วันพฤหัสบดีที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2558

การประจญล่อลวง


จากคำสอนของคาทอลิกกล่าวไว้ว่า  “การประจญล่อลวง คือการดึงดูดใจ” จากภายในหรือจากภายนอกตัวเรา  หรือจากทั้งสองส่วน  เพื่อให้เรากระทำสิ่งที่ตรงข้ามกับเหตุผลที่ถูกต้องและพระบัญญัติของพระเป็นเจ้า  พระเยซูเจ้าเองในระหว่างที่ทรงพระชนม์อยู่บนโลกก็ยังถูกปีศาจประจญล่อลวง  พระองค์ทรงถูกทดสอบเพื่อที่จะเปิดเผยให้เห็นถึงความแตกต่างระหว่างพระองค์ กับ  ปีศาจ  และเพื่อแสดงให้เห็นถึงชัยชนะของผลงานแห่งความรอดของพระองค์เหนือซาตาน  (CCC 538).  ในคำสอนยังกล่าวอีกว่า  บาปต้นเจ็ดประการ คือ  ความหยิ่งจองหอง, ความโลภ  ความอิจฉาริษยา  ความโกรธแค้น  ความลามก  ความตะกละ  และความเกียจคร้าน  เป็นมูลฐานของการประจญล่อลวงทุกชนิด  ความชั่วร้ายจึงเข้ามาแทนที่ความดี  โดยอาศัยการหลอกลวง  ด้วยความเห็นแก่ตัว  ด้วยความก้าวหน้าของตัวเอง  ด้วยอำนาจของตนเอง  การประจญบางอย่างให้ผลที่ร้ายแรงมาก  บางอย่างก็ดื้อด้านกำจัดได้ยาก  แต่การประจญทุกอย่างจะต่อต้านพระหรรษทานของพระเป็นเจ้าและนำไปสู่บาป ทำให้จิตวิญญาณมีบาดแผล (การประจญยังไม่ใช่บาป  แต่เมื่อยอมจำนนต่อการประจญและทำตามการประจญก็จะเป็นบาป)

เมื่อวันที่ 17 ก.พ. 2013 พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ทรงตรัสแก่ประชาชนที่มาชุมนุมกันที่จัตุรัสน.เปโตรว่า

มนุษย์ไม่อาจรอดพ้นจากการประจญล่อลวงได้....แต่ด้วยความอดทนและความถ่อมตน  เราจะแข็งแกร่งกว่าศัตรูของเรา  จำเป็นต้องมีความอดทนและความถ่อมตนเพื่อที่จะปราบศัตรู  ซึ่งจะเป็นเช่นนี้ได้ก็โดยติดตามพระคริสตเจ้าทุกๆวันและต้องเรียนรู้ที่จะเสริมสร้างชีวิตของเราในพระองค์และพร้อมกับพระองค์  ไม่ใช่ภายนอกพระองค์หรือทำราวกับว่าพระองค์ไม่มีตัวตน  เพราะพระองค์เป็นแหล่งแห่งชีวิตที่แท้จริง  สิ่งที่ขัดขวางและตรงข้ามกับสิ่งที่กล่าวมานี้ก็คือ การประจญล่อลวงเพื่อกำจัดพระเป็นเจ้าออกจากชีวิตของเรา  นั่นคือ ความพยายามควบคุมชีวิตและโลกด้วยตัวเราเองตามลำพัง  การพึ่งพาความรู้ความสามารถของเราเองโดยไม่พึ่งพาพระเป็นเจ้า  ด้วยเหตุนี้พระเยซูคริสต์จึงตรัสกับมนุษย์อย่างใกล้ชิดและด้วยวิธีพิเศษ  ที่เต็มเปี่ยมด้วยความรัก  เพราะเวลานี้พระเป็นเจ้าได้เสด็จมาบังเกิดและมาสู่โลกมนุษย์เพื่อนำบาปของมนุษย์มาอยู่บนพระองค์  เพื่อพิชิตความชั่วและนำมนุษย์กลับไปสู่โลกของพระเป็นเจ้า”

คำสอนของน.ยอห์นดังก้องขึ้นว่า “ความรักต่อพระเป็นเจ้าเป็นดังนี้  นั่นคือการที่เราปฏิบัติตามพระบัญญัติของพระองค์  พระบัญญัติไม่ทำให้เราเหนื่อยล้า  สำหรับผู้ที่พระเป็นเจ้าทรงรัก  เขาได้ชนะโลกแล้ว  และชัยชนะต่อโลกนั้นคือความเชื่อของเรา  ผู้ที่มีชัยชนะต่อโลกคือผู้ที่เชื่อว่าพระเยซูเจ้าทรงเป็นพระบุตรของพระเจ้า” (1 ยน. 5:3-5)

