วันพุธที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2557

คริสต์มาสในสมรภูมิสงครามโลกครั้งที่ 1


อัศจรรย์วันคริสต์มาส
ปี ค.ศ. 1914 อันเป็นปีแรกแห่งมหาสงครามโลกครั้งที่ 1 นั้น องค์สมเด็จพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 15 ได้วอนขอให้ชาติมหาอำนาจหันหน้าเข้าเจรจากันทางการทูตเพื่อสงบศึก พระสันตะปาปาทรงเศร้าพระทัยเป็นอย่างยิ่งที่ต้องมาเห็นประเทศซึ่งเป็นคริสตชนเหมือนกันมาทำการเข่นฆ่ากันเอง พระองค์ทรงสวดอธิษฐานขอให้สงครามนี้ยุติโดยเร็ว ใครจะรู้บ้างว่าด้วยแรงอธิษฐานของพระสันตปาปาเพื่อสันติภาพ ทำให้สวรรค์ดลบันดาลให้พระประสงค์ของพระองค์เป็นจริงในวันคริสต์มาสอีฟนั้นเอง ได้มีสิ่งที่น่ามหัศจรรย์เกิดขึ้น

จากคำบอกเล่าของทหารผ่านศึกกล่าวว่า ในคืนวันก่อนครบรอบคริสตสมภพนั้น ท้องฟ้าเหนือสมรภูมิตำบลอีปร์ (Ypres) ในประเทศเบลเยี่ยมปกคลุมไปด้วยหมอกไอเย็นและมืดสนิท มีเพียงสายลมหนาวที่กรีดบาดไปตามผิวที่อยู่นอกผ้าของเหล่านายทหารชาติอังกฤษที่อยู่เวรตามแนวหน้า เนื่องจากเป็นกลางฤดูหนาวพอดี จึงมีหิมะโปรยปรายลงมาสร้างบรรยากาศให้พื้นดินแถวนั้นขาวโพลนไปหมด เมื่อเวลาคล้อยเที่ยงคืนไปเล็กน้อย เสียงเพลงหวานจับใจดังมาจากแนวรบฝ่ายเยอรมันจับความได้ว่าเป็นเพลงคริสต์มาสแครอลชื่อ "ชติล น๊าคท์" (Silent Night) หรือเพลง "คืนสงัด" ที่เรารู้จักกันดี
 

นอกจากนี้ยังมีแสงเทียนวอบแวมมาจากแนวรบฝ่ายเยอรมัน เนื่องด้วยมีการจุดเทียนเล่มน้อยขึ้นวางตามต้นไม้ตามประเพณีของเยอรมนีที่ต่อมาเผยแพร่เข้าไปในประเทศอังกฤษสมัยเจ้าชายอัลเบิร์ตพระราชสวามีในสมเด็จพระนางเจ้าวิคตอเรีย

จากนั้นเพื่อฉลองในคืนอันศักดิ์สิทธิ์แห่งพระคริสต์นี้ก็มีการร้องเพลงคริสต์มาสแครอลสลับให้แก่กันฟัง พร้อมทั้งกล่าวคำอวยพรแลกเปลี่ยนกันระหว่างทหารทั้งสองชาติ

ทันใดนั้นพลทหารเยอรมันนายหนึ่งได้ยกมือสองข้างเดินออกมาจากแนวรบมุ่งหน้าสู่แนวรบอังกฤษโดยได้นำขนมเล็กๆน้อยๆมามอบให้ ฉากต่อไปก็คือการแลกเปลี่ยนของขวัญซึ่งกันและกันไม่ว่จะเป็นเหล้ารัม ซิการ์ ขนมหรือผลไม้เล็กๆน้อยๆ เท่าที่พอจะหาได้ระหว่างทหารคู่อริทั้งสองชาติในบริเวณที่เป็นดินแดนระหว่างแนวรบ (No man's land)

นายทหารทั้งสองฝ่ายเริ่มคุ้นกันมากขึ้นแล้ว ได้มีการจัดเตะฟุตบอลแข่งกันขึ้นตามที่ต่างๆ พวกใดไม่มีลูกบอลก็ใช้กระดาษขยำเป็นก้อนหรือกล่องอาหารเท่าที่จะหาได้เตะแทน จดหมายจากนายทหารอังกฤษนายหนึ่งที่เขียนส่งถึง บ้านแสดงออกถึงความสุขของทหารสองฝ่ายได้เป็นอย่างดี
 

"เราได้นำลูกฟุตบอลออกมาเพื่อชวนสหายเยอรมันเตะกัน เมื่อถึงเวลาอันสมควรฝ่ายเยอรมันชนะเรา 3 ; 2 โดยการอ่อนข้อให้เพื่อมิตรภาพอันดีวันคริสต์มาสนั่นเอง......."

