August 29, 2016.
ผมได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับเมดจูกอเรจ์ในปี 1983 จากหนังสือเรื่องที่เกี่ยวกับสิ่งเหนือธรรมชาติ เรื่องของเมดจูกอเรจ์อยู่ระหว่างเรื่องผีสิง และ ยูเอฟโอ ผมเติบโตและเล่าเรียนอยู่ที่สิงคโปร์ ในชั้นเรียนพวกเราต้องเขียนเรียงความเรื่องหนึ่ง และผมเลือกที่จะเขียนเกี่ยวกับเมดจูกอเรจ์
เมดจูกอเรจ์ทำให้ผมกลับมาสู่ความเชื่อคาทอลิก ตอนที่ผมอายุ 17 ผมอยู่ในกลุ่มแพร่ธรรม ผมมาที่เมดจูกอเรจ์เป็นครั้งแรกในปี
1991 ที่สิงคโปร์เราต้องรับใช้ชาติสองปีครึ่งด้วยการเป็นทหารเกณฑ์ ผมมาที่เมดจูกอเรจ์ในตอนที่ผมยังอยู่ในกองทัพ ช่วงเวลาที่ฝึกทหารอยู่นั้นเกิดอุบัติเหตุทำให้กระดูกสันหลังของผมแตก และต้องใช้เวลาถึง 14
เดือนจึงจะหายเป็นปกติ
ผมมาที่เมดจูกอเรจ์พร้อมกับแม่ของผมและกลุ่มผู้แสวงบุญจากสิงคโปร์ในปี
1991 ตั้งแต่มาถึง และแม้แต่ตอนที่พวกเราออกจากรถโค๊ช ต่างคนต่างก็ชะเง้อมองดูดวงอาทิตย์เผื่อว่าจะได้เห็นอัศจรรย์บ้าง ผมปฏิเสธที่จะมองดูดวงอาทิตย์เพราะผมคิดว่า
“มันเป็นการทดลองพระเป็นเจ้า
ดังที่มีเขียนไว้ว่า ‘เจ้าจงอย่าได้ทดลองพระเป็นเจ้าเลย’ ความคิดนี้ของผมเป็นการหลงตนเองหรือเปล่า? หรือเป็นความถูกต้อง?
ผมคิดว่าเป็นความถูกต้อง – ผมทำทุกอย่างที่เมดจูกอเรจ์อย่างถูกต้อง ผมสวดภาวนาที่โบสถ์ สวดภาวนาที่ยอดเขา Podbrodo
และที่เนินเขาแห่งการประจักษ์ ครีเซวัค ภูเขาไม้กางเขน ผมยังร่วมในการนมัสการศีลมหาสนิทด้วย
ผมไม่ต้องการมองหาเครื่องหมายและสิ่งแปลกประหลาด แต่ตอนนี้ผมยอมรับแล้วว่ามีอัศจรรย์แห่งดวงอาทิตย์
ผมเห็นสิ่งนี้ตลอดเวลาเท่าๆกับที่ผมหยุดไม่มองดูสิ่งนี้
ผมบอกกับผู้แสวงบุญว่า
“อย่ามองหาเครื่องหมายหรือสิ่งแปลกประหลาด
เครื่องหมายจะบ่งชี้ไปถึงบางสิ่งบางอย่าง
ถ้าคุณเห็นอัศจรรย์แห่งดวงอาทิตย์และมีลักษณะเหมือนศีลมหาสนิท นั่นเป็นการบอกเราว่า
‘จงไปร่วมพิธีมิสซาและหยุดดูดวงอาทิตย์ซะ’
ถ้าสายประคำของคุณกลายเป็นทองคำ
นั่นเป็นการบอกว่า ‘จงสวดสายประคำเพราะการสวดสายประคำมีค่ามากกว่าทอง’
ในวันที่สองจนถึงวันสุดท้าย
เพื่อนสนิทของผม เควิน ซึ่งอายุอ่อนกว่าผมหนึ่งปีต้องการขึ้นไปที่เนินเขาครีเซวัคตั้งแต่เช้ามืดเพื่อถ่ายรูปดวงอาทิตย์ขึ้น
ดังนั้นเราทั้งสองจึงเดินขึ้นเนินเขาตั้งแต่เวลา 4.00 น.