พระพรแห่งความเชื่อเป็นพลวัติ  มันนำเราไปสู่ชัยชนะของพระเจ้าที่มีต่อการประจญล่อลวงและบาป  ความเชื่อเป็นสิ่งที่ปฏิบัติได้ยากด้วยเช่นกัน  ทำไมหรือ? ก็เพราะเราต้องมีใจยากจน  หมายถึงเราต้องมีท่าทีเหมือนเด็กเล็กๆซึ่งมีความเชื่อและวางใจในพระเป็นเจ้า  สิ่งที่ตรงข้ามกับความเชื่อในพระเป็นเจ้าคือความหยิ่งจองหอง  เพราะผู้ที่หยิ่งจองหองคิดว่าทุกสิ่งขึ้นอยู่กับตัวของเขา  เขาทำราวกับว่าพระเป็นเจ้าไม่มีอยู่ในชีวิตของเขา  การยินยอมต่อการประจญล่อลวงและบาปเป็นความโง่เขลา

ในวันที่ 18 ก.พ. 2014 พระสันตปาปาฟรังซิสได้ตรัสในพิธิมิสซาเช้าที่ Casa Santa Marta  ว่า  “เมื่อเราถูกประจญล่อลวง  มีเพียงพระวาจาของพระเจ้า  พระวาจาของพระเยซูเจ้าเท่านั้นที่จะช่วยเราได้  พระคริสต์ทรงสอนเราเสมอถึงวิธีที่เราจะหลีกหนีการประจญล่อลวง  พระองค์ทรงยิ่งใหญ่เพราะพระองค์ไม่เพียงแต่นำเราให้รอดพ้นจากการประจญ  แต่ยังประทานความมั่นใจให้แก่เรามากยิ่งขึ้นด้วย  พระเยซูเจ้าทรงกำลังรอคอยเรา.....ทรงวางใจอย่างมากต่อเราผู้ถูกประจญล่อลวง  เราผู้เป็นคนบาป....พระองค์ทรงเปิดทางไว้เสมอ  การประจญล่อลวงมาจากไหน? และมันทำงานอย่างไรในตัวเรา?  อัครสาวกบอกกับเราว่ามันไม่ได้มาจากพระเป็นเจ้า  แต่มาจากความหลง  จากความอ่อนแอภายในจิตใจของเรา  มาจากบาดแผลของบาปกำเนิดที่ยังคงอยู่ในเรา”

 “การประจญล่อลวงเริ่มต้นด้วยบรรยากาศที่เงียบๆ  มันเติบโตขึ้นเรื่อยๆ  และถ้าเราไม่หยุดยั้งมัน  มันจะแทรกเข้าไปในทุกสิ่ง  การประจญล่อลวงเป็นโรคติดต่อและปิดกั้นเราด้วยสิ่งแวดล้อมที่ทำให้เราไม่สามารถออกไปได้ง่ายๆ”

“ในเวลาที่ถูกประจญล่อลวง  เราไม่ฟังเสียงของพระเป็นเจ้า  เราไม่ได้ยิน  เราไม่เช้าใจ  การประจญล่อลวงปิดกั้นเรา  มันทำให้เราสูญเสียความสามารถในการมองเห็น  ปิดกั้นหนทางทุกอย่างและด้วยวิธีนี้มันก็นำเราไปสู่บาป”

“พระเยซูเจ้าตรัสว่า  ผู้ที่ถูกประจญล่อลวง  จงยกสายตาขึ้น มองไปสู่ขอบฟ้า  อย่ายอมให้มันปิดกั้น  อย่าปิดกั้นตัวเราเอง”

“พระวาจานี้จะช่วยเราให้รอดพ้นจากการตกในบาปในเวลาที่ถูกประจญล่อลวง  นี่ทำให้เราคิดถึงบทสุภาษิตที่เขียนว่า“ข้าพเจ้ารักษาพระวาจาของพระองค์ไว้ในหัวใจของข้าพเจ้า  เพื่อที่ข้าพเจ้าจะไม่ทำบาปผิดต่อพระองค์” (สุภาษิต 119 : 11)”

บทสรุปของสิ่งที่เราควรรู้เกี่ยวกับการประจญล่อลวง

1.            การประจญล่อลวงเป็นสิ่งดึงดูดใจ  มันมาจากภายนอกหรือภายในตัวของเรา หรือจากทั้งสองส่วนก็ได้  ทำให้เราทำสิ่งที่ตรงข้ามกับเหตุผลที่ถูกต้องและพระบัญญัติของพระเป็นเจ้า (CCC 538).