คลื่นความสุขนี้หาได้มีแต่ระดับพลทหารไม่ หากแต่แผ่ไปถึงนายทหารที่ควบคุมกองร้อยจนถึงนายทหารระดับสูงในเต็นท์บัญชาการด้วย ดังเช่น กัปตันเซอร์เอ็ดเวิร์ด ฮัลช์ แห่งกองระวังภัยสก็อต มาตรวจเวรเมื่อตอน 8 โมงเช้าวันคริสต์มาสเพื่อที่จะพบว่าไม่มีทหารของตนประจำอยู่ในแนวรบเลย แต่คำตอบก็อยู่ไม่ไกล เพราะระหว่างทเซอร์เอ็ดเวิร์ดเดินออกไปดูที่โนแมนสแลนด์ ก็ได้ยินเสียงกลุ่มคนร้องเพลงทิพเพอรารี่ (it's a long way to tipperary) ของอังกฤษแว่วมา จากนั้นตามด้วยเสียงกระหึ่มของทหารเยอรมันร้องเพลง "ด๊อยชลานต์ อูเบอร์ อาลส์ (Deut - schland Uber Alles)" ซึ่งเป็นเพลงประจำชาติเยอรมัน ด้วยความประหลาดใจเขายังพบว่าเหล่าทหาร (ราว 150 คน) ของตนกำลังพูดกับทหารเยอรมันอย่างยิ้มแย้ม การสนทนาเป็นไปอย่างสุภาพ บ้างอวดรูปถ่ายครอบครัวกัน เพราะทหารเยอรมันบางคนพูดอังกฤษได้คล่อง เหตุการณ์เป็นไปเช่นนี้ตลอดทางที่เขาเดินตรวจแนวรบ และจบลงด้วยการแลกของขวัญคริสต์มาส โดยทหารเยอรมันให้เบียร์ทั้งถังแก่ทหารอังกฤษ และกล่าวกับเขาว่า 

"เราไม่ต้องการยิงท่านและท่านก็บอกว่าไม่ต้องการยิงเรา แล้วเราจะรบกันไปทำไม
ทำไมไม่สงบศึกเสีย"

เซอร์เอ็ดเวิร์ด ได้รายงานการสงบศึกวันคริสต์มาสนี้ ให้แก่ผู้บังคับบัญชาที่ศูนย์บัญชาการทราบและได้เขียนบันทึกว่า

"...ข้าพเจ้าได้สนทนากับพลทหารเยอรมันนายหนึ่งในดินแดนระหว่างแนวรบด้วยความประหลาดใจ เนื่องด้วยเขาพูดภาษาอังกฤษได้ดีมาก แล้วข้าพเจ้าก็สิ้นสงสัยเมื่อเขาบอกว่า เขาเคยอยู่ในมณฑลซัฟฟอร์ดของเรานี้เอง เขายังมีคู่รักและรถจักรยานยนต์ 3 แรงม้าคันโปรดทิ้งไว้อยู่ที่นั่นด้วย พร้อมกันนั้นเขาขอร้องให้ข้าพเจ้าช่วยส่งโพสการ์ดไปให้คู่รักของเขาในอังกฤษด้วย แล้วเราก็คุยกันเรื่องสัพเพเหระอีกสักพักหนึ่งก่อนแยกย้านกลับฐานของตน....."

             ต่อมากัปตัน ซี. ไอ. สต๊อกเวลล์ ผู้บัญชาการทหารปืนยาวเวลซ์ได้ออกมาเพื่อดูเหตุการณ์ที่น่าประหลาดนี้ด้วยตนเอง ปรากฏว่าเมื่อถึงในโนแมนสแลนด์ กัปตันสต๊อกเวลล์ได้พบกับผู้บัญชาการทหารเยอรมันกับล่ามซึ่งกล่าวทักทายเป็นอย่างดีพร้อมกับนำเบียร์มาให้หนึ่งถัง ซึ่งกัปตันสต๊อกเวลล์ไม่ได้เตรียมของขวัญมาแลกตามประเพณี แต่ด้วยปฏิภาณอันดี เขาได้สั่งให้พลทหารนำพุดดิ้งลูกพลัมที่ทำเตรียมไว้มากสำหรับวันคริสต์มาสมามอบให้เพื่อตอบแทนน้ำใจของฝ่ายเยอรมัน