ระยะทางที่เดินไปเราได้เห็นแสงสีทองออกส้มบนภูเขา
เราสวดสายประคำไปตามทาง
ไม่นานแสงนั้นก็หายไปและกลับปรากฏอีกครั้ง
มันใหญ่ขึ้นและสว่างขึ้นและอยู่ใกล้จนเรามองเห็นได้ชัดว่าเป็นอะไร มันทำให้เราตกตะลึงและเงียบงัน
เป็นเวลาหลายปีที่เราไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ให้ใครฟัง ยกเว้นแต่พูดคุยกันเอง เมื่อเรากลับบ้านที่สิงคโปร์ ผมโทรศัพท์ถึงเควิน ผมพูดว่า
“คุณจำสิ่งที่เห็นในตอนเช้าวันนั้นได้ไหม?” เขาตอบว่า “ผมจะลืมได้อย่างไรกัน?” ดังนั้นผมจึงบอกเขาว่า
“คุณเขียนสิ่งที่คุณคิดและได้เห็นลงในกระดาษซิแล้วผมจะทำอย่างเดียวกัน” เราได้เขียนเล่าเรื่องแบบเดียวกัน นั่นคือ
แสงสว่างได้เปลี่ยนรูปเป็นหญิงสาว
เธอสวมผ้าคลุมศีรษะที่ยาวลงมา
เธอมีบ่าที่เล็กเป็นสี่เหลี่ยม
เธอสวมใส่เสื้อผ้าที่เรียบง่าย
และภาพทั้งหมดอาบอยู่ในแสงสว่างสีทองที่เจิดจ้าสุกใส
ขณะที่เฝ้ามองดูเธอ มีการสื่อสารมาถึงเราด้วยนั่นคือความรู้สึกถึงความรักอันยิ่งใหญ่
ความรักที่มีต่อแต่ละคนโดยเฉพาะ
เธอมองดูที่ผมราวกับว่ามีผมอยู่เพียงคนเดียวในจักรวาลและเธอรักผมด้วยความรักอันทรงอำนาจยิ่งนัก
ผมคิดในเวลานั้นว่าผมไม่รู้ตัวว่าเป็นใครหรือมาจากไหนหรืออะไรทั้งนั้น
ผมรู้แต่เพียงว่าผมกำลังมองดูหญิงสาวที่สวยงามที่สุดที่ไม่เคยเห็นมาก่อนเลย เธออายุราวๆ 16 ปี
เธอดูไม่เหมือนกับในรูปภาพหรือพระรูปของแม่พระใดๆ ผมไม่อาจอธิบายหรือบรรยายได้อย่างถูกต้องว่าเธอเป็นอย่างไร
หญิงสาวหรือ ผมไม่สามารถยืนยันอย่างหนักแน่น
ผมไม่เคยอธิบายลักษณะเธอว่าเป็นผู้หญิง
เราตัดสินใจที่จะปีนขึ้นไปบนเขาครีเซวัค และณ.ที่บางแห่งบริเวณมรรคาสถานที่ 10 – 12
เรามองลงไปที่ภูเขา Podbrodo และเธออยู่ที่นั่น
ในท่าทางแบบเดียวกับแม่พระผู้ทรงปฏิสนธินิรมล
ที่ยอดเขาครีเซวัคมีผู้สูงวัยสองคนอายุราว 60ปีซึ่งมาจากฟลอริดา พวกเขาไม่เห็นอะไรเลย เราไม่ได้บอกพวกเขาในสิ่งที่เราเห็น
เราพูดเล็กน้อยแต่เพียงว่ามีแสงสว่างเท่านั้น เราไม่ต้องการบอกเพราะมันเป็นเรื่องส่วนตัวมากๆ
เราลงมาจากภูเขาและตรงไปที่โบสถ์
ขณะนั้นพิธีมิสซาแบบโครเอเชี่ยนเพิ่งจบลงและในโบสถ์ก็ว่างเปล่า เควินเดินไปรอบๆเพื่อถ่ายรูป ผมไปที่พระรูปแม่พระเพื่อขอบพระคุณพระนางและสวดภาวนา
– ผมคิดว่าผมเสียสติ
เด็กๆแห่งฟาติมาได้เห็นแม่พระ
น.แบร์นาแด๊ตได้เห็นแม่พระ แต่ไม่ใช่คนอย่างผม ผมคิดว่า “ผมไม่สามารถบอกใครได้ว่า สิ่งที่เห็นนั้นมีความหมายอย่างไร?”
