วันพุธที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2559

ผู้ค้นพบบ้านของแม่พระ


              “...บ้านของเราจะถูกเรียกว่าเป็นบ้านแห่งการสวดภาวนาของทุกคน” อิสยาห์ 56:7

             “พระเจ้าข้า....พระองค์ทรงพอพระทัยที่จะอวยพรบ้านของผู้รับใช้ของพระองค์นี้  เพื่อที่มันจะคงอยู่ตลอดไป  พระเจ้าข้า  เป็นพระองค์ที่ทรงอวยพรบ้านนี้  และมันจะได้รับพรตลอดไป” 1คร. 17:26-27
ซิสเตอร์มารี เดอ แมนแดท-แกรนซี Sister Marie de Mandat-Grancey (1837-1915) ผู้รับใช้ของพระเจ้า  เธอเป็นซิสเตอร์ในคณะธิดาเมตตาธรรม  เป็นผู้ค้นพบบ้านดั้งเดิมของแม่พระที่เอเฟซัส  (Ephesus) ซึ่งอยู่ในเอเชียไมเนอร์  ปัจจุบันคือประเทศตุรกี

จากประวัติในธรรมเนียมคริสตชน  แม่พระ พระมารดาของพระเจ้า (ฉลองวันที่ 1 ม.ค.) ทรงมาอยู่ที่เอเฟซัสในเอเชียไมเนอร์พร้อมกับนักบุญยอห์น อัครสาวกภายหลังจากที่พระเยซูเจ้ากลับฟื้นคืนพระชนม์แล้ว  พระนางประทับอยู่ที่นี่เป็นเวลานานหลายปีจนกระทั่งทรงได้รับการยกขึ้นสวรรค์

บ้านของแม่พระถูกซ่อนไว้ไม่เป็นที่รู้จักจนกระทั่งซิสเตอร์มารีได้มาทำการค้นหาและได้พบ  ซิสเตอร์มารีเติบโตในครอบครัวขุนนางของอิตาลี  ในแต่ละปีเธอจะไปอยู่ในเบอร์กันดีครึ่งปีและไปอยู่ที่ปารีสอีกครึ่งปี  เธอได้เข้าบวชในคณะธิดาเมตตาธรรม (คณะเดียวกับนักบุญคัทริน ลาบูเร ผู้ที่ได้รับเหรียญอัศจรรย์จากแม่พระ)  เธอบวชเป็นโปสตุรันในปี 1857  และประกอบพิธีรับผ้าคลุมศีรษะในปีถัดมา  เธอทำงานกับคนยากจน

งานแรกที่เธอได้รับมอบหมายจากคณะคือการดูแลเด็กกำพร้าพร้อมกับซิสเตอร์คนอื่นๆ  มีเด็กในความดูแลทั้งสิ้น 55 คน  ซิสเตอร์ต้องเย็บเสื้อผ้าสำหรับเด็กหญิง 60 คน บางคนมาจากต่างจังหวัดที่เข้าอาศัยร่วมกับเด็กหญิงที่มาอยู่ก่อนแล้ว   เด็กหลายคนมีเหาและเลือดออกตามไรฟันอันเนื่องมาจากการขาดสารอาหารและจากการใช้ชีวิตในสภาพสกปรก

ซิสเตอร์มารีมีความศรัทธาในแม่พระมากและได้เป็นหัวหน้าของสมาคมเด็กของพระแม่มารีย์  เธอสอนและปกป้องคำสอนเกี่ยวกับดวงหทัยนิรมลของพระนางมารีย์ด้วยความรักอย่างแท้จริง  เธอปลุกเร้าให้เด็กๆรักและใกล้ชิดแม่พระ  เธอแนะนำให้เด็กๆรู้จักหลีกเลี่ยงทุกสิ่งที่อาจมีผลต่อความเชื่อและศักดิ์ศรีของพวกเขาเหมือนดังเช่นที่แม่พระทรงกระทำ

สิบปีต่อมาในปี 1870 ในระหว่างสงครามฝรั่งเศส-ปรัสเซีย  เธอได้รับการเสนอชื่อให้เป็นอธิการสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าที่อยู่นอกเมืองปารีส  เวลานั้นสถานการณ์เลวร้ายและเสี่ยงภัยมาก  แต่ซิสเตอร์มารีไม่เคยทอดทิ้งเด็กกำพร้าและบรรดาซิสเตอร์ที่อยู่ในความดูแลของเธอเลย  เธออยู่ที่นี่นานถึง 16 ปี  เธอยังได้สร้างสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเพิ่มขึ้นอีกโดยอาศัยเงินทุนของเธอเองเพื่อซื้อสิ่งของจำเป็นสำหรับเด็กและบรรดาซิสเตอร์

