จากคำสอนของคาทอลิกกล่าวไว้ว่า “การประจญล่อลวง คือการดึงดูดใจ”
จากภายในหรือจากภายนอกตัวเรา
หรือจากทั้งสองส่วน
เพื่อให้เรากระทำสิ่งที่ตรงข้ามกับเหตุผลที่ถูกต้องและพระบัญญัติของพระเป็นเจ้า พระเยซูเจ้าเองในระหว่างที่ทรงพระชนม์อยู่บนโลกก็ยังถูกปีศาจประจญล่อลวง
พระองค์ทรงถูกทดสอบเพื่อที่จะเปิดเผยให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างพระองค์
กับ ปีศาจ และเพื่อแสดงให้เห็นถึงชัยชนะของผลงานแห่งความรอดของพระองค์เหนือซาตาน (CCC
538). ในคำสอนยังกล่าวอีกว่า บาปต้นเจ็ดประการ คือ ความหยิ่งจองหอง, ความโลภ ความอิจฉาริษยา ความโกรธแค้น
ความลามก ความตะกละ และความเกียจคร้าน เป็นมูลฐานของการประจญล่อลวงทุกชนิด ความชั่วร้ายจึงเข้ามาแทนที่ความดี โดยอาศัยการหลอกลวง ด้วยความเห็นแก่ตัว ด้วยความก้าวหน้าของตัวเอง ด้วยอำนาจของตนเอง การประจญบางอย่างให้ผลที่ร้ายแรงมาก บางอย่างก็ดื้อด้านกำจัดได้ยาก
แต่การประจญทุกอย่างจะต่อต้านพระหรรษทานของพระเป็นเจ้าและนำไปสู่บาป
ทำให้จิตวิญญาณมีบาดแผล (การประจญยังไม่ใช่บาป
แต่เมื่อยอมจำนนต่อการประจญและทำตามการประจญก็จะเป็นบาป)
เมื่อวันที่ 17
ก.พ. 2013 พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16
ทรงตรัสแก่ประชาชนที่มาชุมนุมกันที่จัตุรัสน.เปโตรว่า
มนุษย์ไม่อาจรอดพ้นจากการประจญล่อลวงได้....แต่ด้วยความอดทนและความถ่อมตน เราจะแข็งแกร่งกว่าศัตรูของเรา
จำเป็นต้องมีความอดทนและความถ่อมตนเพื่อที่จะปราบศัตรู
ซึ่งจะเป็นเช่นนี้ได้ก็โดยติดตามพระคริสตเจ้าทุกๆวันและต้องเรียนรู้ที่จะเสริมสร้างชีวิตของเราในพระองค์และพร้อมกับพระองค์ ไม่ใช่ภายนอกพระองค์หรือทำราวกับว่าพระองค์ไม่มีตัวตน เพราะพระองค์เป็นแหล่งแห่งชีวิตที่แท้จริง สิ่งที่ขัดขวางและตรงข้ามกับสิ่งที่กล่าวมานี้ก็คือ
การประจญล่อลวงเพื่อกำจัดพระเป็นเจ้าออกจากชีวิตของเรา นั่นคือ ความพยายามควบคุมชีวิตและโลกด้วยตัวเราเองตามลำพัง การพึ่งพาความรู้ความสามารถของเราเองโดยไม่พึ่งพาพระเป็นเจ้า ด้วยเหตุนี้พระเยซูคริสต์จึงตรัสกับมนุษย์อย่างใกล้ชิดและด้วยวิธีพิเศษ ที่เต็มเปี่ยมด้วยความรัก เพราะเวลานี้พระเป็นเจ้าได้เสด็จมาบังเกิดและมาสู่โลกมนุษย์เพื่อนำบาปของมนุษย์มาอยู่บนพระองค์
เพื่อพิชิตความชั่วและนำมนุษย์กลับไปสู่โลกของพระเป็นเจ้า”
คำสอนของน.ยอห์นดังก้องขึ้นว่า
“ความรักต่อพระเป็นเจ้าเป็นดังนี้
นั่นคือการที่เราปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระองค์ พระบัญญัติไม่ทำให้เราเหนื่อยล้า สำหรับผู้ที่พระเป็นเจ้าทรงรัก เขาได้ชนะโลกแล้ว และชัยชนะต่อโลกนั้นคือความเชื่อของเรา
