วันจันทร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

หนังสือเล่มใหม่เกี่ยวกับซิสเตอร์ลูซีอาแห่งฟาติมา


             ซิสเตอร์คาร์เมไลท์ผู้หนึ่งซึ่งอยู่ที่คอนแวนต์ในโคอิมบรา,โปรตุเกส   และเป็นผู้ใกล้ชิดกับซิสเตอร์ลูซีอา แห่งฟาติมา (หรือในชื่อว่า  ลูซีอา แห่งพระเยซูและดวงหทัยนิรมลของแม่พระ)  ท่านได้เขียนหนังสืออัตชีวประวัติของซิสเตอร์ลูซีอา  ในหนังสือนี้ยังได้ให้รายละเอียดเกี่ยวกับความลับข้อที่สามไว้ด้วย  ทำให้เราเห็นภาพที่ชัดเจนมากขึ้นกว่าแต่ก่อนเกี่ยวกับหายนภัยของโลกในอนาคต

            หนังสืออัตชีวประวัตินี้ ถูกตีพิมพ์เผยแพร่เป็นภาษาอังกฤษโดย World Apostolate of Fatima และมีชื่อว่า A Pathway Under the Gaze of Mary  ในหนังสือมีรูปภาพใหม่ๆ และเล่ารายละเอียดของวันที่ 3 ม.ค. 1944  (34 ปีหลังการประจักษ์ของแม่พระที่ฟาติมา ปี 1917)  ซึ่งเป็นวันที่ซิสเตอร์ลูซีอา  กำลังรอคอยคำตอบจากพระเยซูเจ้าว่าจะให้เขียนความลับข้อที่สามตามคำขอร้องของพระสังฆราชหรือไม่  และแม่พระได้ประจักษ์แก่ซิสเตอร์ลูซีอา อีกครั้งหนึ่ง

             ช่วงเวลานั้นเป็นเวลาแห่งการทดสอบฝ่ายจิตของซิสเตอร์ลูซีอา  เธอรู้สึกลำบากใจและมีความขัดแย้งในจิตใจต่อคำสั่งของพระสังฆราชแห่ง Leiria ที่สั่งให้เธอเขียนสิ่งที่เธอได้ยินและได้เห็นเกี่ยวกับคำทำนาย  ซิสเตอร์ลูซีอาพยายามจรดปากกาลงบนกระดาษ  แต่น่าประหลาดใจที่เธฮไม่สามารถทำได้  เธอจึงคุกเข่าต่อหน้าศีลมหาสนิทและวิงวอนขอให้ทราบถึงน้ำพระทัยของพระเยซูเจ้า  เธอเล่าว่า “ฉันรู้สึกสงสัย และจิตใจถูกครอบงำจากเมฆที่ดำทึบซึ่งดูเหมือนจะอยู่รอบๆตัวฉัน”  ซิสเตอร์ลูซีอาเงยหน้าขึ้นและได้เห็น “พระมารดาแห่งสวรรค์ผู้น่ารักยิ่ง” อีกครั้งหนึ่ง  นั่นเป็นปี 1944

แม่พระตรัสกับซิสเตอร์ว่า “อย่ากลัวเลย  พระเป็นเจ้าประสงค์จะทดสอบความนบนอบเชื่อฟังของลูก  จงมีใจสงบเถิดและเขียนสิ่งที่พวกเขาสั่งลูก  แต่อย่าเขียนความคิดเห็นของลูกและความหมายของคำทำนายนั้น  หลังจากที่ลูกเขียนเสร็จแล้ว  จงใส่ไว้ในซองจดหมาย  และปิดผนึกไว้ให้ดี  เขียนบนซองไว้ว่า  สามารถเปิดอ่านได้ในปี 1960 เท่านั้นโดยพระคาร์ดินัลแห่งลิสบอนหรือโดยพระสังฆราชแห่ง Leiria

ความลับข้อที่สามนี้ ทางวาติกันได้ปกปิดเป็นเอาไว้เป็นเวลานานเกือบห้าสิบปี  ในที่สุดเมื่อเดือนมิถุนายน 2000 พระสันตะปาปายอห์นปอลที่ 2 จึงได้เปิดเผยความลับนี้แก่สาธารณชนเป็นครั้งแรก (หลังจากที่พระองค์ถูกลอบปลงพระชนม์)  ประชาชนจึงได้รับรู้ถึงความน่าหวาดหวั่นที่เปิดเผยจากสาส์นความลับนี้ 

                 ในปี 1944 เมื่อแม่พระประจักษ์แก่ซิสเตอร์ลูซีอาอีกครั้ง  ไม่เพียงแต่ซิสเตอร์ได้รับอนุญาติให้เขียนความลับเท่านั้น  เธอยังได้รับความกระจ่างบางอย่างด้วย  เธอเล่าว่า