การพักรบครั้งนี้จึงได้ชื่อเล่นอีกชื่อหนึ่งว่า "ปฏิบัติการพุดดิ้งลูกพลัมวันคริสต์มาส" พร้อมกันนั้นก็ได้ตกลงกันว่าจะให้มีการพักรบเฉพาะในวันคริสต์มาสนี่เป็นเวลาหนึ่งวันเพื่อที่จะได้ทำการนำศพเพื่อนทหารของแต่ละฝ่ายไปฝังให้ถูกต้องตามประเพณี และการรบจะเป็นไปดังเดิมในเวลา 8 โมงครึ่งของวันรุ่งขึ้น

อย่างไรก็ตามงานเลี้ยงต้องมีวันเลิกรา การสงบศึกนี้ได้ยุติลงอย่างเป็นทางการตามข้อตกลงของกัปตัน ซี.ไอ. สต๊อกเวลล์ กับ ผู้บัญชาการทหารเยอรมัน โดยกัปตันสต๊อกเวลล์เป็นผู้ให้สัญญาณยิงปืนขึ้นฟ้าสองนัดในเวลา 8.30 น. จากนั้นฝ่ายเยอรมันก็ยิงปืนขึ้นฟ้าอีกสองนัดเช่นกัน

อย่างไรก็ตามแม้จะหมดช่วงสงบศึกแล้ว แต่สิ่งมหัศจรรย์ก็ยังเกิดต่อ เพราะไม่มีทหารฝ่ายใดยิงฝ่ายตรงข้ามเลย มิหนำซ้ำทหารบางคนที่พอจะคุ้นเคยกันก็ยังกระโดดข้ามไปทักทายเพื่อนทหารเยอรมันอยู่เนืองๆด้วย เหตุการณ์รื่นเริงระหว่างทหารทั้งสองฝ่ายนี้ได้เกิดกับทหารชาติพันธมิตรอื่นอันได้แก่ ฝรั่งเศสและรัสเซียด้วย

หลังจากปรากฏการณ์การสงบศึกปี 1914 แล้ว ก็ไม่เคยเกิดขึ้นอีกเลยในคริสต์มาสปีต่อๆมา จวบจนสิ้นสงครามด้วยความพ่ายแพ้ของฝ่ายอักษะ แต่เหตุการณ์นี้เป็นเครื่องเตือนใจเราเสมอว่า มนุษย์นั้นย่อมมีทางเลือกอื่นเสมอ หากเราใช้ความรักและความเมตตาเข้าหากันในการแก้ไขความขัดแย้งโดยที่ไม่จำเป็นต้องใช้ความรุนแรงหรือสงครามแต่อย่างใดเลย

สาเหตุของสงครามโลกครั้งที่ 1

ไกเซอร์วิลเฮล์มที่2 (นั่งซ้ายมือ)และซาร์นิโคลัสที่2 (ยืนซ้ายมือและมีเครา)
ต่างเป็นพระราชนัดดาของควีนวิคตอเรีย (นั่งขวามือทรงมาลาแม่ม่าย)
ต้องมารบกันเองในสงครามโลกครั้งที่ 1
















ก่อนสงครามโลกครั้งที่ 1 หมู่มวลประเทศในยุโรปต่างอยู่กันด้วยความสงบ เนื่องจากผู้เป็นประมุขของประเทศเป็นญาติกันบ้าง เป็นลูกพี่ลูกน้องบ้าง ลูกแท้ๆเลยก็มี โดยเฉพาะสมัยของสมเด็จพระราชินีวิคตอเรียที่ได้ชื่อว่าเป็น "พระอัยยิกาแห่งยุโรป" เพราะลูกหลานของสมเด็จฯท่านไปเป็นพระราชา ราชินี ตามราชสำนักใหญ่ๆของยุโรปไปหมดและกว้างขวางไปจนถึงรัสเซียด้วย พระเจ้าไกเซอร์วิลเฮล์มที่สองแห่งเยอรมันนี พระนางอเล็กซานตร้าแห่งรัสเซีย ต่างเป็นพระเจ้าหลานเธอสายตรงของพระราชินีวิคตอเรียทั้งนั้น เมื่อประมุขเป็นญาติกันการอยู่ด้วยกันก็มีความสงบสุข การดำเนินชีวิตของประชาชนก็เป็นไปอย่างราบรื่น เพราะแต่ละประเทศในยุโรปมีขนาดกะทัดรัดไปมาหาสู่กันสะดวก ชาวยุโรปแต่ละคนจึงพูดได้หลายภาษา และวัฒนธรรมก็คล้ายคลึงกัน เป็นเหตุให้คุ้นเคยกันอย่างลึกซึ้ง อย่างที่เรียกว่า "ไพร่ฟ้าหน้าใส" อยู่กันอย่างสุขสบายดี ซึ่งก็ควรเป็นดังนี้ไปเรื่อยๆ ถ้าเพียงแต่ไม่มีเรื่องการแย่งกันเป็นใหญ่ทางราชนาวีและเศรษฐกิจระหว่างเยอรมนีกับอังกฤษเกิดขึ้นเท่านั้น
 