นั่นเป็นส่วนแรกยังมีส่วนที่สองซึ่งบังเกิดขึ้น
ผมกล้าสาบานกับพระคัมภีร์ว่าผมได้เห็นหญิงสาวที่ทำด้วยแสงสีทองส้ม เธอยืนอยู่บนภูเขา ส่วนที่สองนั้นผมกล้าสาบานได้เช่นเดียวกันเพราะมีเสียงที่ดังขึ้นในหัวของผม
น.เทเรซาแห่งอาวิลาบอกว่าเสียงที่ดังในหัวของคุณนั้นอาจมาจากพระเป็นเจ้า
หรือ ปีศาจ หรือจินตนาการของคุณเองซึ่งนั่นเรียกว่าเป็นจิตเภท
เสียงนั้นเป็นเสียงที่อ่อนหวานไพเราะยิ่งนัก
เป็นเสียงของสตรี สตรีนั้นพูดว่า”เธอมีความสุขเพราะเธอได้เห็นฉัน”
ผมตอบว่า “ใช่ครับ ผมมีความสุขมาก” ผมรู้สึกอายเล็กน้อยและพูดต่อว่า
“คุณเป็นใคร?” เธอตอบว่า “ฉันคือแม่ของเธอ
และฉันต้องการให้เธอบอกทุกคนที่พบว่าฉันเป็นแม่ของพวกเขาด้วยและฉันรักพวกเขา”
ทุกสิ่งที่เธอพูดนั้นเป็นไปอย่างทันทีทันใด แต่เธอก็ทำให้ผมรู้สึกถึงความเป็นมิตร ผมไม่อาจเรียกสิ่งนี้ว่าเป็นการครอบงำ การสนทนานั้นยากที่จะอธิบายได้ เมื่อเธอพูดว่า “ฉันเป็นแม่ของพวกเขา” นั้น
เธอทำให้ผมเข้าใจว่าเธอได้ให้กำเนิดพวกเขาแต่ละคนทางฝ่ายร่างกาย ราวกับเธอพูดว่า “คนนี้เป็นของฉัน คนนี้เป็นของฉัน และคนนี้เป็นของฉัน...”
พูดอย่างหนักแน่นทีเดียว
และเมื่อเธอพูดว่า “และฉันรักพวกเขา
เธอทำให้ผมเต็มเปี่ยมด้วยความซาบซึ้งด้วยความรักที่เธอได้แสดงต่อผม –
เหมือนกับกล้วยที่ลื่นออกมาจากเปลือกของมัน
ผมรู้สึกคล้ายกับได้ลื่นไหลออกมาจากตัวเองด้วยความปิติยินดีและตกอยู่ในภวังค์
สิ่งที่รับรู้จากพระนางนั้นก็คือความรักที่ทรงอำนาจ ทรงอำนาจมากมาก พระนางรักเราแต่ละคนอย่างที่เราเป็น รักเราเหมือนเราเป็นลูกคนเดียวของพระนางไม่มีคนอื่นอีก และพระนางมองดูที่คุณเท่านั้น ผมไม่รู้ว่าพระนางทำได้อย่างไร มันท่วมท้นจิตใจของผม ผมหลั่งน้ำตาด้วยความสุขขณะที่มองดูพระนางและฟังพระนางตรัส
ผมคิดว่า “ฉันต้องการจะเห็นพระแม่อีก จะทำอย่างไรจึงจะได้เห็นพระนางอีกนะ?”
