ถ้าจะมีคำใดที่ใช้บรรยายชีวิตของ
น. ปีเตอร์ จูเลียน เอียมาร์ด
Saint Peter Julian Eymard
ได้แล้วก็คงเป็นคำว่า “เข็นครกขึ้นภูเขา” นั่นแหละ ปีเตอร์รู้สึกตัวว่าได้รับกระแสเรียกให้เป็นพระสงฆ์ตั้งแต่วัยรุ่นและเขาจำเป็นต้องเรียนรู้ภาษาลาตินเพื่อจะสามารถเป็นพระสงฆ์ได้ ปีเตอร์ต้องออกจากโรงเรียนตั้งแต่อายุ 13
ปีเพื่อทำงานในธุรกิจเล็กๆของบิดา แต่คนในครอบครัวก็ต้องช็อคเมื่อรู้ถึงการตัดสินใจของเขา ปีเตอร์เคยเล่าให้ฟังเสมอว่าการรับศีลมหาสนิทเป็นจุดเปลี่ยนในชีวิตของเขา
หลังจากรับศีลมหาสนิท ปีเตอร์ขออนุญาตบิดาให้เขาติดตามกระแสเรียกและไปศึกษาเพื่อเป็นพระสงฆ์
เขาแน่ใจว่าบิดาคงเข้าใจความปรารถนาของเขาและอนุญาต แต่กลับตรงกันข้าม
คุณพ่อโตเช่ขอให้ปีเตอร์เล่าเรื่องความทุกข์ใจของเขาเพื่อจะได้รู้ว่าจะสามารถช่วยเหลืออะไรได้บ้าง แล้วท่านก็ให้กำลังใจปีเตอร์
บอกให้เขามั่นคงในการตัดสินใจที่จะเป็นพระสงฆ์ ท่านแนะนำให้ปีเตอร์รับศีลมหาสนิททุกอาทิตย์ และเรียนภาษาลาติน ปีเตอร์คิดว่าการพูดนั้นง่ายกว่าลงมือทำ แต่เขาก็ปฏิบัติตามคำแนะนำของคุณพ่อโตเช่ เขาช่วยเหลืองานของบิดาต่อไป
แต่ในเวลาว่างเขาก็จะอ่านหนังสือสอนภาษาลาติน เขาทำเช่นนี้เป็นเวลานานถึงสองปี แล้วเขาก็คิดว่าน่าจะถึงเวลาแล้วที่บิดาควรจะอนุญาติให้เขากลับไปเรียนในวิทยาลัย แต่ผลก็ไม่เป็นอย่างที่คิด ตรงกันข้าม บิดาตอบกลับอย่างโมโหว่า
เป็นไปไม่ได้ที่ครอบครัวจะนำเงินที่หามาได้อย่างยากลำบากเพื่อส่งเสียให้เขาไปเรียนในวิทยาลัยเพื่อเรียนต่อเป็นพระสงฆ์ และปีเตอร์ก็จะต้องเป็นผู้รับช่วงธุรกิจต่อไป จึงไม่จำเป็นต้องเข้าเรียนในวิทยาลัย
ปีเตอร์ในวิทยาลัย
ถึงแม้จะแพ้ในยกนี้แต่ก็ยังไม่ท้อ
ปีเตอร์หาหนทางที่จะเรียนในวิทยาลัยโดยผ่านทางทุนสนับสนุนการเรียนที่ทางบ้านเมืองจัดสรรไว้ มีปัญหาอยู่เพียงอย่างเดียวคือ ทุนนี้จะให้แก่คนยากจนขัดสนเท่านั้น และถึงแม้ครอบครัวของปีเตอร์จะมีฐานะไม่ดีนัก
แต่ก็ยังไม่ถึงขั้นที่จะเรียกว่ายากจนหรือขัดสน
ผู้อำนวยการวิทยาลัยรู้สึกหัวเสียที่ปีเตอร์เข้าเรียนในวิทยาลัยได้โดยอาศัยทุนนี้
และคอยรังควานปีเตอร์ตลอดเวลาที่เขาเรียนอยู่ที่นั่น หลายปีต่อมาปีเตอร์เล่าว่า “ผมต้องประสบความยากลำบากมาก
ผมถูกดูหมิ่นและต้องอับอายขายหน้าหลายครั้งหลายหน
ผู้อำนวยการทำให้ผมต้องชดใช้เงินเพื่อการศึกษาด้วยวิธีต่างๆ....เขาไม่ยอมให้ผมสังสรรค์กับคนอื่น....แต่สั่งให้ผมทำงานจุดไฟเตาผิง ถูพื้นห้องทำงานของเขาและห้องเรียน และยังให้ทำงานอื่นๆอีกนับร้อยอย่าง”
ส่วนบิดาของปีเตอร์ เขาเป็นคนที่หยิ่งในตัวเอง เขาทำงานหนักเพื่อสร้างธุรกิจของเขา เขาไม่ใช่คนยากจนและครอบครัวก็ไม่ได้ยากจน เขาไม่พอใจที่ปีเตอร์ขอทุนการศึกษานี้ เขาพูดกับผู้อำนวยการวิทยาลัยเกี่ยวกับเรื่องนี้
และผู้อำนวยการก็เห็นด้วยแต่ด้วยเหตุผลที่แตกต่าง ผู้อำนวยการบอกบิดาของปีเตอร์ว่า “ถ้าอย่างนั้น
คุณก็บังคับให้ปีเตอร์ออกจากวิทยาลัยเสียซิ
ถ้าคุณรู้สึกเช่นนี้”
ในที่สุดปีเตอร์ก็ต้องออกจากวิทยาลัย
บิดารู้สึกพอใจมาก
ผู้อำนวยการก็รู้สึกพอใจ
ผู้เป็นทุกข์มากที่สุดก็คือปีเตอร์
เขาต้องแพ้อีกยกหนึ่งแล้ว เขาต้องกลับมาทำงานของครอบครัวอีกครั้งหนึ่ง แต่เขาก็ยังไม่ยอมละเลิกความพยายาม
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น