วันศุกร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2559

ค้นพบตนเองในพระเป็นเจ้า


การรู้จักตัวเองและรู้ว่าตนเองถูกเรียกให้ทำภารกิจอะไร  เป็นสิ่งจำเป็นในการดำเนินชีวิตในหนทางของพระเป็นเจ้า  หากปราศจากการรู้จักกระแสเรียกของพระเป็นเจ้าและ หนทางที่พระองค์ประสงค์ให้เราเดินไป  เราก็จะไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรและจะต้องเดินไปทางไหน  การไม่รู้จักภารกิจของตนเองก็คือการไม่รู้จักตัวเอง  แต่ถ้าเราสามารถรู้ได้ว่าภารกิจของเราว่าคืออะไร  แม้สักเพียงบางส่วน   ก็จะทำให้เรามั่นใจว่า  ตัวเราเป็นใครและจะต้องทำภารกิจอะไร

การเรียกของประกาศกเยเรมีย์

จากบทอ่านใน เยเรมีย์ 1: 4-5, 17-19  ทำให้เรารู้ว่าเยเรมีย์ได้รู้ถึงกระแสเรียกของเขา

 “ก่อนที่เราจะก่อรูปร่างของเจ้าในครรภ์มารดา  เราก็รู้จักเจ้าแล้ว
ก่อนที่เจ้าจะเกิดมา  เราได้เลือกเจ้า
เราแต่งตั้งเจ้าให้เป็นผู้ประกาศพระวาจาของเราแก่นานาชาติ”  (ยม. 1:5)

แผนการของพระเป็นเจ้าสำหรับชีวิตของเยเรมีย์เริ่มต้นตั้งแต่ก่อนที่เขาจะถือกำเนิด  พระองค์ทรงแต่งตั้งเขาในความรอบรู้ของพระองค์  พระองค์ทรงรู้จักเขาก่อนที่จะเขามาอยู่ในโลก  เมื่อพระเป็นเจ้าตรัสว่า “เรารู้จักเจ้า”   พระองค์ตรัสในลักษณะที่ทรงรู้จักบุคคลนั้นเป็นอย่างดี  ทรงรู้จักนิสัยของบุคคลนั้น  สิ่งที่บุคคลนั้นชอบหรือไม่ชอบ  ทรงรู้จักตั้งแต่เขาเป็นทารกในครรภ์มารดา  ซึ่งขณะนั้น  บุคคลนั้นยังไม่มีบุคคลิกลักษณะให้เห็นได้อย่างชัดเจน  แต่พระเป็นเจ้าทรงรู้จักบุคลิกลักษณะได้อย่างลึกซึ้งในวิญญาณของบุคคลแต่ละคน  พระองค์ทรงรู้จักเยเรมีย์ด้วยวิธีที่พระเป็นเจ้าเท่านั้นทรงทำได้  ด้วยพระฤทธานุภาพอันไม่มีสิ้นสุดของพระเป็นเจ้าจึงทำให้พระองค์ทราบจิตใจของเยเรมีย์ว่าเขาจะทำอะไรหรือเขาต้องการเป็นอะไร  พระเป็นเจ้าจึงทรงเรียกเยเรมีย์  พระวาจาที่ทรงเรียกเยเรมีย์นั้นแบ่งเป็น สี่ข้อความ  คือ  เราได้ก่อรูปร่างของเจ้า  เรารู้จักเจ้า  เราเลือกเจ้า  และเราแต่งตั้งเจ้า  พระเป็นเจ้าทรงแต่งตั้งเยเรมีย์ให้เป็นประกาศกตั้งแต่ในวินาทีที่พระองค์ทรงเนรมิตสร้างเขา  ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะเกิด

