วันพุธที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2559

เครื่องหมายของบุตรแห่งมนุษย์


 
ประกาศกเศคาริยาห์ในพระคัมภีร์ได้ทำนายไว้ดังนี้

            “เราจะหลั่งพระพรและพระเมตตาของเราลงมายังราชวงศ์ดาวิดและผู้ที่อาศัยอยู่ในเยรูซาเล็ม  ดังนั้นเมื่อพวกเขามองดูเรา ผู้ที่เขาได้แทง  พวกเขาจะไว้ทุกข์และร่ำไห้เพื่อผู้ที่เขาแทง  เหมือนผู้ที่ไว้ทุกข์ร่ำไห้ด้วยความระทมขมขื่นเพื่อบุตรคนเดียวของเขา  เหมือนคนที่ร้องไห้เพื่อบุตรหัวปีของตน  ในวันนั้นการไว้ทุกข์ร่ำไห้ในเยรูซาเล็มจะใหญ่โตเท่ากับการไว้ทุกข์ร่ำไห้เพื่อ ฮาดัด-ริมมอน ณ.ที่ราบเมกิดโด  แผ่นดินจะร้องไห้คร่ำครวญ  แต่ละครอบครัวจะทำเช่นนี้...”(เซการียาห์ 12: 10)

พระเยซูเจ้าตรัสแก่น. โฟสตินาว่า

            “ก่อนที่เราจะมาในฐานะผู้พิพากษา  เราจะมาในฐานะกษัตริย์แห่งพระเมตตา  ก่อนที่วันแห่งการพิพากษาจะมาถึง  เราประทานเครื่องหมายในท้องฟ้านี้แก่ทุกคน  แสงสว่างทุกชนิดบนท้องฟ้าจะดับมืดลง  ความมืดมิดจะปกคลุมไปทั่วโลก  แล้วจะเห็นเครื่องหมายกางเขนในท้องฟ้า  จากรอยบาดแผลที่มือและเท้าของพระผู้ไถ่ที่ถูกตอกตะปู  จะมีแสงส่องลงมายังโลกเป็นระยะเวลาหนึ่ง  นี่จะเกิดขึ้นเป็นเวลาสั้นๆก่อนที่จะถึงวันสุดท้าย”

น.โทมัส เคมปส์ กล่าวไว้ในหนังสือจำลองแบบพระคริสต์ว่า

“เครื่องหมายกางเขนนี้จะปรากฏขึ้นในท้องฟ้าเมื่อพระเยซูเจ้าจะเสด็จมาพิพากษา  แล้วนั้นผู้รับใช้แห่งไม้กางเขนทุกคนผู้ที่ดำรงชีวิตอย่างดีในการยอมถูกตรึงกางเขน  จะมั่นใจว่า  เขาจะได้อยู่ใกล้พระคริสตเจ้า  องค์พระผู้พิพากษา” (St. Thomas a Kempis, Imitation of Christ, Book 2 Chapter 12)

น.โทมัส  อไควนัสได้เขียนไว้ว่า

“เครื่องหมายของบุตรแห่งมนุษย์จะปรากฏขึ้นในวันพิพากษาไม่ใช่เพื่อแสดงถึงความอ่อนแอของปัจจุบันแต่แสดงถึงความอ่อนแอของอดีต  เป็นการกล่าวโทษต่อผู้ที่ดูหมิ่นเหยียดหยามพระเมตตาอันยิ่งใหญ่ของพระเป็นเจ้า  และกล่าวโทษเป็นการเฉพาะต่อผู้ที่เบียดเบียนพระคริสตเจ้าอย่างอยุติธรรม  รอยบาดแผลจะปรากฏบนพระกายของพระองค์ด้วยซึ่งมิได้มาจากความอ่อนแอ  แต่จะเป็นสิ่งแสดงถึงพระอานุภาพอันไม่มีที่สิ้นสุดของพระเยซูเจ้าเมื่อพระองค์ทรงมีชัยชนะต่อศัตรูของพระองค์โดยอาศัยพระมหาทรมานและความอ่อนกำลังของพระองค์  พระองค์จะทรงแสดงให้มนุษย์เห็นการสิ้นพระชนม์อย่างน่าสมเพชของพระองค์ด้วย  มิใช่เพื่อให้เกิดความสงสาร  แต่โดยอาศัยพระมหาทรมานในอดีตของพระองค์  พระองค์จะได้เตือนมนุษย์ให้ระลึกถึงการสิ้นพระชนม์ในอดีตของพระองค์”(St. Thomas Aquinas, Summa Theologica, Question 90, Article 2, Reply to objection 2)

