ซิสเตอร์คาร์เมไลท์ผู้หนึ่งซึ่งอยู่ที่คอนแวนต์ในโคอิมบรา,โปรตุเกส และเป็นผู้ใกล้ชิดกับซิสเตอร์ลูซีอา
แห่งฟาติมา (หรือในชื่อว่า ลูซีอา
แห่งพระเยซูและดวงหทัยนิรมลของแม่พระ)
ท่านได้เขียนหนังสืออัตชีวประวัติของซิสเตอร์ลูซีอา ในหนังสือนี้ยังได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับความลับข้อที่สามไว้ด้วย
ทำให้เราเห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้นกว่าแต่ก่อนเกี่ยวกับหายนภัยของโลกในอนาคต
หนังสืออัตชีวประวัตินี้
ถูกตีพิมพ์เผยแพร่เป็นภาษาอังกฤษโดย World Apostolate of Fatima และมีชื่อว่า
A Pathway Under the Gaze of Mary ในหนังสือมีรูปภาพใหม่ๆ
และเล่ารายละเอียดของวันที่ 3 ม.ค. 1944
(34 ปีหลังการประจักษ์ของแม่พระที่ฟาติมา ปี 1917) ซึ่งเป็นวันที่ซิสเตอร์ลูซีอา
กำลังรอคอยคำตอบจากพระเยซูเจ้าว่าจะให้เขียนความลับข้อที่สามตามคำขอร้องของพระสังฆราชหรือไม่ และแม่พระได้ประจักษ์แก่ซิสเตอร์ลูซีอา
อีกครั้งหนึ่ง
แม่พระตรัสกับซิสเตอร์ว่า
“อย่ากลัวเลย
พระเป็นเจ้าประสงค์จะทดสอบความนบนอบเชื่อฟังของลูก
จงมีใจสงบเถิดและเขียนสิ่งที่พวกเขาสั่งลูก แต่อย่าเขียนความคิดเห็นของลูกและความหมายของคำทำนายนั้น หลังจากที่ลูกเขียนเสร็จแล้ว จงใส่ไว้ในซองจดหมาย และปิดผนึกไว้ให้ดี เขียนบนซองไว้ว่า สามารถเปิดอ่านได้ในปี 1960
เท่านั้นโดยพระคาร์ดินัลแห่งลิสบอนหรือโดยพระสังฆราชแห่ง Leiria”
ความลับข้อที่สามนี้
ทางวาติกันได้ปกปิดเป็นเอาไว้เป็นเวลานานเกือบห้าสิบปี
ในที่สุดเมื่อเดือนมิถุนายน 2000 พระสันตะปาปายอห์นปอลที่ 2
จึงได้เปิดเผยความลับนี้แก่สาธารณชนเป็นครั้งแรก (หลังจากที่พระองค์ถูกลอบปลงพระชนม์)
ประชาชนจึงได้รับรู้ถึงความน่าหวาดหวั่นที่เปิดเผยจากสาส์นความลับนี้
ในปี 1944 เมื่อแม่พระประจักษ์แก่ซิสเตอร์ลูซีอาอีกครั้ง ไม่เพียงแต่ซิสเตอร์ได้รับอนุญาติให้เขียนความลับเท่านั้น เธอยังได้รับความกระจ่างบางอย่างด้วย เธอเล่าว่า
“ฉันรู้สึกว่าจิตใจท่วมท้นด้วยแสงสว่างที่ลึกลับ นั่นก็คือพระเป็นเจ้านั่นเองและในพระองค์ ฉันได้เห็นและได้ยิน -- ปลายหอกซึ่งเป็นเปลวเพลิงที่ทิ่มทะลุทะลวงเข้าไปในใจกลางแกนของโลก ทำให้ภูเขา , เมือง ,นครทั้งหลาย สั่นสะเทือน
และบ้านเรือนพังทลายทำให้ผู้อยู่อาศัยในบ้านเรือนถูกฝัง ทะเล , แม่น้ำ
และก้อนเมฆขยายตัวออกจากที่จำกัดของมัน
เข้าท่วมแผ่นดินและลากเอาบ้านเรือนและประชาชนจำนวนมากจนไม่สามารถประมาณได้เข้าสู่วังน้ำวนของมัน นั่นเป็นการชำระล้างโลกให้บริสุทธิ์ เพราะมันจมอยู่ในความบาป
