วันอังคารที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ความเจริญและความเสื่อมของอารยธรรม


โดย Msgr. Charles Pope • October 12, 2016

วัฒนธรรมและอารยธรรมมีพลวัติเป็นวัฏจักรตามกาลเวลา  วัฒนธรรมและอารยธรรมหลายแห่งของยุคสมัยมีความเจริญและความเสื่อม  เราจึงควรตระหนักถึงความจริงในเรื่องนี้  วัฒนธรรมและอารยธรรมมาแล้วก็ไป  มีเพียงพระศาสนจักรและวัฒนธรรมของพระคัมภีร์ที่แท้จริงเท่านั้นที่จะคงอยู่  มีเพลงเก่าแก่เพลงหนึ่งร้องว่า “สิ่งที่เราทำเพื่อพระคริสต์เท่านั้นที่จะคงอยู่ชั่วนิรันดร์”  ใช่แล้ว-สิ่งอื่นๆจะผ่านพ้นไป  พระศาสนจักรเป็นเหมือนนาวาแล่นไปบนน้ำแห่งโลกนี้และแล่นไปตามกระแสน้ำท่วมของกาลเวลา

ดูเหมือนว่าพวกเรากำลังอยู่ปลายยุคสมัยของความเจริญรุ่งเรือง  และโลกกำลังอยู่ในยุคสมัยของความเสื่อม  มนุษย์ตกอยู่ในกระแสของความโลภ  โลกียนิยม  การหย่าร้าง  ความสำส่อนทางเพศ  และการทำลายพื้นฐานโครงสร้างของอารยธรรมที่ดีงาม  นั่นคือ ครอบครัว  วัฒนธรรมที่ดีงามกำลังเจ็บป่วย  และกำลังอยู่ในขั้นสุดท้ายของโรคร้าย  ความจริงอันเจ็บปวดนี้เป็นสิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดมาก่อน

นักสังคมวิทยาและนักมนุษยวิทยาได้อธิบายขั้นตอนของความเจริญและความเสื่อมของอารยธรรมสำคัญของโลก  นักปรัชญาชาวสก็อต Alexander Tyler แห่งมหาวิทยาลัย Edinburg  กล่าวถึงลำดับแปดขั้นตอนของพัฒนาการของอารยธรรมที่ปรากฏอยู่ในประวัติศาสตร์  เรื่องนี้ถูกเขียนอยู่ในหนังสือ The Great Transformation  โดย Ted Flynn 

ลองมาดูว่า 8 ขั้นตอนนี้มีอะไรบ้าง

1. จากความผูกพันกันพัฒนาเป็นความเจริญทางด้านจิตใจ - อารยธรรมสำคัญกำเนิดขึ้นจากเบ้าหลอมของจิตใจ  ชาวยิวโบราณถูกเบียดเบียน 400ปีในอิยิปต์ทำให้พวกเขามีความผูกพันใกล้ชิดกัน  ความเชื่อคริสตชนและพระศาสนจักรถือกำเนิดขึ้นจากการถูกเบียดเบียนเป็นเวลา 300 ปีจากอาณาจักรโรมัน  เมื่ออาณาจักรโรมันล่มสลายจากการรุกรานของชนเผ่า “อนารยชน” พระศาสนจักรยุโรปตะวันตกก็ก่อตัวขึ้นมา  วัฒนธรรมของอเมริกันถูกหล่อหลอมขึ้นจากความอยุติธรรมของยุคอาณานิคม  ความทุกข์และความอยุติธรรมส่งผลให้เกิดพัฒนาการทางด้านจิตใจ  ทำให้เกิดปัญญาและระเบียบวินัยในจิตใจที่พยายามแสวงหาความยุติธรรมและการแก้ปัญหา