ในปี 1886 พระสันตปาปาเลโอที่ 13 ทรงขอให้ทางฝรั่งเศสส่งมิชชันนารีไปยังตะวันออกกลาง  ซิสเตอร์มารีได้ตอบสนองพระประสงค์ของพระองค์  เธออาสาสมัครเป็นมิชชันนารีและได้รับมอบหมายให้ดูแลโรงพยาบาลฝรั่งเศสใน Smyrna (ปัจจุบันคือเมือง  Izmir),ในตุรกี  เธอต้องไปที่โรงพยาบาลอย่างทุลักทุเล  เมื่อพบโรงพยาบาลแล้ว  เธอก็ใช้เงินทุนของตนเองในการปรับปรุงโรงพยาบาลให้เหมาะสมสำหรับคนไข้และผู้ร่วมงาน   ในขณะที่เธอพักอาศัยอย่างยากจน  ซิสเตอร์มารีพบห้องเรียนสองสามห้องและห้องเย็บผ้าในอาคารที่อยู่ติดกับโรงพยาบาล  เธอจึงใช้เป็นที่สำหรับสอนหนังสือแก่เด็กหญิงในบริเวณนั้น

ในระหว่างนั้น  เธอได้อ่านหนังสือของบุญราศีอันนา  คัทรีน  เอมเมอริก (ผู้ได้รับญาณนิมิตและรอยแผลศักดิ์สิทธิ์ชาวเยอรมัน)  ซึ่งเขียนเกี่ยวกับพระชนม์ชีพของพระนางพรหมจารีย์มารีย์และนักบุญยอห์นขณะที่อยู่ที่เอเฟซัส  นี่เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เธอค้นหาบ้านของแม่พระ  ซิสเตอร์มารีได้อยู่ที่ Smyrna  ดูแลเอาใจใส่ชาวมุสลิมและคริสตชนจนกระทั่งเสียชีวิต

ซิสเตอร์มารีได้แนะนำเพื่อนพระสงฆ์สององค์ให้อ่านหนังสือของบุญราศีอันนา  และเมื่อพระสงฆ์ทั้งสองท่านได้อ่านเรื่องเกี่ยวกับบ้านของแม่พระ  จึงแน่ใจว่าบ้านต้องมีอยู่จริงและอยู่ไม่ห่างไกลจากที่พวกท่านอาศัยอยู่มากนัก

การออกค้นหาครั้งแรกกระทำขึ้นในเดือนกรกฏาคม 1891  กลุ่มผู้ค้นหาใช้หนังสือของบุญราศีอันนา( ซึ่งเขียนขึ้นจากการไขแสดงของพระเจ้าเป็นการส่วนตัว) เป็นเหมือนแผนที่  ในวันที่ 20 ก.ค.  บุคคลสามท่านเดินทางด้วยลา  คนหนึ่งเป็นคาทอลิก  อีกคนเป็นกรีกออร์โธดอกซ์  และอีกคนเป็นมุสลิม   ก็ได้พบบ้านของแม่พระ

ภายใต้การแนะนำของซิสเตอร์มารี  นักโบราณคดีได้ทำการวินิจฉัย ซากของบ้านซึ่งสร้างในศตวรรษที่ 1โดยมีโบสถ์ที่สร้างในศตวรรษที่ 4 คลุมไว้

ในวันที่ 21 ตุลาคม 1891  ซิสเตอร์มารีได้รับอนุญาตให้ซื้อบ้านและที่ดินนั้นไว้ในชื่อของเธอเอง  ซิสเตอร์บูรณะบ้านเพื่อทำให้เป็นที่แสวงบุญ

ซิสเตอร์มารีได้ขอเงินจากบิดาเพื่อนำมาซื้อบ้าน  และไม่ใช่เพียงบ้านเท่านั้นแต่ซื้อภูเขาทั้งลูกที่บ้านนี้ตั้งอยู่ด้วย  บ้านและที่ดินถูกซื้อเมื่อวันที่ 5 พฤศจิกายน 1892  ในระหว่างที่บูรณะบ้าน  ได้ค้นพบก้อนอิฐสามก้อนจากเตาที่ถูกทำขึ้นมาโดยนักบุญยอห์นอัครสาวก  อิฐหัวมุมนี้ถูกส่งไปที่โบสถ์น้อยของครอบครัว  de Mandat-Grancey ที่อยู่ในฝรั่งเศส  เพื่อเป็นการยืนยันถึงความศักดิ์สิทธิ์  การทำงาน ความศรัทธาต่อพระเจ้าและต่อแม่พระของซิสเตอร์มารี