ความเกลียดชังและความทะเยอทะยานอันเป็นสาเหตุของสงครามทำลายล้าง”
ปี 1960 เป็นช่วงเวลาแห่งสงครามเย็นระหว่างสหรัฐอเมริกา และ
โซเวียตรัสเซีย – ประเทศที่กล่าวถึงในสาส์นความลับ -
ปลายหอกซึ่งเป็นเปลวเพลิงนั้น
อาจหมายถึงสงครามนิวเคลียร์
ซึ่งในเวลานั้นเริ่มมีการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์ ทั้งสองประเทศได้สร้างและสะสมจรวดนิวเคลียร์กันเป็นการใหญ่
ถ้าหากมีการใช้จรวดนี้ก็จะทำให้โลกสูญสิ้นไปได้ในพริบตา แต่แม่พระได้ดับไฟนี้ให้มอดดับลงไป
ซิสเตอร์ลูซีอา
เล่าต่อไปว่า “ฉันรู้สึกหัวใจเต้นแรงและในจิตใจของฉันมีเสียงก้องกังวาน เป็นเสียงที่อ่อนหว่านพูดว่า “ –
เมื่อถึงเวลา ความเชื่อหนึ่งเดียว ศีลล้างหนึ่งเดียว พระศาสนจักรหนึ่งเดียว ความศักดิ์สิทธิ์ คาทอลิก
และสืบเนื่องจากอัครสาวก
ในนิรันดรภาพ สวรรค์! คำว่า สวรรค์
ท่วมทันวิญญาณของฉันทำให้มีสันติสุขและความสุขล้นเหลือ โดยไม่รู้สึกตัว ฉันพูดคำว่า สวรรค์ สวรรค์
ซ้ำๆเป็นเวลานาน”
“พละกำลังเหนือธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ได้เข้ามาในตัวฉันและทำให้ฉันเขียนได้โดยไม่ลำบากในวันที่
3 มกราคม 1944 ในขณะคุกเข่า และใช้เตียงนอนเป็นโต๊ะ”
ซิสเตอร์ลูซีอาเคยกล่าวไว้เมื่อเขียนความลับข้อที่สองเสร็จว่า
“ประเทศโปรตุเกส
จะยังคงรักษาความเชื่อในคำสอนไว้ได้”
หนังสือดังกล่าวได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า ครั้งหนึ่งซิสเตอร์ลูซีอาได้กล่าวขึ้น “ถ้าโปรตุเกสไม่ยอมรับการทำแท้ง มันก็จะยังคงปลอดภัย แต่ถ้าหากยอมรับการทำแท้ง มันจะได้รับความทุกข์มากมาย”
“สำหรับบาปของแต่ละคน เขาต้องรับผิดชอบและรับโทษของมัน แต่สำหรับบาปของประเทศ
ประชาชนทุกคนต้องรับโทษ
เพราะผู้ปกครองซึ่งทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องนี้ได้กระทำในนามของประชาชนที่เลือกพวกเขาเข้าไป”
“ทุกวันนี้
โปรตุเกสอยู่ภายใต้บาปของสังคมสามประการซึ่งจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขและสำนึกผิดกลับใจ บาปนั้นคือ
การหย่าร้าง, การทำแท้ง , และการแต่งงานระหว่างเพศเดียวกัน
มันเป็นวิกฤตการณ์ทางศีลธรรมที่เลวร้ายมากซึ่งเป็นรากเหง้าของวิกฤตการณ์อื่นๆ
ร่างกายที่เป็นแผลเรื้อรังจะดีขึ้นถ้าได้รับการรักษา
แต่ขณะที่เชื้อโรคเข้าแทรกและเจริญเติบโตขึ้น และการรักษาไม่สามารถกำจัดเชื้อโรคแห่งของความชั่วร้ายได้ แล้วความตายก็จะมาถึง”
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น