กระทั่งเมื่อมีเหตุการณ์ลอบสังหารซึ่งไม่ได้เกิดในประเทศยุโรปใหญ่เลยด้วยซ้ำ หากแต่เกิดที่กรุงซาราเจโวเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน 1914 และบุคคลที่ถูกลอบสังหารคือ อาร์คดยุคฟรานซ์ เฟอร์ดินานด์ ผู้ซึ่งเป็นทายาทแห่งราชอาณาจักรออสโตรฮังการีและพระชายาโซฟี จึงเป็นชนวนเหตุให้ประเทศที่เขม่นกันทางเศรษฐกิจอยู่แล้วแยกกระโดดกันเข้าถือหาง ทันทีที่ออสโตรฮังการีประกาศสงครามกับเซอร์เบีย โดยอังกฤษร่วมกับฝรั่งเศส, รัสเซีย (ต่อมามีอิตาลีและสหรัฐอเมริกาด้วย เมื่อเรือลูลิทาเนียของอังกฤษโดนโจมตี จมลงจากตอร์ปิโดของเรืออูเยอรมัน) กลุ่มนี้ถือเป็นฝ่ายสัมพันธมิตร(Central powers)

ส่วนเยอรมนีกับตุรกีนั้นเข้าร่วมกับออสโตรฮังการีเป็นฝ่ายอักษะ(Entente powers) และสงครามระหว่างประเทศก็เปิดฉากขึ้นทั้งที่พระประมุขเป็นญาติสนิทกันเอง

เรือลูลิทาเนีย เป็นเรือโดยสารขนาดใหญ่ ถูกเยอรมันจม มีคนตาย 1000 คน

สงครามเริ่มต้นในปี 1914 สิ้นสุดด้วยความพ่ายแพ้ของฝ่ายอักษะในปี 1918 ทำให้ทหารทั้งสองฝ่ายเสียชีวิตถึง 9 ล้านคนและพลเรือนอีกนับล้านคน โดยสงครามครั้งนี้ได้ชื่อว่าเป็น "สงครามเพื่อยุติสงครามทั้งปวง (The war to end all war) อันที่จริงสงครามโลกครั้งที่ 1 นี้เหมือนสงครามของพวกยุโรปด้วยกันเองมากกว่าที่จะเป็นสงครามโลก แต่ประเทศของเราก็ได้ส่งทหารไทยไปเข้าร่วมรบด้วย

ชีวิตของทหารเด็กแนวหน้า

การรบสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นการรบในบริเวณแนวหน้าด้านตะวันตกมากกว่าด้านตะวันออกดังที่เรียกกันว่า "Western front" โดยทหารแต่ละฝ่ายจะทำการรบอยู่ในแนวหลุมเพลาะยาว (Trenches) และพื้นที่ระหว่างแนวรบนั้นจะกั้นไว้ด้วยลวดหนาม โดยเหลือพื้นที่ตรงกลางเอาไว้เรียกว่า "ดินแดนกลาง (No man's land) " มีเรื่องน่าสลดใจของเหล่าทหารหาญที่เพิ่งถูกเปิดเผยไม่นานนี้ว่า หมู่ประเทศอักษะโดยเฉพาะเยอรมนีนั้น เป็นช่วงที่ประชากรวัยเด็กกับวัยรุ่นเพิ่มขึ้นมาก เมื่อเกิดสงครามจึงมีเด็กนักเรียนมาโกงอายุให้แก่ขึ้น เพื่อสมัครเป็นทหารไปแนวหน้ากันมาก ที่อายุมากที่สุดก็เพียงจบโรงเรียนมัธยมเท่านั้น ประมาณกันว่า 15 % ของทหารเยอรมันเป็นเด็กนักเรียนเท่านั้นเอง และบ่อยๆที่สมัครกันมาทั้งห้องเรียน เมื่อไปรบก็ไม่สามารถสู้กับทหารอาชีพที่ได้รับการฝึกฝนมาตลอดชีวิตอย่างทหารอังกฤษ เด็กเหล่านั้นพากันล้มตายเหมือนใบไม้ร่วง จนตำบลหนึ่งในเบลเยี่ยมได้จัดที่ให้เป็นสุสานของเด็กเหล่านี้โดยเฉพาะ เรียกว่า "สุสานนักเรียน(Studentenfried - hof)"

