การรู้จักตัวเองและรู้ว่าตนเองถูกเรียกให้ทำภารกิจอะไร เป็นสิ่งจำเป็นในการดำเนินชีวิตในหนทางของพระเป็นเจ้า หากปราศจากการรู้จักกระแสเรียกของพระเป็นเจ้าและ
หนทางที่พระองค์ประสงค์ให้เราเดินไป เราก็จะไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรและจะต้องเดินไปทางไหน การไม่รู้จักภารกิจของตนเองก็คือการไม่รู้จักตัวเอง แต่ถ้าเราสามารถรู้ได้ว่าภารกิจของเราว่าคืออะไร แม้สักเพียงบางส่วน ก็จะทำให้เรามั่นใจว่า ตัวเราเป็นใครและจะต้องทำภารกิจอะไร
การเรียกของประกาศกเยเรมีย์
จากบทอ่านใน
เยเรมีย์ 1: 4-5, 17-19
ทำให้เรารู้ว่าเยเรมีย์ได้รู้ถึงกระแสเรียกของเขา
“ก่อนที่เราจะก่อรูปร่างของเจ้าในครรภ์มารดา เราก็รู้จักเจ้าแล้ว
ก่อนที่เจ้าจะเกิดมา เราได้เลือกเจ้า
เราแต่งตั้งเจ้าให้เป็นผู้ประกาศพระวาจาของเราแก่นานาชาติ” (ยม. 1:5)
แผนการของพระเป็นเจ้าสำหรับชีวิตของเยเรมีย์เริ่มต้นตั้งแต่ก่อนที่เขาจะถือกำเนิด พระองค์ทรงแต่งตั้งเขาในความรอบรู้ของพระองค์ พระองค์ทรงรู้จักเขาก่อนที่จะเขามาอยู่ในโลก เมื่อพระเป็นเจ้าตรัสว่า “เรารู้จักเจ้า” พระองค์ตรัสในลักษณะที่ทรงรู้จักบุคคลนั้นเป็นอย่างดี ทรงรู้จักนิสัยของบุคคลนั้น สิ่งที่บุคคลนั้นชอบหรือไม่ชอบ ทรงรู้จักตั้งแต่เขาเป็นทารกในครรภ์มารดา ซึ่งขณะนั้น
บุคคลนั้นยังไม่มีบุคคลิกลักษณะให้เห็นได้อย่างชัดเจน แต่พระเป็นเจ้าทรงรู้จักบุคลิกลักษณะได้อย่างลึกซึ้งในวิญญาณของบุคคลแต่ละคน
พระองค์ทรงรู้จักเยเรมีย์ด้วยวิธีที่พระเป็นเจ้าเท่านั้นทรงทำได้
ด้วยพระฤทธานุภาพอันไม่มีสิ้นสุดของพระเป็นเจ้าจึงทำให้พระองค์ทราบจิตใจของเยเรมีย์ว่าเขาจะทำอะไรหรือเขาต้องการเป็นอะไร พระเป็นเจ้าจึงทรงเรียกเยเรมีย์ พระวาจาที่ทรงเรียกเยเรมีย์นั้นแบ่งเป็น สี่ข้อความ คือ
เราได้ก่อรูปร่างของเจ้า
เรารู้จักเจ้า เราเลือกเจ้า และเราแต่งตั้งเจ้า พระเป็นเจ้าทรงแต่งตั้งเยเรมีย์ให้เป็นประกาศกตั้งแต่ในวินาทีที่พระองค์ทรงเนรมิตสร้างเขา ตั้งแต่ก่อนที่เขาจะเกิด
ความถ่อมตน
ในเรื่องราวต่อมา เยเรมีย์ได้พูดออกตัว
เหมือนที่โมเสสได้พูดคัดค้านการเรียกของพระเป็นเจ้า เยเรมีย์ทูลพระเป็นเจ้าว่า “ข้าพเจ้าเป็นแต่เพียงเด็ก”