เครื่องหมายของบุตรแห่งมนุษย์ที่ปรากฏเป็นรูปกางเขนแห่งแสงสว่างในค่ำคืนเหนือเยรูซาเล็ม  นำเราไปสู่พระศาสนจักรยุคแรกและเราสามารถพบได้ในหนังสือ ดีดาเค Didache อันเป็นหนังสือนอกพระคัมภีร์เล่มแรกของพระศาสนจักร

“ในวาระสุดท้าย ประกาศกเท็จเทียมและผู้ทุจริตจะเพิ่มจำนวนขึ้นอย่างมากมาย  และแกะจะกลายเป็นหมาป่า  ความรักจะกลายเป็นความเกลียด  เพราะเมื่อความไร้กฎเกณฑ์มีมากขึ้น  พวกเขาก็จะเกลียดชังกันและเบียดเบียนข่มเหงและทรยศกัน  แล้วนั้นผู้หลอกลวงชาวโลกก็จะปรากฏตัวขึ้นในฐานะบุตรของพระเจ้า  และมันจะทำเครื่องหมายและสิ่งประหลาดต่างๆ  โลกจะตกอยู่ในมือของมัน  มันจะทำการอสัตย์อธรรมต่างๆซึ่งยังไม่เคยเกิดขึ้นมาเลยในอดีตตั้งแต่จุดเริ่มต้น  แล้วนั้นมนุษย์จะถูกเผาในไฟแห่งการทดสอบ  หลายคนจะสะดุดล้มและพินาศ  แต่ผู้ที่ดำรงอยู่ในความเชื่อด้วยความอดทนจะรอดพ้นจากคำสาปแช่ง  และแล้วเครื่องหมายแห่งความจริงจะปรากฏขึ้น  เครื่องหมายแห่งการแพร่กระจายในสวรรค์  และเครื่องหมายของเสียงเป่าแตร  แล้วในวาระที่สาม  คนที่ตายไปแล้วจะฟื้นคืนชีพขึ้นมา  แต่นั่นยังไม่ใช่ทั้งหมด  ดังที่มีกล่าวไว้ว่า  พระเป็นเจ้าจะเสด็จมาและนักบุญทั้งหลายจะอยู่กับพระองค์  แล้วมนุษย์ทั้งหลายบนโลกจะได้เห็นพระเยซูเจ้าเสด็จมาเหนือก้อนเมฆบนท้องฟ้า” (ดีดาเค. 16:6-17)

ปิตาจารย์ของพระศาสนจักรได้สอนว่า เครื่องหมายของบุตรแห่งมนุษย์จะปรากฏขึ้นก่อนการเสด็จมาครั้งที่สองของพระเยซูเจ้า  เช่นเดียวกับการที่กองทัพทหารจะยกทัพล่วงหน้าขึ้นไปก่อนที่ทัพใหญ่ของกษัตริย์จะไปถึงสนามรบ  ข้อเขียนของ น.ซีริล แห่งเยรูซาเล็ม ซึ่งเป็นนักปราชญ์ของพระศาสนจักรได้ให้รายละเอียดในเรื่องนี้

“สิ่งนี้ (กางเขน) จะปรากฏขึ้นพร้อมกับพระเยซูเจ้าจากสวรรค์  เพราะรางวัลแห่งชัยชนะจะนำหน้ากษัตริย์  เพื่อผู้ที่แทงพระองค์จะได้เห็นผู้ที่เขาแทง  (เศคารียาห์ 12:10)  และเขาจะรับรู้ว่าพวกเขาได้ตรึงกางเขนพระองค์ผู้ที่เขาได้ทรยศ  ชาวยิวจะกลับใจและร้องไห้คร่ำครวญ (แต่จะเป็นทีละเผ่า  เพราะพวกเขาจะกลับใจเมื่อพวกเขาไม่มีเวลาที่จะกลับใจ)  และเพื่อที่พวกเราจะได้รับสง่าราศี  และความปลื้มปิติยินดีในกางเขน  เราจะได้นมัสการพระองค์ผู้ทรงถูกส่งมาและถูกตรึงกางเขนเพื่อพวกเรา  และเราจะนมัสการพระบิดาเจ้าผู้ทรงส่งพระองค์มา พร้อมกับพระจิตเจ้า  พระเป็นเจ้าผู้ทรงพระเกียรติรุ่งโรจน์ตลอดนิรันดร อาแมน”