2. จากความเจริญทางด้านจิตใจนำไปสู่ความกล้าหาญ – การถูกหล่อหลอมจิตใจด้วยความทุกข์ยากลำบาก  ก่อให้เกิดความกล้าหาญและความอดทน มีความเสียสละ  ผู้นำถือกำเนิดขึ้นและประชาชนรวมตัวเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน  แม้แต่จะต้องยอมพลีชีพเพื่อสร้างสิ่งที่ดีกว่าเดิม  ประชาชนที่ไม่มีอะไรจะต้องสูญเสีย  พวกเขายินดีที่จะทำบางอย่างซึ่งสำคัญกว่าตัวเองหรือความต้องการของตัวเอง  สงความเริ่มต้นขึ้น  สงครามต้องการความกล้าหาญ  ระเบียบวินัยและคุณธรรมอื่นๆ

3. ความกล้าหาญนำไปสู่เสรีภาพ  การต่อสู้อย่างกล้าหาญทำให้ศัตรูต้องพ่ายแพ้  เสรีภาพและความยุติธรรมกำเนิดขึ้นมา  และจุดนี้เองที่อารยธรรมก่อตัวขึ้นหยั่งรากลึกเป็นเจตนาคติของสังคม  ผู้ที่ร่วมรบในสงครามหลายคนยังคงมีชีวิตอยู่  ความรู้สึกในชัยชนะยังคงสดใส  วีรบุรษและความดีของการนำมาซึ่งเสรีภาพยังมีชีวิตชีวา  การดิ้นรนต่อสู้เป็นเวลานานหลายปีในเบ้าหลอมนั้นเป็นสิ่งน่ายินดียิ่ง

4. เสรีภาพนำไปสู่ความอุดมสมบูรณ์ – เสรีภาพทำให้เกิดความเจริญรุ่งเรืองอันยิ่งใหญ่  เพราะอารยธรรมยังดำเนินอยู่ด้วยคุณธรรม, ความเสียสละและการทำงานหนัก  แต่แล้วอันตรายอย่างแรกก็มาถึง  มันคือ  ความอุดมสมบูรณ์  สิ่งที่มีมากเกินไปมีแนวโน้มที่จะทำให้ชีวิตของคนเราตกต่ำลง  มันเป็นอันตรายต่อสติปัญญาและขโมยจิตวิญญาณของความมีวินัย  พระเยซูเจ้าตรัสว่า  “ชีวิตของมนุษย์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับทรัพย์สมบัติที่เขาเป็นเจ้าของ”  เมื่อคนเรามีทรัพย์สมบัติมากขึ้น  ความเสียสละก็มีน้อยลงไปเรื่อยๆ  ความมีวินัยและความรับผิดชอบก็หย่อนยานลง

5. ความอุดมสมบูรณ์นำไปสู่ความหลง  - ความหลงนี้หมายถึงการพึงพอใจในตัวเองและทำให้เกิดความประมาทไม่ระวังตัว  ทุกอย่างดูเหมือนดีไปหมด  แหล่งวัตถุดิบที่มีมากเหลือล้น  โครงสร้างขั้นพื้นฐานที่มั่นคง  คุณธรรม, ระเบียบวินัยและความดีงามถูกลดทอนความสำคัญไป  ถ้ามีใครสักคนลุกขึ้นมาเตือน  เขาก็จะกลายเป็นคนน่ารังเกียจและถูกเยาะเย้ย

6. ความหลงนำไปสู่ความไม่เอื้ออาทรกัน – ความไม่เอื้ออาทรกันหมายถึงการไม่สนใจผู้อื่น  ไม่รู้สึกสงสารหรือใส่ใจความรู้สึกของผู้อื่น  ผู้คนไม่รู้เรื่องราวการเสียสละของคนในยุคสมัยก่อนและไม่มีจิตวิญญาณที่ต้องการทำงานเพื่อความดีของส่วนรวม  “อารยธรรม” ซึ่งเป็นความดีของส่วนรวมสูญสลายไป  ความเป็นปัจเจกบุคคลเข้ามาแทนที่และมากขึ้นเรื่อยๆ  การทำงานเพื่อส่วนรวมค่อยๆหายไป  ความมีวินัยและการเสียสละค่อยๆสึกกร่อนไป