(ยม. 1:6) แต่นั่นเป็นเพียงข้อแก้ตัวไม่ใช่เหตุผล พวกเราก็อาจเป็นแบบนี้เหมือนกัน มันเป็นลักษณะของความถ่อมตนที่ไม่ถูกต้อง เมื่อการถูกเรียกให้ทำเรื่องที่ใหญ่โต เมื่อความรักผิดชอบดูจะเป็นภาระที่หนักเกินไป เมื่อพวกเรามองดูที่ความอ่อนแอของเราเป็นอันดับแรก เราก็ยกธงขาวยอมแพ้ตั้งแต่เริ่มแรกและหาข้ออ้าง ทำให้ดูเหมือนว่าเรากำลังถ่อมตน เมื่อเยเรมีย์ตอบปฏิเสธตั้งแต่แรก พระเป็นเจ้าทรงไม่สนใจในข้อแก้ตัวของเขา
“อย่าพูดว่า ข้าพเจ้าเป็นเพียงเด็ก” และ
“จงอย่ากลัวพวกเขา
เพราะเราจะอยู่กับเจ้าและคอยช่วยเหลือเจ้า” (ยม. 1:7) พระเป็นเจ้าทรงเปิดเผยให้เยเรมีย์มั่นใจ พระองค์ทรงทราบอยู่แล้วว่า
เยเรมีย์มีความสามารถที่จะทำได้และพร้อมแล้ว เพียงแต่เขาหวาดกลัวเท่านั้น แล้วพระเป็นเจ้าทรงประทานเครื่องหมายเป็นการยืนยันแก่เยเรมีย์ เมื่อพระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์มาสัมผัสปากของเขา-
(ยม. 1:9)
และทรงสั่งให้เขายืนขึ้น แต่งตัวเปลี่ยนเสื้อผ้า ไปยังลานสาธารณะ และเริ่มประกาศพระวาจาของพระเป็นเจ้า
ลักษณะส่วนตัวของประกาศก
พระเป็นเจ้าทรงเรียกเยเรมีย์ให้ทำอะไร?
การให้เป็นประกาศกก็น่าจะเป็นเรื่องดีมิใช่หรือ?
การที่พระเป็นเจ้าแต่งตั้งเยเรมีย์ให้เป็นผู้นำสาส์นของพระองค์ก็นับว่ามีเกียรติมิใช่หรือ?
แต่พระเป็นเจ้าทรงเรียกเยเรมีย์ในสมัยที่สถานการณ์ของอาณาจักรยูดาเลวร้ายที่สุดในประวัติศาสตร์ ชนต่างชาติเข้ามายึดครองอาณาจักรยูดา และจับกุมกษัตริย์ของยูดาเอาไว้ บ้านเมืองมีแต่ความยุ่งเหยิง กระแสเรียกของเยเรมีย์คือการประกาศสาส์นแห่งการพิพากษาของพระเป็นเจ้าต่อประชากรที่ไม่ซื่อสัตย์ของพระองค์ จะไม่มีใครฟังเยเรมีย์ จะไม่มีใครนับถือเขา เขาจะไม่ประสบความสำเร็จในทํศนะของโลก เยเรมีย์จะต้องประกาศถึงบาปของประชาชน การบูชาพระเท็จเทียมของพวกเขา การหน้าไหว้หลังหลอกของพวกเขา
การที่พวกเขาเบียดเบียนข่มเหงคนยากจนและการมีใจดื้อดึงไม่ยอมนมัสการพระเจ้าเที่ยงแท้ งานของประกาศกไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เยเรมีย์จะถูกฟ้องร้อง
เขาจะถูกขังลืมในถ้ำและถูกทิ้งไว้ให้ตายหรือถูกลักพาตัวไปฆ่าทิ้ง
การยืนหยัดในกระแสเรียกของพระเป็นเจ้าท่ามกลางสถานการณ์ที่กดดันมากเช่นนี้จะต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างสูง
เยเรมีย์เป็นเหมือนหินผาที่อยู่ภายใต้แรงกดดัน
เขาไม่นำพาศัตรูและยังคงประกาศพระวาจาแห่งความจริงของพระเป็นเจ้า โดยได้รับการต่อต้านจะประกาศกเท็จเทียม จากสมณะที่ไม่ซื่อสัตย์ และได้รับการต่อต้านแม้แต่จากกษัตริย์เองด้วย - เยเรมีย์ทำได้อย่างไร?