บางทีเราอาจประหลาดใจที่รู้ว่า  น.ซีริลได้รู้เห็นเป็นพยานในปรากฏการณ์นี้ด้วยตัวของท่านเองเมื่อศตวรรษที่ 4   ปรากฏการณ์ซึ่งกล่าวได้แต่เพียงว่าเกี่ยวข้องกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต  จากจดหมายของน.ซีริล แห่งเยรูซาเล็ม ถึง คอนสแตนติอุส บรรยายไว้ว่า 

“ในวันที่ 7 พฤษภาคม  ประมาณโมงที่สาม (หรือเก้าโมงเช้า)  ร่างอันสว่างรุ่งเรืองขนาดใหญ่ในรูปของกางเขน  ปรากฏขึ้นบนท้องฟ้าอยู่เหนือกอลโกธาอันศักดิ์สิทธิ์  เห็นได้ไกลไปถึงภูเขาโอลิเวต (ภูเขามะกอก  นั่นเป็นระยะทางเกือบสองไมล์)  ไม่ได้เห็นเพียงแค่สองคน  แต่คนทั้งเมืองได้เห็นกันทุกคน  นี่ไม่ใช่ปรากฏการณ์เพียงชั่วครู่ชั่วยาม  เพราะมันปรากฏอยู่เป็นเวลานานหลายชั่วโมงต่อสายตาของพวกเรา  และสว่างไสวยิ่งกว่าดวงอาทิตย์  แสงสว่างซึ่งสามารถบดบังดวงอาทิตย์ได้   ทำให้ทั้งเมืองสว่างจ้า  ก่อให้เกิดความยำเกรงและรู้สึกปิติยินดียิ่ง  ประชาชนชายหญิง  เด็กและคนชรา ต่างวิ่งเข้าไปในโบสถ์  ทั้งคริสตชนและคนต่างศาสนา  ประชาชนและคนต่างชาติ  ทั้งหมดต่างร้องเป็นเสียงเดียวกันสรรเสริญพระเยซูเจ้าพระเจ้าของเรา  องค์พระบุตรหนึ่งเดียวของพระเป็นเจ้า  พระผู้ทรงทำอัศจรรย์  การได้รับประสบการณ์แห่งความจริงในคำสั่งสอนของคริสต์ศาสนาซึ่งสวรรค์ได้เป็นพยานยืนยันให้แล้ว”

พระคัมภีร์บอกเราว่า เครื่องหมายของบุตรแห่งมนุษย์จะเกิดขึ้นก่อนแผ่นดินไหวในเยรูซาเล็ม  เพื่อเป็นการเตือนมนุษยชาติถึงการลงทัณฑ์ครั้งสำคัญครั้งสุดท้ายในปัสกาของพระศาสนจักร  ในช่วงเวลาแห่งการเบียดเบียนของแอนตี้ไครส์  เครื่องหมายของบุตรแห่งมนุษย์เป็นเครื่องหมายเดียวกับเครื่องหมายที่ปรากฏในสวรรค์ตามวิวรณ์ 12  และเช่นเดียวกับดวงดาวแห่งเบ็ทเลเฮมที่ปรากฏในการเสด็จมาครั้งแรกของพระคริสต์  เครื่องหมายกางเขนแห่งแสงสว่างจะปรากฏขึ้นในการเสด็จมาครั้งที่สองของพระองค์เช่นเดียวกัน

“มีเครื่องหมายยิ่งใหญ่ปรากฏขึ้นในสวรรค์  สตรีผู้หนึ่งมีดวงอาทิตย์เป็นอาภรณ์  มีดวงจันทร์อยู่ใต้เท้า  มีมงกุฎดาวสิบสองดวงประดับศีรษะ  นางกำลังตั้งครรภ์และร้องโอดครวญด้วยความเจ็บปวดเพราะกำลังคลอดบุตร” (วิวรณ์ 12 : 1-2)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น