ในปี
ค.ศ. 792 จักรพรรดิชาร์ลมังได้พบพระธาตุ นักบุญอันนา ด้วยความช่วยเหลือของเด็กพิการและหูหนวกคนหนึ่ง นี่เป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ใจสำหรับวันนี้ซึ่งเป็นวันฉลองของนักบุญอันนา
ในจดหมายระหว่างพระสันตปาปาเลโอที่
3 และจักรพรรดิชาร์ลมัง ได้กล่าวถึงการค้นพบพระธาตุนี้ต่อหน้าพระจักรพรรดิ
หลังจากที่พระเยซูเจ้าทรงสิ้นพระชนม์ไปแล้ว 14
ปี น.มารีย์ มักดาเลนา น. มาร์ทา
น.ลาซารัส
และกลุ่มคริสตชนเล็กๆได้ลงเรือซึ่งไม่มีใบเรือหรือหางเสือและแล่นออกทะเลไปเพื่อหลบหนีการไล่ล่าจับกุมของทหาร เนื่องจากมีการเบียดเบียนคริสตชนโดยพวกยิวในกรุงเยรูซาเล็ม พวกเขาได้นำศพของนักบุญอันนาไปด้วยเพราะเกรงว่าศพของนักบุญอันนาจะถูกทำลายหายไปเมื่อกรุงเยรูซาเล็มล่มสลายตามที่พระเยซูเจ้าเคยทรงทำนายไว้ล่วงหน้า
ด้วยพระอานุภาพของพระเป็นเจ้าทรงช่วยเหลือ
เรือได้แล่นมาอย่างปลอดภัยไปสิ้นสุดที่ริมฝั่งของฝรั่งเศส คริสตชนกลุ่มเล็กๆนี้ได้ฝังศพของนักบุญอันนาในถ้ำแห่งหนึ่งที่มีชื่อเรียกว่า
Apt อยู่ทางตอนใต้ของฝรั่งเศส ภายหลังได้มีการสร้างโบสถ์ขึ้นบริเวณที่ฝังศพนั้น แต่โบสถ์ก็เสื่อมสภาพและพังลงเนื่องจากสงครามและการเบียดเบียนคริสตชน หลายศตวรรษผ่านไป ถ้ำที่ฝังศพนักบุญอันนาก็ถูกหลงลืมไป
เมื่อประเทศฝรั่งเศสมีสันติสุขจากการปกครองของกษัตริย์ชาร์ลมัง
ชาวบ้านได้สร้างโบสถ์ที่ใหญ่โตและสง่างามขึ้นบริเวณโบสถ์น้อยอันเก่าแก่ที่ Apt นี้
และเมื่อถึงเวลาฉลองโบสถ์ใหม่นี้ (ตรงกับวันอิสเตอร์ วันอาทิตย์ ปี
792) จักรพรรดิชาร์ลมังทรงยินดีที่จะเดินทางเป็นระยะทางหลายไมล์เพื่อมาร่วมในพิธีพิเศษนี้ด้วย
ในระหว่างพิธีกรรมอันศักดิ์สิทธิ์ของการฉลอง เด็กชายอายุ 14 ปีคนหนึ่ง ซึ่งหูหนวกตาบอดและเป็นใบ้แต่กำเนิด โดยปกติเขาจะเป็นคนเงียบๆ เวลานั้นได้ทำให้ทุกคนในโบสถ์ต้องตกตะลึง เขาได้ลุกจากที่นั่งเดินขึ้นไปยังขั้นบันไดที่ไปสู่พระแท่น แล้วใช้ไม้เท้าของเขาตีที่ขั้นบันไดทำให้มีเสียงดังก้องไปทั่วโบสถ์
คนในครอบครัวของเด็กชายรู้สึกอับอายมาก พยายามนำตัวเขาออกจากโบสถ์ แต่เด็กชายดิ้นรนไม่ยอม เขายังคงตีที่ขั้นบันได สายตาของทุกคนมองไปที่องค์จักรพรรดิ
