ประกาศกเศคาริยาห์ในพระคัมภีร์ได้ทำนายไว้ดังนี้
“เราจะหลั่งพระพรและพระเมตตาของเราลงมายังราชวงศ์ดาวิดและผู้ที่อาศัยอยู่ในเยรูซาเล็ม ดังนั้นเมื่อพวกเขามองดูเรา
ผู้ที่เขาได้แทง พวกเขาจะไว้ทุกข์และร่ำไห้เพื่อผู้ที่เขาแทง เหมือนผู้ที่ไว้ทุกข์ร่ำไห้ด้วยความระทมขมขื่นเพื่อบุตรคนเดียวของเขา เหมือนคนที่ร้องไห้เพื่อบุตรหัวปีของตน ในวันนั้นการไว้ทุกข์ร่ำไห้ในเยรูซาเล็มจะใหญ่โตเท่ากับการไว้ทุกข์ร่ำไห้เพื่อ
ฮาดัด-ริมมอน ณ.ที่ราบเมกิดโด
แผ่นดินจะร้องไห้คร่ำครวญ
แต่ละครอบครัวจะทำเช่นนี้...”(เซการียาห์ 12: 10)
พระเยซูเจ้าตรัสแก่น.
โฟสตินาว่า
“ก่อนที่เราจะมาในฐานะผู้พิพากษา เราจะมาในฐานะกษัตริย์แห่งพระเมตตา ก่อนที่วันแห่งการพิพากษาจะมาถึง เราประทานเครื่องหมายในท้องฟ้านี้แก่ทุกคน แสงสว่างทุกชนิดบนท้องฟ้าจะดับมืดลง ความมืดมิดจะปกคลุมไปทั่วโลก แล้วจะเห็นเครื่องหมายกางเขนในท้องฟ้า
จากรอยบาดแผลที่มือและเท้าของพระผู้ไถ่ที่ถูกตอกตะปู จะมีแสงส่องลงมายังโลกเป็นระยะเวลาหนึ่ง
นี่จะเกิดขึ้นเป็นเวลาสั้นๆก่อนที่จะถึงวันสุดท้าย”
น.โทมัส
เคมปส์
กล่าวไว้ในหนังสือจำลองแบบพระคริสต์ว่า
“เครื่องหมายกางเขนนี้จะปรากฏขึ้นในท้องฟ้าเมื่อพระเยซูเจ้าจะเสด็จมาพิพากษา
แล้วนั้นผู้รับใช้แห่งไม้กางเขนทุกคนผู้ที่ดำรงชีวิตอย่างดีในการยอมถูกตรึงกางเขน จะมั่นใจว่า เขาจะได้อยู่ใกล้พระคริสตเจ้า องค์พระผู้พิพากษา” (St. Thomas a
Kempis, Imitation of Christ, Book 2 Chapter 12)
น.โทมัส อไควนัสได้เขียนไว้ว่า
“เครื่องหมายของบุตรแห่งมนุษย์จะปรากฏขึ้นในวันพิพากษาไม่ใช่เพื่อแสดงถึงความอ่อนแอของปัจจุบันแต่แสดงถึงความอ่อนแอของอดีต เป็นการกล่าวโทษต่อผู้ที่ดูหมิ่นเหยียดหยามพระเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระเป็นเจ้า และกล่าวโทษเป็นการเฉพาะต่อผู้ที่เบียดเบียนพระคริสตเจ้าอย่างอยุติธรรม
รอยบาดแผลจะปรากฏบนพระกายของพระองค์ด้วยซึ่งมิได้มาจากความอ่อนแอ แต่จะเป็นสิ่งแสดงถึงพระอานุภาพอันไม่มีที่สิ้นสุดของพระเยซูเจ้าเมื่อพระองค์ทรงมีชัยชนะต่อศัตรูของพระองค์โดยอาศัยพระมหาทรมานและความอ่อนกำลังของพระองค์ พระองค์จะทรงแสดงให้มนุษย์เห็นการสิ้นพระชนม์อย่างน่าสมเพชของพระองค์ด้วย มิใช่เพื่อให้เกิดความสงสาร แต่โดยอาศัยพระมหาทรมานในอดีตของพระองค์ พระองค์จะได้เตือนมนุษย์ให้ระลึกถึงการสิ้นพระชนม์ในอดีตของพระองค์”(St. Thomas Aquinas, Summa Theologica, Question 90, Article 2, Reply to objection 2)