การสนับสนุนจากพระเป็นเจ้า
ในสถานการณ์ที่เลวร้ายเช่นนี้
พระเป็นเจ้าทรงเข้ามาช่วยเหลือ เยเรมีย์มีสิทธิที่จะกลัวในการทำภารกิจนี้
ถ้าหากเขาทำภารกิจนี้ด้วยตัวของเขาเองโดยปราศจากความช่วยเหลือจากพระเป็นเจ้า แต่พระเป็นเจ้าทรงสัญญาแก่ประกาศกว่า เขาจะได้รับการสนับสนุนช่วยเหลือจากสวรรค์
“ดูเถิด
เราจะทำให้เจ้าเป็นเหมือนเมืองที่มีป้อมปราการ
เป็นเมืองที่มีเสาเหล็กและกำแพงเมืองทองสัมฤทธิ์ ซึ่งจะต่อสู้กับแผ่นดินทั้งหมด ต่อสู้กับกษัตริย์แห่งยูดา
กับเจ้านายและสมณะและกับประชาชนของแผ่นดินนี้ พวกเขาจะต่อสู้กับเจ้า แต่จะไม่ชนะเจ้า เพราะเราอยู่กับเจ้าและคอยช่วยเจ้าไว้ พระเจ้าตรัสดังนี้” (ยม. 1:18-19)
และทุกคนก็ต่อสู้กับเยเรมีย์
แต่พระเป็นเจ้าทรงอยู่เคียงข้างเยเรมีย์
ผู้ต่อต้านมีทั้งกษัตริย์
สมณะและประชาชนทั้งหมด
แต่เยเรมีย์ยืนหยัดอย่างมั่นคงเพราะพระเป็นเจ้าทรงอยู่กับเขา
พระหรรษทานของพระเป็นเจ้าคอยสนับสนุนช่วยเหลือเยเรมีย์และปกป้องเขาให้พ้นจากการคุกคามต่างๆ และแม้จะอยู่ในสถานการน์เช่นนี้ตลอดชีวิต ในวาระสุดท้ายของเยเรมีย์ในวัยชรา เขาก็สิ้นใจอย่างสงบ
(แม้ว่าพระคัมภีร์จะไม่ได้บันทึกความตายของเยเรมีย์เอาไว้)
ถึงแม้ว่าพวกเราจะไม่ได้ถูกเรียกให้เป็นประกาศกที่ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์เลวร้ายเหมือนเยเรมีย์ แต่พวกเราก็ถูกเรียกให้เป็นพยานยืนยันถึงพระวาจาของพระเป็นเจ้าในการดำเนินชีวิตประจำวันของพวกเรา อาจจะมีบางเวลาที่เราต้องเผชิญกับการต่อต้านบ้าง เมื่อพระวาจาของพระเยซูเจ้าไม่ได้รับการต้อนรับ
หรือความพยายามให้ความช่วยเหลือของเราถูกปฏิเสธ ในความสัมพันธ์ของเรากับพระเป็นเจ้า และกระแสเรียกของพระองค์ในชีวิตของเรา เราก็อาจเหมือนกับเยเรมีย์ คือ
“เป็นเมืองที่มีป้อมปราการ
เป็นเมืองที่มีเสาเหล็กและกำแพงเมืองทองสัมฤทธิ์” เมื่อพระเป็นเจ้าทรงเรียกเราให้ไปปฏิบัติภารกิจ พระหรรษทานของพระองค์จะสนับสนุนเราเสมอ ถ้าเราวางใจในพระองค์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น