วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2559

ความฝันของคุณพ่อบอสโก

บทความต่อไปนี้นำมาจากหนังสือ  ความฝันและคำทำนายของนักบุญยอห์น  บอสโก  ความฝันนี้เกิดขึ้นในระหว่าง 24 พ.ค. – 24 มิ.ย. 1873  ภาพนิมิตของความฝันอ้างอิงกับบันทึกชีวประวัติเล่มที่สิบ

มันเป็นเวลากลางคืนที่มืดมิด  และไม่มีใครสามารถหาทางกลับบ้านและประเทศของตนได้  ทันใดนั้นก็มีแสงที่เจิดจ้าที่สุด (แสงนี้คือความเชื่อในพระเป็นเจ้าและพระฤทธานุภาพของพระองค์)  ส่องสว่างในท้องฟ้า  ทำให้พวกเขามองเห็นหนทางเหมือนเป็นเวลากลางวัน  ในเวลานั้นเองก็มีขบวนแถวของชายและหญิงจำนวนมากเดินออกมาจากวาติกัน มีทั้ง เยาวชน, นักบวชชายและหญิง  พระสงฆ์  และผู้นำขบวนคือพระสันตะปาปา (ดูเหมือนพวกเขากำลังหลบหนีจากการปราบปรามของราชวงศ์  พวกเขาพร้อมกับพระสันตะปาปาถูกเนรเทศออกจากเมือง)

แต่พายุร้ายแรงเริ่มก่อตัวขึ้น  ทำให้แสงสว่างที่ส่องอยู่มืดสลัวลง  ประหนึ่งว่าแสงสว่างและความมืดกำลังทำสงครามกัน (บางทีนี่อาจหมายถึงสงครามระหว่างความจริงและความเท็จ หรืออาจจะเป็นสงครามนองเลือดก็ได้)  ในขณะนั้นขบวนแถวที่ยาวนั้นก็มาถึงสี่แยกที่มีคนตายและคนเจ็บนอนเกลื่อนกลาด  หลายคนกำลังร้องขอความช่วยเหลือ

ขบวนแถวดูบางตาไปมาก  หลังจากเดินมาเป็นเวลานาน 200 วัน  ทุกคนตระหนักว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ในกรุงโรมแล้ว  พวกเขาเข้าไปรุมที่พระสันตปาปาเพื่อขอให้พระองค์ปกป้องคุ้มครองพวกเขาและขอให้พระองค์อภิบาลดูแลพวกเขาในสิ่งที่จำเป็นสำหรับพวกเขา

ในเวลานั้นเอง มีทูตสวรรค์สององค์ปรากฏขึ้น  ท่านนำธงผืนหนึ่งมามอบแก่พระสันตะปาปา  และทูลพระสันตะปาปาว่า “รับธงของพระนางผู้ทรงสู้รบกับศัตรูที่ทรงพลังมากที่สุดในโลกเถิด  ศัตรูของพระองค์จะสูญสลายไปด้วยน้ำตาและการถอนหายใจของบรรดาลูกของพระองค์ที่กำลังวิงวอนขอให้พระองค์กลับไป”  ด้านหนึ่งของผืนธงมีตัวอักษรจารึกไว้ว่า - Regina sine labe concepta (ราชินีผู้ทรงปฏิสนธินิรมลทิน)  และอีกด้านหนึ่งมีอักษรจารึกว่า - Auxilium Christianorum (องค์อุปถัมภ์ของคริสตชน)

พระสันตะปาปาทรงรับธงไว้ด้วยความยินดี แต่ก็ทรงเศร้าพระทัยที่เห็นว่าผู้ติดตามพระองค์มีจำนวนลดน้อยลงมาก

แต่ทูตสวรรค์สององค์พูดต่อไปว่า “จงไปเดี๋ยวนี้เถอะ  ไปปลอบโยนบรรดาลูกของพระองค์  จงเขียนไปถึงบรรดาพี่น้องที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วโลกว่า  มนุษย์ต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงชีวิตของตนเอง  สิ่งนี้จะสำเร็จไปไม่ได้ถ้าหากปราศจากปังขององค์พระวจนาตถ์ที่ถูกหักในท่ามกลางประชาชน  จงสอนคำสอนแก่ลูกๆของพระองค์และเทศน์สอนให้พวกเขาอย่ายึดติดกับสิ่งของของโลก  เวลาได้มาถึงแล้ว”  แล้วทูตสวรรค์สององค์กล่าวสรุปว่า “เมื่อคนยากจนจะเป็นผู้ประกาศพระวาจาของพระเจ้าแก่โลก  พระสงฆ์จะมาจากคนที่จับจอบ  เสียม และค้อน  ดังที่ดาวิดได้กล่าวทำนายไว้ว่า พระเจ้าจะทรงยกย่องคนยากจน ทรงนำพวกเขาออกมาจากทุ่งนาและให้เขานั่งบนบัลลังก์ปกครองประชาชน

เมื่อได้ยินเช่นนี้  พระสันตะปาปาทรงดำเนินต่อไป  และขบวนแถวก็เริ่มมีคนมากขึ้น  จนกระทั่งมาถึงนครศักดิ์สิทธิ์  พระสันตะปาปาทรงกรรแสงเมื่อเห็นเมืองที่อ้างว้าง  เพราะประชาชนหลายคนได้ตายไป  แล้วพระสันตะปาปาทรงเข้าไปในอาสนวิหารนักบุญเปโตร  ทรงขับร้องเพลง เต  เดอุม  เหล่าทูตสวรรค์ได้ประสานเสียงขับร้องตอบว่า - Gloria in excelsis Deo et in terra pax hominibus bonae voluntatis (พระสิริรุ่งโรจน์จงมีแด่พระเจ้าในที่สูงสุด  และสันติสุขจงมีแด่มนุษย์ผู้มีน้ำใจดีบนแผ่นดิน)  เมื่อเสียงเพลงจบลง  ความมืดก็หายไป  พระอาทิตย์ส่องแสงเจิดจรัส  จำนวนประชากรในเมืองและในประเทศข้างเคียงลดลงไปมาก  แผ่นดินยุ่งเหยิงราวกับถูกพายุเฮอริเคนที่ร้ายกาจพัดกระหน่ำ  ประชาชนต่างพากันตามหาคนที่ตนรู้จัก  พวกเขาสะเทือนใจมากและพูดว่า - Est Deus in Israel  (มีพระเจ้าในอิสราเอล)  ระยะเวลาตั้งแต่การถูกเนรเทศจนถึงการร้องเพลง เต เดอุม  มีพระอาทิตย์ขึ้น 200 ครั้ง  เหตุการณ์ทั้งหมดกินเวลา 400 วัน

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น