วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2559

เชิญเสด็จมาพระจิตเจ้าข้า



เชิญเสด็จมา ข้าแต่พระจิตเจ้า
เชิญเสด็จมาสถิตในดวงใจสัตบุรุษ และทรงบันดาลให้ลุกร้อนด้วยความรักของพระองค์
โปรดประทานพระจิตของพระองค์ และสรรพสิ่งจะอุบัติขึ้นมา
แล้วพระองค์จะทรงเนรมิตแผ่นดินขึ้นใหม่
ข้าแต่พระเจ้า พระองค์ทรงสอนใจสัตบุรุษด้วยการส่องสว่างของพระจิต โปรดให้ข้าพเจ้าทั้งหลายซาบซึ้งในความเที่ยงธรรมโดยพระจิตนั้น และโปรดให้ได้รับความบรรเทาจากพระองค์ท่านเสมอ เดชะพระคริสตเจ้า องค์พระผู้เป็นเจ้า ของข้าพเจ้าทั้งหลาย อาแมน

             บทภาวนาต่อพระจิตเจ้านี้ช่างงดงามประทับในดวงใจของเราทุกคน  เหตุการณ์ที่พระจิตเสด็จมาในห้องชั้นบนบันดาลให้จิตใจของอัครสาวกและผู้ที่อยู่ที่นั้นทุกคนเร่าร้อนด้วยความรักของพระเป็นเจ้า  แล้วชุมชนของพระคริสต์ก็เริ่มต้นขึ้นโดยอาศัยคำสั่งสอนของบรรดาอัครสาวก  เป็นการสานงานการไถ่กู้ให้รอดของพระเยซูเจ้า พระผู้ทรงอยู่กับพวกเราเสมอจวบจนสิ้นพิภพ  นักบุญลูกาได้บรรยายให้เห็นภาพในวันที่พระจิตเจ้าเสด็จมาท่ามกลางสานุศิษย์ของพระเยซูเจ้าขณะที่พวกเขากำลังชุมนุมกันสวดภาวนาที่ห้องชั้นบน พร้อมกันพวกสตรีและพระนางมารีย์ พระมารดาของพระเยซูเจ้า  อาจมีบางคนตั้งข้อสังเกตว่า  หลังจากพระเยซูเจ้าทรงเสด็จสู่สวรรค์แล้ว  พวกสานุศิษย์คงสวดภาวนาในบทที่คล้ายกับบทอัญเชิญพระจิตนี้  เพราะพวกเขาได้รับคำสัญญาว่า พระบิดาจะทรงส่ง “ผู้ช่วยเหลือ” อีกองค์หนึ่งมา ดังที่นักบุญยอห์นได้เขียนไว้ในพระวรสารของท่านดังนี้ – พระเยซูเจ้าตรัสกับพวกเขาว่า  

                  “พระบิดาจะทรงส่งผู้ช่วยเหลืออีกองค์หนึ่ง คือพระจิตเจ้ามาหาท่านในนามของเรา  พระองค์จะทรงทำให้ท่านจดจำทุกสิ่งที่เรากล่าวแก่ท่าน
             เมื่อพระองค์เสด็จมา  พระองค์จะประทานจิตแห่งความรู้แจ้งในความจริงแก่ท่าน  เพื่อนำท่านไปสู่ความจริง....
             เพราะพระองค์จะทรงรับทุกสิ่งมาจากเรา”

             พระวาจานี้ยืนยันถึงการเสด็จมาของพระจิตเจ้าซึ่งจะทำให้เรารู้จักพระคริสต์และเข้าใจในคำสั่งสอนของพระองค์อย่างถูกต้อง  นักบุญลูกากล่าวถึงเรื่องนี้อีกครั้งในหนังสือกิจการอัครสาวกว่า “..พวกเขาเชื่อฟังและปฏิบัติตามคำพูดที่บรรดาอัครสาวกสอน...”  ที่สุด ในหนังสือกิจการอัครสาวก เล่าถึงนักบุญเปาโลขณะที่อยู่เมืองเอเฟซัส  และท่านสั่งสอนผู้มีความเชื่อให้มั่นคงดำรงอยู่ในความจริงของพระเป็นเจ้า

             “จงเฝ้าระวังตัวของท่านเองและพระศาสนจักรของพระเป็นเจ้าซึ่งพระจิตเจ้าทรงทำให้ท่านกลายเป็นผู้สั่งสอน  ท่านต้องเป็นนายชุมพาบาลของฝูงแกะซึ่งพระคริสต์ทรงได้รับมาโดยอาศัยพระโลหิตของพระองค์เอง....จะมีหลายคนในท่ามกลางพวกท่านที่จะสั่งสอนคำสอนที่ผิดพลาด  พวกเขาจะแสวงหาผู้ติดตามพวกเขา  จงเฝ้าระวังและอย่าลืมคำสอนที่ข้าพเจ้าได้สอนพวกท่านไว้ในระหว่างสามปีที่ข้าพเจ้าเพียรสอนพวกท่านด้วยวาจาและน้ำตา”

เราจึงต้องเปิดใจและสติปัญญาของเราเพื่อรับพระพรของพระจิตเจ้า  และสวดภาวนาร่วมกัน  ดำรงชีวิตด้วยความศรัทธาและทำตามคำสอนของอัครสาวก  เป็นหนึ่งเดียวกันในธรรมประเพณีที่อัครสาวกได้มอบให้แก่พวกเรา