ความถ่อมตน

ในเรื่องราวต่อมา  เยเรมีย์ได้พูดออกตัว  เหมือนที่โมเสสได้พูดคัดค้านการเรียกของพระเป็นเจ้า  เยเรมีย์ทูลพระเป็นเจ้าว่า “ข้าพเจ้าเป็นแต่เพียงเด็ก” (ยม. 1:6)  แต่นั่นเป็นเพียงข้อแก้ตัวไม่ใช่เหตุผล  พวกเราก็อาจเป็นแบบนี้เหมือนกัน  มันเป็นลักษณะของความถ่อมตนที่ไม่ถูกต้อง  เมื่อการถูกเรียกให้ทำเรื่องที่ใหญ่โต  เมื่อความรักผิดชอบดูจะเป็นภาระที่หนักเกินไป  เมื่อพวกเรามองดูที่ความอ่อนแอของเราเป็นอันดับแรก  เราก็ยกธงขาวยอมแพ้ตั้งแต่เริ่มแรกและหาข้ออ้าง  ทำให้ดูเหมือนว่าเรากำลังถ่อมตน  เมื่อเยเรมีย์ตอบปฏิเสธตั้งแต่แรก  พระเป็นเจ้าทรงไม่สนใจในข้อแก้ตัวของเขา “อย่าพูดว่า  ข้าพเจ้าเป็นเพียงเด็ก”  และ  “จงอย่ากลัวพวกเขา  เพราะเราจะอยู่กับเจ้าและคอยช่วยเหลือเจ้า” (ยม. 1:7)   พระเป็นเจ้าทรงเปิดเผยให้เยเรมีย์มั่นใจ  พระองค์ทรงทราบอยู่แล้วว่า  เยเรมีย์มีความสามารถที่จะทำได้และพร้อมแล้ว  เพียงแต่เขาหวาดกลัวเท่านั้น  แล้วพระเป็นเจ้าทรงประทานเครื่องหมายเป็นการยืนยันแก่เยเรมีย์  เมื่อพระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์มาสัมผัสปากของเขา- (ยม. 1:9)  และทรงสั่งให้เขายืนขึ้น  แต่งตัวเปลี่ยนเสื้อผ้า  ไปยังลานสาธารณะ  และเริ่มประกาศพระวาจาของพระเป็นเจ้า

ลักษณะส่วนตัวของประกาศก

            พระเป็นเจ้าทรงเรียกเยเรมีย์ให้ทำอะไร?  การให้เป็นประกาศกก็น่าจะเป็นเรื่องดีมิใช่หรือ?  การที่พระเป็นเจ้าแต่งตั้งเยเรมีย์ให้เป็นผู้นำสาส์นของพระองค์ก็นับว่ามีเกียรติมิใช่หรือ?  แต่พระเป็นเจ้าทรงเรียกเยเรมีย์ในสมัยที่สถานการณ์ของอาณาจักรยูดาเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์  ชนต่างชาติเข้ามายึดครองอาณาจักรยูดา  และจับกุมกษัตริย์ของยูดาเอาไว้  บ้านเมืองมีแต่ความยุ่งเหยิง  กระแสเรียกของเยเรมีย์คือการประกาศสาส์นแห่งการพิพากษาของพระเป็นเจ้าต่อประชากรที่ไม่ซื่อสัตย์ของพระองค์  จะไม่มีใครฟังเยเรมีย์  จะไม่มีใครนับถือเขา  เขาจะไม่ประสบความสำเร็จในทํศนะของโลก  เยเรมีย์จะต้องประกาศถึงบาปของประชาชน  การบูชาพระเท็จเทียมของพวกเขา  การหน้าไหว้หลังหลอกของพวกเขา  การที่พวกเขาเบียดเบียนข่มเหงคนยากจนและการมีใจดื้อดึงไม่ยอมนมัสการพระเจ้าเที่ยงแท้  งานของประกาศกไม่ใช่เรื่องง่ายเลย  เยเรมีย์จะถูกฟ้องร้อง  เขาจะถูกขังลืมในถ้ำและถูกทิ้งไว้ให้ตายหรือถูกลักพาตัวไปฆ่าทิ้ง  การยืนหยัดในกระแสเรียกของพระเป็นเจ้าท่ามกลางสถานการณ์ที่กดดันมากเช่นนี้จะต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างสูง  เยเรมีย์เป็นเหมือนหินผาที่อยู่ภายใต้แรงกดดัน  เขาไม่นำพาศัตรูและยังคงประกาศพระวาจาแห่งความจริงของพระเป็นเจ้า  โดยได้รับการต่อต้านจะประกาศกเท็จเทียม  จากสมณะที่ไม่ซื่อสัตย์  และได้รับการต่อต้านแม้แต่จากกษัตริย์เองด้วย  - เยเรมีย์ทำได้อย่างไร?