2.            บาปตันเจ็ดประการ  หยิ่งจองหอง, ความโลภ  ความอิจฉาริษยา  ความโกรธแค้น  ความลามก  ความตะกละ  และความเกียจคร้าน  เป็นมูลฐานของการประจญล่อลวง

3.            มนุษย์ไม่อาจรอดพ้นจากการประจญล่อลวงได้อย่างเด็ดขาด..แต่ด้วยความอดทนและความถ่อมตนจะทำให้เราแข็งแกร่งกว่าศัตรูของเรา

4.            จำเป็นต้องมีความอดทนและความถ่อมตนเพื่อที่จะปราบศัตรู  ซึ่งจะเป็นเช่นนี้ได้ก็โดยติดตามพระคริสตเจ้าทุกๆวันและต้องเรียนรู้ที่จะเสริมสร้างชีวิตของเราในพระองค์และพร้อมกับพระองค์  ไม่ใช่ภายนอกพระองค์หรือทำราวกับว่าพระองค์ไม่มีตัวตน 

5.            พระพรแห่งความเชื่อเป็นพลวัติ  มันนำเราไปสู่ชัยชนะของพระเจ้าที่มีต่อการประจญล่อลวงและบาป 

6.            สิ่งที่ตรงข้ามกับความเชื่อในพระเป็นเจ้าคือความหยิ่งจองหอง เพราะผู้ที่หยิ่งจองหองคิดว่าทุกสิ่งขึ้นอยู่กับตัวของเขา  เขาทำราวกับว่าพระเป็นเจ้าไม่มีอยู่ในชีวิตของเขา  การยินยอมต่อการประจญล่อลวงและบาปเป็นความโง่เขลา

7.            การประจญล่อลวงปิดกั้นเรา  มันทำให้เราสูญเสียความสามารถในการมองเห็นปิดกั้นหนทางทุกอย่างและด้วยวิธีนี้มันก็นำเราไปสู่บาป”

8.            สิ่งที่ตรงข้ามกับความเชื่อในพระเป็นเจ้าคือความหยิ่งจองหอง  เพราะผู้ที่หยิ่งจองหองคิดว่าทุกสิ่งขึ้นอยู่กับตัวของเขา  เขาทำราวกับว่าพระเป็นเจ้าไม่มีอยู่ในชีวิตของเขา  การยินยอมต่อการประจญล่อลวงและบาปเป็นความโง่เขลา

9.            การประจญล่อลวงปิดกั้นเรา  มันทำให้เราสูญเสียความสามารถในการมองเห็น  ปิดกั้นหนทางทุกอย่างและด้วยวิธีนี้มันก็นำเราไปสู่บาป

10.    พระคริสต์ทรงสอนเราเสมอถึงวิธีที่เราจะหลีกหนีการประจญล่อลวง  พระองค์ทรงยิ่งใหญ่เพราะพระองค์ไม่เพียงแต่นำเราให้รอดพ้นจากการประจญ  แต่ยังประทานความมั่นใจให้แก่เรามากยิ่งขึ้นด้วย 

11.    “พวกท่านไม่เคยเผชิญกับการทดลองใดๆที่เกินกำลังมนุษย์  พระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ  พระองค์จะไม่ทรงอนุญาติให้ท่านถูกทดลองเกินกำลังของท่าน  แต่เมื่อถูกทดลอง พระองค์จะทรงเตรียมทางออกไว้ให้ท่าน  เพื่อที่ท่านจะสามารถยืนหยัดมั่นคงอยู่ได้” (1 คร. 10:13)

12.    เมื่อเราเชื่อมโยงกับพระเป็นเจ้าด้วยความรักที่มั่นคงโดยอาศัยศีลอภัยบาป  เกราะป้องกันฝ่ายจิตของเราก็จะแข็งแกร่งเพียงพอที่จะต้านทานการประจญล่อลวงที่มีอยู่อย่างต่อเนื่อง  ซึ่งมาจาก โลก  เนื้อหนัง  และ ปีศาจ

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น