ชีวิตของซิสเตอร์มารีเป็นชีวิตที่อุทิศตน  ประกอบกิจคุณธรรม  ความนบนอบเชื่อฟัง และความเมตตากรุณา  การเสนอชื่อเพื่อพิจารณาในการสถาปนาเธอเป็นนักบุญตามกระบวนการ เริ่มต้นขึ้นเมื่อ 21 ม.ค. 2011 ในสังฆมณฑล St. Joseph-Kansas City, Mo  การเปิดกระบวนการนี้ทำขึ้นที่รัฐมิสซูรี  ที่เป็นเช่นนี้เป็นเพราะชุมนุมชนนี้มีความศรัทธาต่อแม่พระแห่งเอเฟซัส  กรรมการสมาชิกของสมาคมอเมริกันแห่งเอเฟซัส  ซึ่งเป็นผู้สนับสนุนเงินทุนสำหรับบ้านของแม่พระในเอเฟซัส อยู่ที่เมืองแคนซัสซิตี้นี้  และที่นี่ก็มีนักบวชหญิงคณะเบเนดิกตินที่มีความศรัทธาในแม่พระแห่งเอเฟซัสด้วย

การที่จะให้ทางสังฆมณฑล Smyrna เป็นผู้ดำเนินงานในกระบวนการทั้งหมดนี้เป็นไปไม่ได้  เพราะมีผู้ทำงานน้อยเกินไป  และมีเงินทุนสนับสนุนน้อยด้วย  ดังนั้นเมืองแคนซัสซิตี้จึงถูกขอร้องให้เป็นผู้ดำเนินงานนี้แทน  ในวันที่ 13 กันยายน 2014 ซึ่งเป็นวันเกิดของซิสเตอร์มารี  ได้มีพิธีมิสซาที่อาสนวิหาร Immaculate Conception Cathedral  ในเมืองแคนซัสซิตี้เพื่อปิดผนึกเอกสารทั้งหมดที่จะส่งไปยังสมณกระทรวงพิจารณาการเป็นนักบุญที่กรุงโรมสำหรับการสถาปนาเป็นนักบุญของซิสเตอร์มารี

การค้นพบบ้านแม่พระของซิสเตอร์มารีเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งสำหรับผู้มีความเชื่อ  พระสันตปาปาเลโอที่ 13 ทรงสนับสนุนให้ทุกคนไปยังสถานที่นี้และทรงประกาศให้เป็นที่แสวงบุญ  วันที่ 18 สิงหาคม 1967 นักบุญพระสันตะปาปายอห์นที่ 23 ทรงอนุมัติพระหรรษทานพิเศษสำหรับผู้ที่ไปแสวงบุญที่บ้านแม่พระและสามารถรับได้ตลอดเวลา
 
ทุกวันนี้  บ้านของแม่พระที่เอเฟซัสเป็นหนึ่งในอาสนวิหารที่ศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในคริสตศาสนา  พระสันตะปาปาเปาโลที่ 6   พระสันตะปาปายอห์นปอลที่ 2 และพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ได้เสด็จไปที่บ้านแม่พระแห่งเอเฟซัส  และมีประชาชนมากกว่า 1 ล้านคนไปแสวงบุญในแต่ละปี


กระบวนการพิจารณากรณีของซิสเตอร์มารี ผู้ค้นพบบ้านของแม่พระที่เอเฟซัส เริ่มต้นขึ้นที่เมืองแคนซัสซิตี้



จากหนังสือของ อันนา คัทรีน เอมเมอริค

The Life of the Blessed Virgin Mary From the Visions of  Bl. Anne Catherine Emmerich (pg 351-352)