การสนับสนุนจากพระเป็นเจ้า

            ในสถานการณ์ที่เลวร้ายเช่นนี้  พระเป็นเจ้าทรงเข้ามาช่วยเหลือ  เยเรมีย์มีสิทธิที่จะกลัวในการทำภารกิจนี้  ถ้าหากเขาทำภารกิจนี้ด้วยตัวของเขาเองโดยปราศจากความช่วยเหลือจากพระเป็นเจ้า  แต่พระเป็นเจ้าทรงสัญญาแก่ประกาศกว่า  เขาจะได้รับการสนับสนุนช่วยเหลือจากสวรรค์

            “ดูเถิด  เราจะทำให้เจ้าเป็นเหมือนเมืองที่มีป้อมปราการ  เป็นเมืองที่มีเสาเหล็กและกำแพงเมืองทองสัมฤทธิ์  ซึ่งจะต่อสู้กับแผ่นดินทั้งหมด  ต่อสู้กับกษัตริย์แห่งยูดา  กับเจ้านายและสมณะและกับประชาชนของแผ่นดินนี้  พวกเขาจะต่อสู้กับเจ้า  แต่จะไม่ชนะเจ้า  เพราะเราอยู่กับเจ้าและคอยช่วยเจ้าไว้  พระเจ้าตรัสดังนี้” (ยม. 1:18-19)

            และทุกคนก็ต่อสู้กับเยเรมีย์  แต่พระเป็นเจ้าทรงอยู่เคียงข้างเยเรมีย์   ผู้ต่อต้านมีทั้งกษัตริย์  สมณะและประชาชนทั้งหมด  แต่เยเรมีย์ยืนหยัดอย่างมั่นคงเพราะพระเป็นเจ้าทรงอยู่กับเขา  พระหรรษทานของพระเป็นเจ้าคอยสนับสนุนช่วยเหลือเยเรมีย์และปกป้องเขาให้พ้นจากการคุกคามต่างๆ  และแม้จะอยู่ในสถานการน์เช่นนี้ตลอดชีวิต  ในวาระสุดท้ายของเยเรมีย์ในวัยชรา  เขาก็สิ้นใจอย่างสงบ (แม้ว่าพระคัมภีร์จะไม่ได้บันทึกความตายของเยเรมีย์เอาไว้)

            ถึงแม้ว่าพวกเราจะไม่ได้ถูกเรียกให้เป็นประกาศกที่ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์เลวร้ายเหมือนเยเรมีย์  แต่พวกเราก็ถูกเรียกให้เป็นพยานยืนยันถึงพระวาจาของพระเป็นเจ้าในการดำเนินชีวิตประจำวันของพวกเรา  อาจจะมีบางเวลาที่เราต้องเผชิญกับการต่อต้านบ้าง  เมื่อพระวาจาของพระเยซูเจ้าไม่ได้รับการต้อนรับ  หรือความพยายามให้ความช่วยเหลือของเราถูกปฏิเสธ  ในความสัมพันธ์ของเรากับพระเป็นเจ้า  และกระแสเรียกของพระองค์ในชีวิตของเรา  เราก็อาจเหมือนกับเยเรมีย์ คือ “เป็นเมืองที่มีป้อมปราการ  เป็นเมืองที่มีเสาเหล็กและกำแพงเมืองทองสัมฤทธิ์”  เมื่อพระเป็นเจ้าทรงเรียกเราให้ไปปฏิบัติภารกิจ  พระหรรษทานของพระองค์จะสนับสนุนเราเสมอ  ถ้าเราวางใจในพระองค์

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น