เพื่อดูว่าพระองค์จะทำประการใดในเหตุการณ์นี้ แต่พระจักรพรรดิคงได้รับการดลใจจากพระเป็นเจ้า พระองค์เรียกคนงานให้มางัดขั้นบันไดนี้ออกมา และพบว่ามีทางเดินลงไปใต้ดิน
เด็กชายรีบเดินลงไปตามทางเดินนั้นทันทีโดยมีพระจักรพรรดิ,พระสงฆ์และคนงาน
เดินตามไป
พวกเขาเดินไปโดยอาศัยแสงสลัวๆจากเทียน เมื่อเดินมาสุดทางก็พบกำแพงขวางทางอยู่ เด็กชายบอกใบ้ว่าให้พังกำแพงนี้ หลังจากพังกำแพงแล้ว ก็ยังมีทางเดินมืดๆต่อไปอีก เมื่อเดินไปจนสุดทางพวกเขาก็พบห้องใต้ดิน ในความประหลาดใจของพวกเขา เขาเห็นตะเกียงเล็กๆที่ถูกจุดไว้อยู่ข้างผนังมีแสงสว่างสีนวล
เมื่อจักรพรรดิและผู้ติดตามทั้งหมดมายืนบริเวณตะเกียงนี้ แสงก็มอดดับลง
และในเวลานั้นเอง เด็กชายที่ตาบอดหูหนวกเป็นใบ้แต่กำเนิด
ก็สามารถมองเห็น
ได้ยินและพูดได้เป็นครั้งแรก
“เป็นเธอเอง, เป็นเธอเอง”
เด็กชายร้องออกมา
จักรพรรดิยังไม่ทรงทราบว่าเด็กชายหมายถึงใครแต่ก็ตรัสออกมาตามคำพูดของเด็กชาย มีเสียงดังมาจากฝูงชนที่อยู่ด้านบนโบสถ์ ประชาชนพากันคุกเข่า
ต่างตระหนักว่ามีสิ่งศักดิ์สิทธิ์จากสวรรค์มาปรากฏ
ในที่สุดห้องใต้ดินก็ถูกเปิดออก มีโลงศพอยู่ในห้อง ในโลงศพมีผ้าพันบางสิ่งไว้ และสิ่งที่ถูกพันนั้นก็คือพระธาตุ มีกระดาษอยู่บนพระธาตุซึ่งเขียนว่า “นี่คือศพของนักบุญอันนา มารดาของพรหมจารีย์มารีย์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง” ผ้าที่พันมีลักษณะการทอแบบตะวันออก
จักรพรรดิชาร์ลมังทรงรู้สึกตื้นตันพระทัยเป็นอย่างยิ่ง
พระองค์ทรงคุกเข่าเคารพพระธาตุของมารดาของพระราชินีแห่งสวรรค์ ทรงสวดภาวนาอยู่เป็นเวลานาน พระสงฆ์และประชาชนต่างรู้สึกสำนึกในพระหรรษทานที่พวกเขาได้รับ การที่หมู่บ้านของพวกเขาถูกเลือก เหตุการณ์นี้ถูกกล่าวขานเป็นเวลานาน
พระจักรพรรดิได้เป็นพยานรู้เห็นในเหตุการณ์นี้ด้วยพระองค์เอง พระองค์จึงเขียนจดหมายไปถึงพระสันตปาปาเลโอที่
3 เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้พระสันตปาปารับทราบ
เอกสารจดหมายของจักรพรรดิและจดหมายตอบกลับของพระสันตะปาปา ยังถูกเก็บรักษาไว้จนทุกวันนี้ พระสันตะปาปาหลายพระองค์ได้ยืนยันความจริงในเรื่องความแท้จริงของพระธาตุนักบุญอันนาที่ Apt
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น