สิบโทฝรั่งเศสอายุเพียง 14 ปีแต่ผ่านสงครามอย่างโชกโชนจนได้รับเหรียญกางเขนแห่งสงคราม

พวกเด็กเห็นว่าสงครามเป็นเหมือนการเล่นอย่างหนึ่งเท่านั้น
นี่เป็นแนวคิดที่ระบาดในหมู่เยาวชนยุโรปช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1

ถ้าได้เห็นคำจารึกหลุมศพใกล้ๆแล้วจะตกใจ เพราะเด็กบางคนอายุเพียง 14 ปีเท่านั้น และเมื่อสมัครมาทั้งชั้นเรียนก็ย่อมจะมีอายุใกล้เคียงกันซึ่งมาจบชีวิตพร้อมกัน

ทางฝ่ายสัมพันธมิตรเองก็ไม่แพ้กันมีทหารเด็กที่อายุน้อยที่สุดเพียง 12 ขวบเท่านั้น ชื่อจอห์น คอนดอน เป็นชาวไอริช เสียชีวิตเมื่อสงครามเริ่มไปแล้วเพียง 2 ปีเท่านั้น ได้มีพยาบาลอาสาสมัครขาวอังกฤษนามว่า อีวา โดเบล เป็นผู้ดูแลทหารบาดเจ็บตามโรงพยาบาลหลายแห่งในช่วงสงคราม เธอได้แต่งกลอนชื่อ "พลั๊ค" ซึ่งกินใจมากเกี่ยวกับทหารซี่งเป็นเหยื่อสงครามว่า

"อนิจจา เจ้าพิการเสียแล้วเมื่ออายุ 17 ปี แววตาของเจ้าเฝ้าแต่ถามว่าทำไม ชีวิตไม่ตายไปพร้อมกับขาที่แหลกละเอียดทั้งสองข้าง แทนที่ต้องอยู่ต่ออย่างสูญเปล่า เจ้าพูดปดเพื่อให้ได้เป็นทหาร เพื่อฝึกเดินฝึกสู้ในสนามรบ ในขณะที่เด็กอื่นยังเล่นบันเทิง แต่ใจแกร่งของเจ้าบอกให้สู้ บางคราวเจ้าปวดแสนปวด จนกายสั่นเมื่อเห็นรถทำแผลใกล้เข้ามา ซ่อนหน้าไว้ใต้ผ้าเพื่ออำพรางหัวใจที่ไหวหวั่น แต่เสียงครางเบายังแผ่วออกมา แต่เมื่อถึงเวลาทำแผลเข้ามา เจ้าจะเผชิญหน้าเราอย่างชาติทหาร มองแผลด้วยสายตาเรียบเฉยและสูบวู้ดไบน์(บุหรี่อังกฤษ) อยู่เงียบๆ"

ทหารที่อายุน้อยเหล่านี้ยังไม่เคยเจอสงครามจริงๆที่โหดร้ายมาก่อน เพราะชีวิตที่ผ่านมายุโรปอยู่เย็นเป็นสุขมาตลอด เมื่อต้องมาประจำอยู่ในหลุมแนวหน้าระวังภัยในแนวหน้าจึงเกิดความเครียดสูงมาก บ้างก็คิดถึงบ้าน บ้างก็คิดถึงคนรัก คิดถึงครอบครัวที่ตนจากมา บางคนเครียดหนักจนเส้นประสาทเสีย เรียกว่า "เชลล์ช็อก (Shell shock) หรือภาวะเครียดจากสงคราม (Combat stress reaction) มีอาการสำคัญคือหมดเรี่ยวแรง สมองเบลอไม่รับรู้ต่อสิ่งแวดล้อม ได้แต่มองเหม่อไปข้างหน้าอย่างไร้จุดหมาย บางคนจึงถูกข้าศึกยิงตายได้โดยง่าย หรือบางคนถูกยิงเป้าอย่างน่าสงสาร เพราะถูกนึกว่าหนีทหาร

* * * * * * * * * * *

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น