เครื่องหมายของบุตรแห่งมนุษย์ที่ปรากฏเป็นรูปกางเขนแห่งแสงสว่างในค่ำคืนเหนือเยรูซาเล็ม นำเราไปสู่พระศาสนจักรยุคแรกและเราสามารถพบได้ในหนังสือ
ดีดาเค Didache อันเป็นหนังสือนอกพระคัมภีร์เล่มแรกของพระศาสนจักร
“ในวาระสุดท้าย ประกาศกเท็จเทียมและผู้ทุจริตจะเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมากมาย และแกะจะกลายเป็นหมาป่า ความรักจะกลายเป็นความเกลียด เพราะเมื่อความไร้กฎเกณฑ์มีมากขึ้น
พวกเขาก็จะเกลียดชังกันและเบียดเบียนข่มเหงและทรยศกัน
แล้วนั้นผู้หลอกลวงชาวโลกก็จะปรากฏตัวขึ้นในฐานะบุตรของพระเจ้า และมันจะทำเครื่องหมายและสิ่งประหลาดต่างๆ โลกจะตกอยู่ในมือของมัน มันจะทำการอสัตย์อธรรมต่างๆซึ่งยังไม่เคยเกิดขึ้นมาเลยในอดีตตั้งแต่จุดเริ่มต้น แล้วนั้นมนุษย์จะถูกเผาในไฟแห่งการทดสอบ หลายคนจะสะดุดล้มและพินาศ แต่ผู้ที่ดำรงอยู่ในความเชื่อด้วยความอดทนจะรอดพ้นจากคำสาปแช่ง และแล้วเครื่องหมายแห่งความจริงจะปรากฏขึ้น เครื่องหมายแห่งการแพร่กระจายในสวรรค์ และเครื่องหมายของเสียงเป่าแตร แล้วในวาระที่สาม คนที่ตายไปแล้วจะฟื้นคืนชีพขึ้นมา แต่นั่นยังไม่ใช่ทั้งหมด ดังที่มีกล่าวไว้ว่า พระเป็นเจ้าจะเสด็จมาและนักบุญทั้งหลายจะอยู่กับพระองค์
แล้วมนุษย์ทั้งหลายบนโลกจะได้เห็นพระเยซูเจ้าเสด็จมาเหนือก้อนเมฆบนท้องฟ้า”
(ดีดาเค. 16:6-17)
ปิตาจารย์ของพระศาสนจักรได้สอนว่า
เครื่องหมายของบุตรแห่งมนุษย์จะปรากฏขึ้นก่อนการเสด็จมาครั้งที่สองของพระเยซูเจ้า เช่นเดียวกับการที่กองทัพทหารจะยกทัพล่วงหน้าขึ้นไปก่อนที่ทัพใหญ่ของกษัตริย์จะไปถึงสนามรบ ข้อเขียนของ น.ซีริล แห่งเยรูซาเล็ม ซึ่งเป็นนักปราชญ์ของพระศาสนจักรได้ให้รายละเอียดในเรื่องนี้
“สิ่งนี้ (กางเขน)
จะปรากฏขึ้นพร้อมกับพระเยซูเจ้าจากสวรรค์
เพราะรางวัลแห่งชัยชนะจะนำหน้ากษัตริย์
เพื่อผู้ที่แทงพระองค์จะได้เห็นผู้ที่เขาแทง (เศคารียาห์ 12:10) และเขาจะรับรู้ว่าพวกเขาได้ตรึงกางเขนพระองค์ผู้ที่เขาได้ทรยศ ชาวยิวจะกลับใจและร้องไห้คร่ำครวญ (แต่จะเป็นทีละเผ่า
เพราะพวกเขาจะกลับใจเมื่อพวกเขาไม่มีเวลาที่จะกลับใจ) และเพื่อที่พวกเราจะได้รับสง่าราศี และความปลื้มปิติยินดีในกางเขน
เราจะได้นมัสการพระองค์ผู้ทรงถูกส่งมาและถูกตรึงกางเขนเพื่อพวกเรา และเราจะนมัสการพระบิดาเจ้าผู้ทรงส่งพระองค์มา