“ฉันรู้สึกว่าจิตใจท่วมท้นด้วยแสงสว่างที่ลึกลับ  นั่นก็คือพระเป็นเจ้านั่นเองและในพระองค์  ฉันได้เห็นและได้ยิน  -- ปลายหอกซึ่งเป็นเปลวเพลิงที่ทิ่มทะลุทะลวงเข้าไปในใจกลางแกนของโลก  ทำให้ภูเขา , เมือง ,นครทั้งหลาย สั่นสะเทือน และบ้านเรือนพังทลายทำให้ผู้อยู่อาศัยในบ้านเรือนถูกฝัง  ทะเล , แม่น้ำ และก้อนเมฆขยายตัวออกจากที่จำกัดของมัน  เข้าท่วมแผ่นดินและลากเอาบ้านเรือนและประชาชนจำนวนมากจนไม่สามารถประมาณได้เข้าสู่วังน้ำวนของมัน  นั่นเป็นการชำระล้างโลกให้บริสุทธิ์  เพราะมันจมอยู่ในความบาป  ความเกลียดชังและความทะเยอทะยานอันเป็นสาเหตุของสงครามทำลายล้าง”

ปี 1960 เป็นช่วงเวลาแห่งสงครามเย็นระหว่างสหรัฐอเมริกา และ โซเวียตรัสเซีย – ประเทศที่กล่าวถึงในสาส์นความลับ - ปลายหอกซึ่งเป็นเปลวเพลิงนั้น  อาจหมายถึงสงครามนิวเคลียร์  ซึ่งในเวลานั้นเริ่มมีการพัฒนาอาวุธนิวเคลียร์  ทั้งสองประเทศได้สร้างและสะสมจรวดนิวเคลียร์กันเป็นการใหญ่  ถ้าหากมีการใช้จรวดนี้ก็จะทำให้โลกสูญสิ้นไปได้ในพริบตา  แต่แม่พระได้ดับไฟนี้ให้มอดดับลงไป

ซิสเตอร์ลูซีอา เล่าต่อไปว่า “ฉันรู้สึกหัวใจเต้นแรงและในจิตใจของฉันมีเสียงก้องกังวาน  เป็นเสียงที่อ่อนหว่านพูดว่า “ – เมื่อถึงเวลา  ความเชื่อหนึ่งเดียว  ศีลล้างหนึ่งเดียว  พระศาสนจักรหนึ่งเดียว  ความศักดิ์สิทธิ์  คาทอลิก  และสืบเนื่องจากอัครสาวก  ในนิรันดรภาพ  สวรรค์!  คำว่า สวรรค์  ท่วมทันวิญญาณของฉันทำให้มีสันติสุขและความสุขล้นเหลือ  โดยไม่รู้สึกตัว  ฉันพูดคำว่า สวรรค์  สวรรค์  ซ้ำๆเป็นเวลานาน”

“พละกำลังเหนือธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ได้เข้ามาในตัวฉันและทำให้ฉันเขียนได้โดยไม่ลำบากในวันที่ 3 มกราคม 1944 ในขณะคุกเข่า  และใช้เตียงนอนเป็นโต๊ะ”

ซิสเตอร์ลูซีอาเคยกล่าวไว้เมื่อเขียนความลับข้อที่สองเสร็จว่า “ประเทศโปรตุเกส  จะยังคงรักษาความเชื่อในคำสอนไว้ได้”   หนังสือดังกล่าวได้ให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า  ครั้งหนึ่งซิสเตอร์ลูซีอาได้กล่าวขึ้น  “ถ้าโปรตุเกสไม่ยอมรับการทำแท้ง  มันก็จะยังคงปลอดภัย  แต่ถ้าหากยอมรับการทำแท้ง  มันจะได้รับความทุกข์มากมาย”

            “สำหรับบาปของแต่ละคน  เขาต้องรับผิดชอบและรับโทษของมัน  แต่สำหรับบาปของประเทศ ประชาชนทุกคนต้องรับโทษ  เพราะผู้ปกครองซึ่งทำสิ่งที่ไม่ถูกต้องนี้ได้กระทำในนามของประชาชนที่เลือกพวกเขาเข้าไป”

“ทุกวันนี้  โปรตุเกสอยู่ภายใต้บาปของสังคมสามประการซึ่งจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขและสำนึกผิดกลับใจ  บาปนั้นคือ  การหย่าร้าง, การทำแท้ง , และการแต่งงานระหว่างเพศเดียวกัน  มันเป็นวิกฤตการณ์ทางศีลธรรมที่เลวร้ายมากซึ่งเป็นรากเหง้าของวิกฤตการณ์อื่นๆ  ร่างกายที่เป็นแผลเรื้อรังจะดีขึ้นถ้าได้รับการรักษา  แต่ขณะที่เชื้อโรคเข้าแทรกและเจริญเติบโตขึ้น  และการรักษาไม่สามารถกำจัดเชื้อโรคแห่งของความชั่วร้ายได้  แล้วความตายก็จะมาถึง” 

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น