7. ความไม่เอื้ออาทรกันนำไปสู่วิถีต่างคนต่างอยู่ – จำนวนผู้คนที่ขาดจิตสำนึกของการทำงานและมีส่วนร่วมต่อสังคมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  ความทุกข์ยากลำบากและความเสียสละของคนในอดีตถูกลบเลือนไปจากความทรงจำของคนรุ่นใหม่  การมีวินัยหรือการทำงานหนักดูจะเป็นเรื่องยากสำหรับคนในรุ่นนี้  วิถีต่างคนต่างอยู่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆสั่งสมเกิดเป็นวัฒนธรรมตัวใครตัวมัน  ความทุกข์ของคนอื่นดูเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็นต้องรับรู้หรือช่วยเหลือ  ปัญหาหรือความทุกข์ของใคร  คนนั้นก็ต้องแก้ไขเอาเอง  รัฐบาลจำเป็นต้องใช้มาตราการบังคับประชาชนสำหรับปัญหาที่สั่งสมมากขึ้น  แต่กลับทำให้วิถีตัวใครตัวมันถลำลึกลงไปมากขึ้น  เพราะปัญหามาจากการขาดคุณธรรมของปัจเจกบุคคล  ซึ่งส่งผลมาสู่ปัญหาของสังคม

8. วิถีตัวใครตัวมันนำกลับไปสู่ความผูกพันกัน – ขณะที่วิถีตัวใครตัวมันมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ  ทำให้แต่ละคนเกิดความรู้สึกโดดเดี่ยวและสิ้นหวัง  ไม่ทำหน้าที่ของตนเอง  ทำให้ผู้คนพากันแสวงหาผู้ปลดปล่อยที่จะมาช่วยเหลือ  พวกเขาแสวงหาผู้นำที่เข้มแข็ง  แต่อำนาจส่วนกลางได้รวบอำนาจไว้และทำให้ความอยุติธรรมต่างๆนาๆบังเกิดขึ้น  ประชาชนได้รับความยากลำบากและเริ่มรู้สึกว่าจะต้องร่วมมือกัน ทำให้มีความผูกพันกันเพื่อต่อสู้กับอำนาจส่วนกลางที่รวบอำนาจและคอยกดขี่ควบคุม  อำนาจที่มีมากขึ้นยิ่งทำให้ผู้กุมอำนาจหิวโหยอำนาจมากขึ้น  ด้วยเหตุนี้  อารยธรรมก็มาถึงจุดจบ  เพราะประชาชนที่มีจิตใจผูกพันกันไม่มีคุณธรรมที่จำเป็นมากเพียงพอที่จะต่อสู้กับผู้มีอำนาจอีกต่อไป

สิ่งที่เป็นไปได้สำหรับการแก้ไขก็คือประเทศที่มีอำนาจมากกว่าต้องเข้ามารุกรานหรือเข้ามาแทนที่และทำลายอารยธรรมที่เสื่อมนั้นไปเสียและให้อารยธรรมและวัฒนธรรมของตนเองเข้ามาแทนที่

หรืออีกหนทางหนึ่งก็คือ  กลับไปสู่เบ้าหลอมอีกครั้ง  จนกระทั่งความทุกข์ยากลำบากและความสับสนจะนำไปสู่สติปัญญา , คุณธรรมและความกล้าหาญที่จำเป็นในการเริ่มต้นอารยธรรมใหม่ที่ก่อตัวขึ้นจากกองขึ้เถ้าของอารยธรรมเดิม