พร้อมกับพระจิตเจ้า
พระเป็นเจ้าผู้ทรงพระเกียรติรุ่งโรจน์ตลอดนิรันดร อาแมน”
บางทีเราอาจประหลาดใจที่รู้ว่า น.ซีริลได้รู้เห็นเป็นพยานในปรากฏการณ์นี้ด้วยตัวของท่านเองเมื่อศตวรรษที่
4 ปรากฏการณ์ซึ่งกล่าวได้แต่เพียงว่าเกี่ยวข้องกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต จากจดหมายของน.ซีริล แห่งเยรูซาเล็ม ถึง
คอนสแตนติอุส บรรยายไว้ว่า
“ในวันที่ 7 พฤษภาคม ประมาณโมงที่สาม (หรือเก้าโมงเช้า) ร่างอันสว่างรุ่งเรืองขนาดใหญ่ในรูปของกางเขน ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าอยู่เหนือกอลโกธาอันศักดิ์สิทธิ์ เห็นได้ไกลไปถึงภูเขาโอลิเวต (ภูเขามะกอก นั่นเป็นระยะทางเกือบสองไมล์) ไม่ได้เห็นเพียงแค่สองคน แต่คนทั้งเมืองได้เห็นกันทุกคน นี่ไม่ใช่ปรากฏการณ์เพียงชั่วครู่ชั่วยาม
เพราะมันปรากฏอยู่เป็นเวลานานหลายชั่วโมงต่อสายตาของพวกเรา และสว่างไสวยิ่งกว่าดวงอาทิตย์ แสงสว่างซึ่งสามารถบดบังดวงอาทิตย์ได้ ทำให้ทั้งเมืองสว่างจ้า ก่อให้เกิดความยำเกรงและรู้สึกปิติยินดียิ่ง ประชาชนชายหญิง เด็กและคนชรา ต่างวิ่งเข้าไปในโบสถ์ ทั้งคริสตชนและคนต่างศาสนา ประชาชนและคนต่างชาติ ทั้งหมดต่างร้องเป็นเสียงเดียวกันสรรเสริญพระเยซูเจ้าพระเจ้าของเรา องค์พระบุตรหนึ่งเดียวของพระเป็นเจ้า พระผู้ทรงทำอัศจรรย์ การได้รับประสบการณ์แห่งความจริงในคำสั่งสอนของคริสต์ศาสนาซึ่งสวรรค์ได้เป็นพยานยืนยันให้แล้ว”
พระคัมภีร์บอกเราว่า
เครื่องหมายของบุตรแห่งมนุษย์จะเกิดขึ้นก่อนแผ่นดินไหวในเยรูซาเล็ม
เพื่อเป็นการเตือนมนุษยชาติถึงการลงทัณฑ์ครั้งสำคัญครั้งสุดท้ายในปัสกาของพระศาสนจักร ในช่วงเวลาแห่งการเบียดเบียนของแอนตี้ไครส์
เครื่องหมายของบุตรแห่งมนุษย์เป็นเครื่องหมายเดียวกับเครื่องหมายที่ปรากฏในสวรรค์ตามวิวรณ์
12
และเช่นเดียวกับดวงดาวแห่งเบ็ทเลเฮมที่ปรากฏในการเสด็จมาครั้งแรกของพระคริสต์ เครื่องหมายกางเขนแห่งแสงสว่างจะปรากฏขึ้นในการเสด็จมาครั้งที่สองของพระองค์เช่นเดียวกัน
“มีเครื่องหมายยิ่งใหญ่ปรากฏขึ้นในสวรรค์ สตรีผู้หนึ่งมีดวงอาทิตย์เป็นอาภรณ์ มีดวงจันทร์อยู่ใต้เท้า มีมงกุฎดาวสิบสองดวงประดับศีรษะ นางกำลังตั้งครรภ์และร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดเพราะกำลังคลอดบุตร”
(วิวรณ์ 12 : 1-2)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น