“ข้างหลังบ้าน  ที่เนินเขาไม่ห่างจากบ้านมากนัก  พระนางพรหมจารีย์ได้ทำเป็นมรรคาแห่งกางเขน  เวลาที่พระนางอาศัยอยู่ที่กรุงเยรูซาเล็ม  พระนางทรงระลึกถึงพระมหาทรมานและการสิ้นพระชนม์ของพระคริสต์อยู่เสมอ  และทรงระลึกถึงพระองค์ขณะเดินไปสู่เขากาวารีโอด้วยการกรรแสงอย่างเจ็บปวดพระทัย  พระนางทรงเดินไปพร้อมทั้งวัดระยะทางทั้งหมดระหว่างแต่ละสถานที่พระองค์ทรงแบกกางเขน  ความรักในองค์พระบุตรของพระนางทำให้พระนางมิอาจมีชีวิตอยู่ได้โดยปราศจากการเพ่งพิจารณาความทุกข์ทรมานของพระองค์อยู่เสมอ  ในไม่ช้าหลังจากที่พระนางมาอยู่ที่บ้านแห่งใหม่ (ในเอเฟซัส)  ฉันเห็นพระนางทรงดำเนินขึ้นไปบนเนินเขาที่อยู่หลังบ้านทุกวันเพื่อทรงกระทำกิจศรัทธานี้  ในตอนแรกพระนางทรงไปเพียงลำพัง  ทรงวัดระยะที่ทรงย่างก้าว  และทรงแบ่งระยะเพื่อกำหนดสถานที่แต่ละจุดที่พระเยซูเจ้าทรงรับความทรมานในแต่ละอย่าง  ในแต่ละสถานที่ พระนางทรงวางก้อนหินไว้  หรือถ้าหากที่นั้นมีต้นไม้  พระนางก็ทรงทำเครื่องหมายที่ต้นไม้แทน  เส้นทางนั้นนำไปสู่ป่า  และบนเนินเขาแห่งนี้พระนางทำให้เป็นดังกาวารีโอ  และทำให้เป็นถ้ำฝังพระศพของพระคริสต์ซึ่งอยู่ที่เนินเขาอีกแห่งหนึ่ง  หลังจากที่พระนางทรงทำเครื่องหมายตามเส้นทางกางเขนแล้วซึ่งมีทั้งหมด 12 สถานที่  พระนางจะไปที่นั่นพร้อมกับหญิงรับใช้ของพระนางเพื่อเพ่งรำพึงอย่างเงียบๆ  ในแต่ละสถานที่  พระนางทรงนั่งลงและเพ่งรำพึงถึงพระมหาทรมานด้วยหัวใจ  ทรงสรรเสริญความรักของพระเยซูเจ้าด้วยน้ำพระเนตรแห่งความทุกข์ระทม  หลังจากนั้นพระนางจะทรงจัดสถานที่ให้ดูดีขึ้น  ฉันเห็นพระนางทรงจารึกบอกความหมายของแต่ละสถานที่ลงบนก้อนหิน  มีตัวเลขกำกับและคำอธิบาย  ฉันยังเห็นด้วยว่า  พระนางทรงทำความสะอาดถ้ำแห่งการฝังพระศพของพระคริสต์  และทำเป็นสถานที่สำหรับสวดภาวนา  ในตอนนั้นฉันไม่เห็นว่ามีไม้กางเขนปักอยู่หรือรูปภาพของแต่ละสถานที่  มีแต่เพียงที่เรียบๆและก้อนหินที่มีคำจารึกสลักบนก้อนหินเท่านั้น  แต่หลังจากนั้น  เมื่อมีการมาที่นี่บ่อยๆและมีความเอาใจใส่มากขึ้น  สถานที่เหล่านั้นก็มีความสวยงามมากขึ้นและง่ายต่อการไป  หลังจากที่พระนางพรหมจารีย์เสด็จสู่สวรรค์แล้ว  ฉันเห็นคริสตชนหลายคนมาที่นี่  พวกเขาหมอบกราบลงกับพื้นและจูบพื้นดิน”

ทุกวันนี้ยังมีหลักฐานทางประวัติศาสตร์ของสถานที่แต่ละแห่งบนทางแห่งกางเขน  แต่น่าเสียดายที่พระธาตุอันมีค่าถูกนำไปแสดงในพิพิทธภัณฑ์ในตุรกีเสียแล้ว  แต่อย่างไรก็ตาม  เราก็ยังคงได้เห็นพระธาตุเหล่านี้  และนี่เป็นรูปภาพ




        รูปภาพที่จารึกด้วยพระหัตถ์ของแม่พระเองอยู่บนก้อนหิน  ทรงจารึกด้วยน้ำพระเนตรและพระหัตถ์ของพระนาง...พระหัตถ์นี้เคยเลี้ยงดูและอุ้มพระกุมาร  บัดนี้ลายพระหัตถ์ถูกจารึกบนก้อนหินเพื่อบอกเล่าถึงพระมหาทรมานและการสิ้นพระชนม์ของพระคริสตเจ้า

            รูปภาพของซิสเตอร์มารีกำลังคุกเข่าสวดภาวนา  ที่สถานที่หนึ่งบนมรรคาแห่งกางเขน  พระเป็นเจ้าทรงประทานพระหรรษทานแก่ซิสเตอร์ให้ค้นพบบ้านของแม่พระและมรรคาแห่งกางเขนนี้  เพื่อบรรดาลูกๆของพระนางพรหมจารีย์จะได้แสดงกิจศรัทธาและปลอบประโลมพระทัยในความทุกข์โศกในดวงพระทัยของพระนาง

ทุกวันนี้ที่บ้านของแม่พระในเอเฟซัส  มีรูปภาพ Our Lady of Tears  (แม่พระมหาทุกข์) ให้เราสวดภาวนาต่อแม่พระมหาทุกข์ด้วย

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น