นั่นคือวัฏจักรของอารยธรรม  พระศาสนจักรได้เห็นความเปลี่ยนแปลงเหล่านี้มาแล้วในระหว่างสองสหัสวรรษที่ผ่านมา  อารยธรรมในหลายประเทศมาแล้วก็จากไป  มีเพียงอารยธรรมของไม่กี่ประเทศที่อยู่รอดนานมากกว่า 200 ปี  เป็นเรื่องยากที่จะบอกว่าอารยธรรมจะอยู่รอดได้นานเท่าใด  ตั้งแต่จุดเริ่มต้นของพระธรรมใหม่  อาณาจักรโรมันก็ค่อยๆเสื่อมลงแล้ว  ทำให้พระศาสนจักรในอนาคตเริ่มบ่มเพาะกล้าฝังรากทางฝั่งตะวันตกและกลายเป็น  “อาณาจักรโรมันอันศักดิ์สิทธิ์”  ซึ่งมีพันธมิตรเช่น  สเปน  โปรตุเกส และฝรั่งเศส  เคยมีคำกล่าวว่า “ดวงอาทิตย์ไม่เคยตกดินในสหราชอาณาจักรอังกฤษ”  แต่มันก็เริ่มตก เมื่อนโปเลียนเริ่มมีอำนาจ  ในยุคต่อมา  ฮิตเล่อร์พยายามสร้างอาณาจักรเยอรมันขึ้น  แต่สหภาพโซเวียตรัสเซียก็ทำลายลงเสียและเถลิงอำนาจขึ้นแทน  แม้แต่ในพระคัมภีร์พระธรรมเก่า  ชาวอิสราแอลมียุคสมัยที่รุ่งเรืองคือสมัยของกษัตริย์ดาวิด  ซึ่งแผ่ขยายอาณาจักรไปกว้างไกล  แต่แล้วก็ถูกยึดครองโดย  บาบิโลน  , เมโด-เปอร์เซีย , กรีซ และโรม 

นาวาอันเที่ยงแท้มีเพียงหนึ่งเดียวคือพระศาสนจักรซึ่งได้รับพระสัญญาจากพระเป็นเจ้า (มท. 16: 18) แต่พระศาสนจักรก็ต้องการการปรับปรุงเปลี่ยนแปลงเช่นเดียวกันและจำต้องเผชิญกับความยากลำบากมากทีเดียว  พระศาสนจักรจะยังคงอยู่ในโลกที่เปลี่ยนแปลงนี้ต่อไป  เพราะพระศาสนจักรเป็นเจ้าสาวของพระคริสตเจ้าและเป็นพระกายทิพย์ของพระองค์

นี่เป็นช่วงเวลาแห่งความยากลำบาก  แต่มุมมองความรู้ที่กล่าวมาแล้วคงช่วยได้บ้าง  เราอาจพูดได้ไม่แน่ชัดนักว่า  เรากำลังอยู่ในปลายยุคสมัยแห่งความเสื่อมที่นำไปสู่ความตาย  แต่ความตายจะนำชีวิตใหม่มาให้  มีเพียงพระเป็นเจ้าเท่านั้นที่ทรงทราบว่าถึงปลายยุคสมัยหรือยัง   เราต้องวางใจในพระองค์เท่านั้นผู้ทรงเป็นเจ้าชายแห่งสันติ  พระเป็นเจ้าจะทรงรักษาประชากรของพระองค์ไว้เหมือนดังที่พระองค์ทรงกระทำมาแล้วในพระธรรมเก่า 

บทสดุดีที่ 121  พระเจ้าผู้ปกป้องผองภัย

            ยามเมื่อข้าฯทอดสายตา                        แลดูภูผา
ความอุปถัมภ์มาจากไหน?
            จากพระเจ้าผู้ทรงฤทธิไกร                    สร้างโลกกว้างใหญ่
รวมหล้าทั้งหมดจดสวรรค์
            ทั้งทรงคุ้มครองปัองกัน                        มิเคยเคลิ้มฝัน
หรือทรงเผลอสนิทนิทร์ไป
            พระองค์ปกป้องผองภัย                        อิสราแอลอย่างไร
แก่ท่านก็เช่นเดียวกัน
            พระอาทิตย์ไร้พิษกลางวัน                   ถึงแม้พระจันทร์
ไม่ทำร้ายยามค่ำคืน
               ปลอดภัยทั้งหลับและตื่น                   ท่านจะสดชื่น
ในยามดำเนินไปมา
            พระเจ้าทรงพิทักษ์รักษา                       ด้วยพระทัยเมตตา
บัดนี้   เบื้องหน้า  นิรันดร

------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น