบาบิลอน  อย่างกล้าหาญ  - สุลต่านอัล – คามิล  

ในเวลานั้นมีสงครามระหว่างพวกซาราเซนกับคริสตชน  กองทัพของทั้งสองฝ่ายตั้งกองกำลังเผชิญหน้ากันอยู่ จึงไม่อาจเป็นไปได้ที่จะเดินผ่านกองกำลังฝ่ายหนึ่งไปยังอีกฝ่ายหนึ่งโดยไม่เสียชีวิต  สุลต่านได้ออกกฤษฏีกาอันโหดเหี้ยมว่า ไม่ว่าใครก็ตามที่สามารถนำหัวของคริสตชนมาถวายได้จะได้รับเหรียญทองคำเป็นรางวัล

แต่ฟรังซิสไม่หวาดหวั่นแต่อย่างใด  ท่านสวดภาวนาต่อพระเป็นเจ้าให้ประทานพละกำลังแก่ท่าน  ท่านร้องเพลงแห่งความวางใจของประกาศก “แม้ข้าพเจ้าเดินไปในท่ามกลางเงาแห่งความตาย  ข้าพเจ้าก็ไม่หวาดหวั่นต่อความชั่วร้ายใดๆ เพราะพระองค์ทรงอยู่กับข้าพเจ้า” ท่านนำบราเดอร์อิลลูมินาตุสไปกับท่านด้วย  ระหว่างทางนั้นท่านบังเอิญเจอแกะสองตัว  น.ฟรังซิสจึงบอกบราเดอร์ว่า “บราเดอร์ จงวางใจในพระเป็นเจ้าเถิด เพราะเราจะทำให้พระวาจาในพระวรสารสมบูรณ์ นั่นคือ ดูเถิด เราส่งท่านไปดุจแกะในท่ามกลางฝูงสุนัขป่า” เมื่อพวกเขาเดินทางต่อไปอีกหน่อยพวกเขาก็พบกับทหารซาราเซน  ทหารเข้ามาล้อมเหมือนสุนัขป่าและจับกุมผู้รับใช้ของพระเจ้า ได้ทรมานและพูดดูหมิ่นต่างๆนาๆ  และในที่สุดนำตัวไปอยู่ต่อหน้าสุลต่านตามความปรารถนาของฟรังซิส

เจ้าชายแห่งซาราเซนได้ถามถึงจุดประสงค์ในการมา , ใครเป็นผู้ส่งมา  และมาได้ด้วยวิธีใด  ฟรังซิสได้ตอบคำถามอย่างไม่หวั่นกลัวว่า  เขาไม่ได้ถูกส่งมาโดยมนุษย์ แต่โดยพระเจ้าสูงสุด  เพื่อชี้หนทางแห่งความรอดให้แก่ประชากรของพระองค์  และทำให้พวกเขาได้รู้ความจริงแห่งพระวรสาร  และด้วยความจริงใจ ความอดทนและความเร่าร้อน ฟรังซิสได้เทศน์แก่สุลต่าน  มีพระเจ้าหนึ่งเดียวในสามพระบุคคล  และพระเยซูคริสต์ทรงเป็นพระผู้ไถ่มนุษย์ทุกคนให้ได้รับความรอด  ในพระองค์ทรงเต็มเปี่ยมด้วยพระเกียรติรุ่งโรจน์และพระองค์ทรงสัญญาว่า  :”เราจะประทานคำพูดและปรีชาญานแก่ท่าน  ซึ่งจะไม่มีศัตรูคนใดของท่านสามารถโต้แย้งหรือปฏิเสธได้”

น.ฟรังซิส อัสซีซี ได้อธิบายความหมายของพระวาจาจากพระวรสารแก่สุลต่านว่า “ถ้าตาของท่านเป็นเหตุให้ท่านทำบาป จงควักมันออกเสีย”(มก. 9:46)

จากหนังสือ” St. Francis of Assisi and the Conversion of the Muslims, TAN Books, 2007, pp. 68-69. : เขียนไว้ว่า

น.ฟรังซิส ได้เทศน์ต่อหน้าสุลต่าน อัล – คามิล ในปี 1219  เป็นเวลาที่กำลังมีการทำสงครามครูเสดครั้งที่ 5  สุลต่าน อัล-คามิลพยายามทดสอบ น.ฟรังซิส ในเรื่องที่เกี่ยวกับคำสอนของพระเยซูคริสตเจ้า  ซึ่งแสดงว่าสุลต่านเองก็มีความรู้ในเรื่องคำสอนของพระเยซูเจ้าเช่นเดียวกัน  หรือบางที น.ฟรังซิส เองได้เทศน์สอนท่านในเรื่องนี้มาก่อนแล้ว ก็เป็นได้  สุลต่านจึงเผชิญหน้ากับท่านนักบุญและยกเอาพระวาจาของพระเยซูเจ้าขึ้นมาต่อสู้ – พระองค์ยกคำพูดจากบทเทศน์บนภูเขา – ตามพระวรสารของนักบุญมัทธิว