             นักบุญโทมัส  มอร์ ร่ำไห้เมื่อเห็นความเสื่อมเสียในช่วงเวลาที่อังกฤษปฏิรูปศาสนา  ท่านบรรยายว่า

“เพราะพวกเขาเชื่อฟังคำสั่งสอนของอัครสาวก  พวกเขาจึงได้ปฏิบัติคุณธรรมอย่างกระหายดังหนึ่งเป็นหน้าที่ของพวกเขา...เพราะมีคนจำนวนมากที่หลับใหลไปและเฉื่อยชาในการเสริมสร้างคุณธรรมความดีในท่ามกลางประชาชนและช่วยกันดำรงความจริงไว้  ในขณะที่ศัตรูของพระคริสต์ได้หว่านความชั่วร้ายและขุดทึ้งรากแห่งความเชื่อไปทั่วทุกหนแห่ง”

             พระจิตเจ้าทรงก่อกำเนิดพระศาสนจักรในวันเพนเตคอส (พระจิตเสด็จมา) โดยลงมาสู่ชุมนุมชนแห่งการสวดภาวนาซึ่งมีพระนางมารีย์และอัครสาวกอยู่รวมกัน  แก่นแท้ของชุมนุมชนนี้ก่อตัวขึ้นในวันเลี้ยงอาหารค่ำมื้อสุดท้าย  และยัญบูชาแห่งกาวารีได้ทำให้สำเร็จสมบูรณ์ในสถาบันพระสงฆ์และในศีลมหาสนิท  ดังที่มีเขียนไว้ว่า “Haec quotiescumque feceritis in mei memoriam facietis” “พวกเขาอุทิศตนปฏิบัติตามคำสอนของอัครสาวกอย่างต่อเนื่องและเป็นหนึ่งเดียวกันในการหักขนมปังและในการสวดภาวนา” พระจิตเจ้าทรงทำให้พวกเขาเพิ่มทวีจำนวนมากขึ้น  ตระเตรียมพวกเขาเพื่อให้ไปประกาศข่าวดีแก่คนทุกภาษาและทุกชนชาติ “เพราะทุกคนจะได้ยินพวกเขาประกาศกิจการมหัศจรรย์ของพระเป็นเจ้าในภาษาของแต่ละคน”  เป็นสิ่งสำคัญที่จะต้องดำรงไว้ ,ส่งเสริมและทำให้มีชีวิตชีวา ในความศักดิ์สิทธิ์และเป็นหนึ่งเดียวกันของคาทอลิกและความสืบเนื่องจากอัครสาวก  ตามที่นักบุญลูกาเขียนไว้ว่า “พวกเขาเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในท่ามกลางชุมนุมชนของผู้มีความเชื่อ...พวกเขาแบ่งปันทุกสิ่งแก่กัน....นี่แหละพลังอันยิ่งใหญ่ซึ่งบรรดาอัครสาวกเป็นพยานยืนยันของการกลับคืนพระชนม์ชีพของพระคริสตเจ้า  และพระหรรษทานมากมายที่พวกเขาได้รับ”  จึงมีความสำคัญเป็นอย่างยิ่งในการสวดภาวนาร่วมกัน ในการร่วมพิธีมิสซาและรับศีลศักดิ์สิทธิ์ในพระศาสนจักรเพื่อทำให้พระคุณยิ่งใหญ่ของพระเจ้าเต็มเปี่ยมสมบูรณ์ 

             พระคุณที่พระจิตเจ้าทรงประทานให้ในการเสด็จมาครั้งแรกนั้นเป็นกิจการที่ทรงกระทำโดยงานแห่งเมตตาธรรม  และงานแห่งเมตตาธรรมนี้ก็มีเจ็ดประการ  เช่นเดียวกับพระคุณของพระจิตเจ้าอันได้แก่ 

งานเมตตาจิตด้านจิตใจ
1.ให้คำปรึกษาแก่ผู้สงสัย 
2. ให้คำสั่งสอนแก่ผู้โง่เขลา 
3. ปลดปล่อยคนบาปให้เป็นอิสระทางจิตใจ  
4. ให้การปลอบโยนแก่ผู้ทนทุกข์  
5. ให้อภัยแก่ผู้ทำร้ายเรา 
6. อดทนความผิดของผู้อื่น  
7. สวดภาวนาแก่ผู้เป็นและผู้ตาย

งานเมตตาจิตด้านร่างกาย
1.
    ให้อาหารคนหิวโหย
2.
    ให้น้ำดื่มแก่ผู้กระหาย
3.
    ให้เสื้อผ้าแก่ผู้ไม่มีนุ่งห่ม
4.
    ให้ที่พักแก่ผู้ไร้ที่อยู่
5.
    เยี่ยมผู้ป่วย
6.
    เยี่ยมผู้ถูกจองจำ
7.
    ฝังศพผู้ล่วงลับ

จิตใจของเราจะเต็มเปี่ยมด้วยความเข้าใจและได้รับคุณค่ามหาศาลในความล้ำลึกของพระเป็นเจ้าผู้ทรงแสดงพระองค์แก่เราในการไถ่กู้พวกเราให้รอด  หัวใจของเราจะอาบอิ่มอยู่ในความรักและดำรงอยู่เช่นนี้ตลอดไปด้วยการทำให้น้ำพระทัยของพระเป็นเจ้าสำเร็จไปบนโลกนี้เหมือนดังในสวรรค์”

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น