ผู้ที่มีชัยชนะต่อโลกคือผู้ที่เชื่อว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า”
(1 ยน. 5:3-5)
พระพรแห่งความเชื่อเป็นพลวัติ
มันนำเราไปสู่ชัยชนะของพระเจ้าที่มีต่อการประจญล่อลวงและบาป ความเชื่อเป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ยากด้วยเช่นกัน ทำไมหรือ? ก็เพราะเราต้องมีใจยากจน
หมายถึงเราต้องมีท่าทีเหมือนเด็กเล็กๆซึ่งมีความเชื่อและวางใจในพระเป็นเจ้า สิ่งที่ตรงข้ามกับความเชื่อในพระเป็นเจ้าคือความหยิ่งจองหอง เพราะผู้ที่หยิ่งจองหองคิดว่าทุกสิ่งขึ้นอยู่กับตัวของเขา เขาทำราวกับว่าพระเป็นเจ้าไม่มีอยู่ในชีวิตของเขา
การยินยอมต่อการประจญล่อลวงและบาปเป็นความโง่เขลา
ในวันที่
18 ก.พ. 2014 พระสันตปาปาฟรังซิสได้ตรัสในพิธิมิสซาเช้าที่ Casa Santa Marta ว่า “เมื่อเราถูกประจญล่อลวง มีเพียงพระวาจาของพระเจ้า
พระวาจาของพระเยซูเจ้าเท่านั้นที่จะช่วยเราได้ พระคริสต์ทรงสอนเราเสมอถึงวิธีที่เราจะหลีกหนีการประจญล่อลวง พระองค์ทรงยิ่งใหญ่เพราะพระองค์ไม่เพียงแต่นำเราให้รอดพ้นจากการประจญ
แต่ยังประทานความมั่นใจให้แก่เรามากยิ่งขึ้นด้วย พระเยซูเจ้าทรงกำลังรอคอยเรา.....ทรงวางใจอย่างมากต่อเราผู้ถูกประจญล่อลวง
เราผู้เป็นคนบาป....พระองค์ทรงเปิดทางไว้เสมอ การประจญล่อลวงมาจากไหน?
และมันทำงานอย่างไรในตัวเรา? อัครสาวกบอกกับเราว่ามันไม่ได้มาจากพระเป็นเจ้า แต่มาจากความหลง จากความอ่อนแอภายในจิตใจของเรา มาจากบาดแผลของบาปกำเนิดที่ยังคงอยู่ในเรา”
“การประจญล่อลวงเริ่มต้นด้วยบรรยากาศที่เงียบๆ มันเติบโตขึ้นเรื่อยๆ และถ้าเราไม่หยุดยั้งมัน มันจะแทรกเข้าไปในทุกสิ่ง
การประจญล่อลวงเป็นโรคติดต่อและปิดกั้นเราด้วยสิ่งแวดล้อมที่ทำให้เราไม่สามารถออกไปได้ง่ายๆ”
“ในเวลาที่ถูกประจญล่อลวง เราไม่ฟังเสียงของพระเป็นเจ้า เราไม่ได้ยิน
เราไม่เช้าใจ
การประจญล่อลวงปิดกั้นเรา
มันทำให้เราสูญเสียความสามารถในการมองเห็น
ปิดกั้นหนทางทุกอย่างและด้วยวิธีนี้มันก็นำเราไปสู่บาป”
“พระเยซูเจ้าตรัสว่า ผู้ที่ถูกประจญล่อลวง จงยกสายตาขึ้น มองไปสู่ขอบฟ้า อย่ายอมให้มันปิดกั้น อย่าปิดกั้นตัวเราเอง”
“พระวาจานี้จะช่วยเราให้รอดพ้นจากการตกในบาปในเวลาที่ถูกประจญล่อลวง นี่ทำให้เราคิดถึงบทสุภาษิตที่เขียนว่า“ข้าพเจ้ารักษาพระวาจาของพระองค์ไว้ในหัวใจของข้าพเจ้า เพื่อที่ข้าพเจ้าจะไม่ทำบาปผิดต่อพระองค์”
(สุภาษิต 119 : 11)”
บทสรุปของสิ่งที่เราควรรู้เกี่ยวกับการประจญล่อลวง
1.