“เรากล่าวแก่ท่านว่า จงอย่าตอบโต้คนชั่ว  ถ้าผู้ใดตบแก้มขวาของท่าน  จงหันแก้มซ้ายให้กับเขาด้วย  และถ้าผู้ใดฟ้องศาลเพื่อจะเอาเสื้อยาวของท่าน  จงแถมเสื้อคลุมให้กับเขาด้วย”(มธ.5:39-40)

สุลต่านถาม น.ฟรังซิส ว่าเหตุใด  นักรบครูเสตจึงมารุกรานแผ่นดินของมุสลิม  ถ้าหากพวกเขายึดถือตามคำสอนของพระเยซูเจ้า?  ด้วยพระวาจาที่ว่า “จงหันแก้มซ้ายให้เขา” และตอบแทนความชั่วด้วยความดี  สุลต่านต้องการแสดงให้เห็นว่า  ไม่มีความชอบธรรมที่นักรบครูเสดจะมารุกราน  ทั้งๆที่สุลต่านก็รู้อยู่ว่าชาวมุสลิมได้เข้ายึดครองแผ่นดินนี้จากคริสตชนด้วยกำลังเมื่อศตวรรษที่แล้ว

น. ฟรังซิส ให้คำตอบ สุลต่าน อัล – คามิลที่ทำให้สุลต่านประหลาดใจ  น.ฟรังซิสตอบว่า สุลต่าน ไม่ได้ศึกษาพระวรสารอย่างครบถ้วน  พระเยซูเจ้ายังได้ตรัสในเวลาเดียวกันด้วยว่า

           “ถ้าตาขวาของท่านเป็นเหตุทำให้ท่านทำบาป  จงควักมันออกเสีย  ท่านจะเข้าสู่สวรรค์โดยมีตาเพียงข้างเดียว  ก็ยังดีกว่าต้องไปอยู่ในนรกโดยมีตาทั้งสองข้าง  และถ้ามือของท่านเป็นเหตุทำให้ท่านทำบาป  จงตัดมันทิ้งไปเสีย  ท่านจะเข้าสู่สวรรค์โดยมีมือเพียงข้างเดียว  ก็ยังดีกว่าต้องอยู่ในนรกโดยมีมือทั้งสองข้าง”(มธ.5:29-30)

ฟรังซิสได้อธิบายความหมายของประโยคนี้แก่สุลต่าน  โดยเปรียบเทียบว่าพวกซาราเซนก็คือคนที่ต้องการชักนำให้คริสตชนออกห่างจากความเชื่อและความรักของพระเป็นเจ้า  สุลต่านเป็นผู้ที่พระเป็นเจ้าทรงรักดังดวงพระเนตรของพระองค์  พระองค์จึงทรงประทานอำนาจให้แก่สุลต่าน(11)  แต่มีบางคนที่ใกล้ชิดเราที่ดึงเราให้ออกห่างจากศาสนาของเรา  ถึงแม้ว่าเขาจะเป็น ”. . .ผลแอปเปิลในตาของเรา  ก็ต้องถูกควักออกเสีย  ถูกดึงออก  หรือ ถูกขับไล่ออกไป . . .”  เพื่อที่ความเชื่อของเราและความรอดพ้นของเราจะได้มั่นคงปลอดภัย  -  ด้วยเหตุผลนี้ “. . . จึงเป็นความชอบธรรมที่คริสตชนจะเข้ามารุกรานแผ่นดินที่พระองค์อาศัยอยู่ . . ”  ด้วยว่าชาวมุสลิมต้องการทำให้ทุกคนหันมานับถือศาสนาของเขาโดยใช้กำลังบังคับ  ต้องการทำให้ทุกคนไม่นมัสการพระคริสตเจ้า  และให้กล่าวผรุสวาทต่อพระนามของพระองค์ (12)  แต่ในทางกลับกัน  ถ้าสุลต่านและประชาชนของพระองค์ “. . . จะสำนึกผิด  เทิดทูนบูชา และตระหนักว่าพระเยซูคริสตเจ้าคือองค์พระผู้สร้างและพระผู้ไถ่. . .” พระองค์และประชาชนทุกคนก็จะกลับกลายเป็นที่รักของคริสตชนทั้งมวล  เมื่อ น.ฟรังซิส อธิบายแก่สุลต่านจบแล้ว  คนที่ฟังอยู่ที่นั่นพากันสรรเสริญคำตอบของท่านนักบุญ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น