บทความต่อไปนี้นำมาจากหนังสือ ความฝันและคำทำนายของนักบุญยอห์น บอสโก
ความฝันนี้เกิดขึ้นในระหว่าง 24 พ.ค. – 24 มิ.ย. 1873 ภาพนิมิตของความฝันอ้างอิงกับบันทึกชีวประวัติเล่มที่สิบ
มันเป็นเวลากลางคืนที่มืดมิด
และไม่มีใครสามารถหาทางกลับบ้านและประเทศของตนได้ ทันใดนั้นก็มีแสงที่เจิดจ้าที่สุด (แสงนี้คือความเชื่อในพระเป็นเจ้าและพระฤทธานุภาพของพระองค์) ส่องสว่างในท้องฟ้า ทำให้พวกเขามองเห็นหนทางเหมือนเป็นเวลากลางวัน ในเวลานั้นเองก็มีขบวนแถวของชายและหญิงจำนวนมากเดินออกมาจากวาติกัน
มีทั้ง เยาวชน, นักบวชชายและหญิง พระสงฆ์ และผู้นำขบวนคือพระสันตะปาปา
(ดูเหมือนพวกเขากำลังหลบหนีจากการปราบปรามของราชวงศ์ พวกเขาพร้อมกับพระสันตะปาปาถูกเนรเทศออกจากเมือง)
แต่พายุร้ายแรงเริ่มก่อตัวขึ้น ทำให้แสงสว่างที่ส่องอยู่มืดสลัวลง ประหนึ่งว่าแสงสว่างและความมืดกำลังทำสงครามกัน
(บางทีนี่อาจหมายถึงสงครามระหว่างความจริงและความเท็จ
หรืออาจจะเป็นสงครามนองเลือดก็ได้)
ในขณะนั้นขบวนแถวที่ยาวนั้นก็มาถึงสี่แยกที่มีคนตายและคนเจ็บนอนเกลื่อนกลาด หลายคนกำลังร้องขอความช่วยเหลือ
ขบวนแถวดูบางตาไปมาก
หลังจากเดินมาเป็นเวลานาน 200 วัน
ทุกคนตระหนักว่าพวกเขาไม่ได้อยู่ในกรุงโรมแล้ว พวกเขาเข้าไปรุมที่พระสันตปาปาเพื่อขอให้พระองค์ปกป้องคุ้มครองพวกเขาและขอให้พระองค์อภิบาลดูแลพวกเขาในสิ่งที่จำเป็นสำหรับพวกเขา
ในเวลานั้นเอง มีทูตสวรรค์สององค์ปรากฏขึ้น ท่านนำธงผืนหนึ่งมามอบแก่พระสันตะปาปา และทูลพระสันตะปาปาว่า “รับธงของพระนางผู้ทรงสู้รบกับศัตรูที่ทรงพลังมากที่สุดในโลกเถิด ศัตรูของพระองค์จะสูญสลายไปด้วยน้ำตาและการถอนหายใจของบรรดาลูกของพระองค์ที่กำลังวิงวอนขอให้พระองค์กลับไป” ด้านหนึ่งของผืนธงมีตัวอักษรจารึกไว้ว่า - Regina
sine labe concepta (ราชินีผู้ทรงปฏิสนธินิรมลทิน)
และอีกด้านหนึ่งมีอักษรจารึกว่า - Auxilium
Christianorum (องค์อุปถัมภ์ของคริสตชน)
พระสันตะปาปาทรงรับธงไว้ด้วยความยินดี แต่ก็ทรงเศร้าพระทัยที่เห็นว่าผู้ติดตามพระองค์มีจำนวนลดน้อยลงมาก
แต่ทูตสวรรค์สององค์พูดต่อไปว่า “จงไปเดี๋ยวนี้เถอะ ไปปลอบโยนบรรดาลูกของพระองค์
จงเขียนไปถึงบรรดาพี่น้องที่กระจัดกระจายอยู่ทั่วโลกว่า มนุษย์ต้องปรับปรุงเปลี่ยนแปลงชีวิตของตนเอง สิ่งนี้จะสำเร็จไปไม่ได้ถ้าหากปราศจากปังขององค์พระวจนาตถ์ที่ถูกหักในท่ามกลางประชาชน จงสอนคำสอนแก่ลูกๆของพระองค์และเทศน์สอนให้พวกเขาอย่ายึดติดกับสิ่งของของโลก เวลาได้มาถึงแล้ว” แล้วทูตสวรรค์สององค์กล่าวสรุปว่า “เมื่อคนยากจนจะเป็นผู้ประกาศพระวาจาของพระเจ้าแก่โลก พระสงฆ์จะมาจากคนที่จับจอบ เสียม และค้อน
ดังที่ดาวิดได้กล่าวทำนายไว้ว่า ‘พระเจ้าจะทรงยกย่องคนยากจน ทรงนำพวกเขาออกมาจากทุ่งนาและให้เขานั่งบนบัลลังก์ปกครองประชาชน’”
เมื่อได้ยินเช่นนี้
พระสันตะปาปาทรงดำเนินต่อไป และขบวนแถวก็เริ่มมีคนมากขึ้น จนกระทั่งมาถึงนครศักดิ์สิทธิ์ พระสันตะปาปาทรงกรรแสงเมื่อเห็นเมืองที่อ้างว้าง
เพราะประชาชนหลายคนได้ตายไป แล้วพระสันตะปาปาทรงเข้าไปในอาสนวิหารนักบุญเปโตร
ทรงขับร้องเพลง เต เดอุม เหล่าทูตสวรรค์ได้ประสานเสียงขับร้องตอบว่า
- Gloria in excelsis Deo et in terra pax hominibus bonae
voluntatis (พระสิริรุ่งโรจน์จงมีแด่พระเจ้าในที่สูงสุด และสันติสุขจงมีแด่มนุษย์ผู้มีน้ำใจดีบนแผ่นดิน) เมื่อเสียงเพลงจบลง ความมืดก็หายไป พระอาทิตย์ส่องแสงเจิดจรัส จำนวนประชากรในเมืองและในประเทศข้างเคียงลดลงไปมาก แผ่นดินยุ่งเหยิงราวกับถูกพายุเฮอริเคนที่ร้ายกาจพัดกระหน่ำ ประชาชนต่างพากันตามหาคนที่ตนรู้จัก พวกเขาสะเทือนใจมากและพูดว่า - Est
Deus in Israel (มีพระเจ้าในอิสราเอล)
ระยะเวลาตั้งแต่การถูกเนรเทศจนถึงการร้องเพลง เต เดอุม มีพระอาทิตย์ขึ้น 200 ครั้ง เหตุการณ์ทั้งหมดกินเวลา 400 วัน
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น