การประจญล่อลวงเป็นสิ่งดึงดูดใจ มันมาจากภายนอกหรือภายในตัวของเรา
หรือจากทั้งสองส่วนก็ได้ ทำให้เราทำสิ่งที่ตรงข้ามกับเหตุผลที่ถูกต้องและพระบัญญัติของพระเป็นเจ้า
(CCC 538).
2.
บาปตันเจ็ดประการ หยิ่งจองหอง, ความโลภ ความอิจฉาริษยา ความโกรธแค้น
ความลามก ความตะกละ และความเกียจคร้าน เป็นมูลฐานของการประจญล่อลวง
3.
มนุษย์ไม่อาจรอดพ้นจากการประจญล่อลวงได้อย่างเด็ดขาด..แต่ด้วยความอดทนและความถ่อมตนจะทำให้เราแข็งแกร่งกว่าศัตรูของเรา
4.
จำเป็นต้องมีความอดทนและความถ่อมตนเพื่อที่จะปราบศัตรู
ซึ่งจะเป็นเช่นนี้ได้ก็โดยติดตามพระคริสตเจ้าทุกๆวันและต้องเรียนรู้ที่จะเสริมสร้างชีวิตของเราในพระองค์และพร้อมกับพระองค์ ไม่ใช่ภายนอกพระองค์หรือทำราวกับว่าพระองค์ไม่มีตัวตน
5.
พระพรแห่งความเชื่อเป็นพลวัติ
มันนำเราไปสู่ชัยชนะของพระเจ้าที่มีต่อการประจญล่อลวงและบาป
6.
สิ่งที่ตรงข้ามกับความเชื่อในพระเป็นเจ้าคือความหยิ่งจองหอง
เพราะผู้ที่หยิ่งจองหองคิดว่าทุกสิ่งขึ้นอยู่กับตัวของเขา เขาทำราวกับว่าพระเป็นเจ้าไม่มีอยู่ในชีวิตของเขา
การยินยอมต่อการประจญล่อลวงและบาปเป็นความโง่เขลา
7.
การประจญล่อลวงปิดกั้นเรา
มันทำให้เราสูญเสียความสามารถในการมองเห็นปิดกั้นหนทางทุกอย่างและด้วยวิธีนี้มันก็นำเราไปสู่บาป”
8.
สิ่งที่ตรงข้ามกับความเชื่อในพระเป็นเจ้าคือความหยิ่งจองหอง
เพราะผู้ที่หยิ่งจองหองคิดว่าทุกสิ่งขึ้นอยู่กับตัวของเขา
เขาทำราวกับว่าพระเป็นเจ้าไม่มีอยู่ในชีวิตของเขา
การยินยอมต่อการประจญล่อลวงและบาปเป็นความโง่เขลา
9.
การประจญล่อลวงปิดกั้นเรา มันทำให้เราสูญเสียความสามารถในการมองเห็น
ปิดกั้นหนทางทุกอย่างและด้วยวิธีนี้มันก็นำเราไปสู่บาป
10.
พระคริสต์ทรงสอนเราเสมอถึงวิธีที่เราจะหลีกหนีการประจญล่อลวง
พระองค์ทรงยิ่งใหญ่เพราะพระองค์ไม่เพียงแต่นำเราให้รอดพ้นจากการประจญ แต่ยังประทานความมั่นใจให้แก่เรามากยิ่งขึ้นด้วย
11.
“พวกท่านไม่เคยเผชิญกับการทดลองใดๆที่เกินกำลังมนุษย์ พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ
พระองค์จะไม่ทรงอนุญาติให้ท่านถูกทดลองเกินกำลังของท่าน แต่เมื่อถูกทดลอง พระองค์จะทรงเตรียมทางออกไว้ให้ท่าน เพื่อที่ท่านจะสามารถยืนหยัดมั่นคงอยู่ได้” (1 คร.
10:13)
12. เมื่อเราเชื่อมโยงกับพระเป็นเจ้าด้วยความรักที่มั่นคงโดยอาศัยศีลอภัยบาป เกราะป้องกันฝ่ายจิตของเราก็จะแข็งแกร่งเพียงพอที่จะต้านทานการประจญล่อลวงที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งมาจาก โลก
เนื้อหนัง และ ปีศาจ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น