ดังนั้นผมจึงพูดกับพระแม่ว่า “พระมารดาครับ
ผมอยากจะตายไปเสียเดี๋ยวนี้เลย
ได้โปรดเถิดครับ” และพระนางตรัสว่า
“ลูกไม่อยากจะมีชีวิตอยู่ต่ออีกสักหน่อยหรือเพื่อช่วยเหลือแม่?” ผมรู้ว่าพระนางทรงหมายถึงเวลาสัก 9 ปี ไปถึง 90
ปี และผมก็คิดว่า “โอ
ฉันจะทนรอได้หรือ
ฉันไม่ต้องการอยู่ไปเรื่อยๆและเสียเวลาไปโดยเปล่าประโยชน์
ฉันต้องการไปอยู่กับพระนางเดี๋ยวนี้เลยเพราะพระนางทรงสวยงามเหลือเกิน” ผมไม่คิดว่าพระนางทรงให้ผมเลือก ผมจึงพูดว่า
“ตกลงครับ
แต่พระมารดาโปรดให้สิ่งที่ผมทำนั้นมีคุณค่าด้วย” ผมไม่ได้ท้าทายหรือต่อรอง
ผมเพียงแต่ผิดหวังที่ผมไม่สามารถตายที่นั่นในเวลานั้น พระนางทรงพระสรวล
นั่นเป็นเวลาที่พระนางทรงยอมให้ผมพูดในสิ่งผมต้องการ หลังจากนั้นพระนางตรัสต่อไปว่า
“ลูกจะลืมสิ่งที่แม่ได้บอกลูกเป็นส่วนใหญ่”
ผมพูดว่า “ไม่หรอกครับ
นี่เป็นวันที่ดีที่สุดในชีวิตของลูก ลูกจะไม่ลืมแม้แต่สักสิ่งเดียว” แต่ในทันทีที่การสนทนานี้สิ้นสุดลง ผมก็ลืมทุกสิ่งทันที มันเหมือนมีบางอย่างมาจุกอยู่ที่ความจำของผม ผมยังคงมีความรู้สึกในสิ่งเกิดขึ้น มันเหมือนกับการที่คุณได้รับยาสลบ บางสิ่งในชีวิตของคุณหายไปและคุณก็จำมันไม่ได้ พระนางตรัสอีกว่า
“อย่าเริ่มจินตนาการว่าลูกเหมาะสมที่จะได้เห็นแม่
พระเป็นเจ้าทรงประทานพระหรรษทานตามแต่ที่พระองค์ทรงเลือก” พระนางตรัส
“จะมีวันหนึ่งที่ลูกจะเสียใจเพราะได้เห็นแม่”
ผมพูดว่า “พระมารดาตรัสเช่นนั้นได้อย่างไร?
นี่เป็นวันที่ดีที่สุดของผม” พระนางตรัส
“จะมีวันหนึ่งที่ลูกจะปฏิเสธว่าได้เห็นแม่” ผมคิดถึงนักบุญเปโตรทันทีและผมก็ไม่คัดค้าน
ผมมีความสุขมากที่ได้สนทนากับพระนาง
เมื่อผมคิดถึงเรื่องนี้
เรื่องที่ผมเห็นแม่พระและพระนางทรงพูดกับผมและบอกกับผมว่าผมต่ำต้อยเพียงไร
ว่าผมไม่เหมาะสมที่ได้เห็นพระนางและผมก็จะต่ำต้อยในอนาคตด้วย
ทุกอย่างเป็นความจริงเพราะภายในเวลา
5 ปี ผมอยู่ที่วิทยาลัยการแพทย์ในอังกฤษ และผมจำได้อย่างชัดเจนว่าได้พูดกับพระนาง
“ผมปรารถนาว่าจะไม่เคยเห็นพระนางเลย” มันเป็นเรื่องซับซ้อน ผมเคยดูถูกพระนาง เมื่อมีหลายคนที่เยาะเย้ยเรื่องการประจักษ์ที่เมดจูกอเรจ์
ผมก็เคยทำเช่นนั้นผมเคยหัวเราะเยาะ
พระสงฆ์องค์หนึ่งที่ผมรู้จักเคยอ่านสาส์นของแม่พระและผมได้ไปที่ห้องของท่านและเยาะเย้ยท่าน
“แม่พระพูดอะไร สวดภาวนา สวดภาวนา สวดภาวนาหรือ? ขอบใจที่ตอบสนองเสียงเรียกของแม่หรือ?”
ท่านตอบโต้ว่า “ลีออน เจ้าหยาบคายมาก
แม่พระจะจัดการกับเจ้า” และท่านคิดว่านี่เป็นเรื่องตลกมาก เพราะในที่สุดผมได้มาอยู่ที่นี่ (คุณพ่อลีออนมาอยู่ประจำที่เมดจูกอเรจ์
เพื่อดูแลผู้แสวงบุญที่พูดภาษาอังกฤษ)
มีเหตุผลในเรื่องทั้งหมดนี้เช่นกัน มันเกิดขึ้นเพราะความผิดของผมเอง
ผมเสียใจและปฏิเสธเรื่องนี้
มันเป็นจิตใจอิสระที่จะเลือกของผมเอง
ถ้ามีใครถามผมว่า “คุณเห็นแม่พระหรือเปล่า?” ผมจะตอบว่า “ใช่”
และถ้าเขาถามต่อว่า “แล้วทำไมคุณจึงเยาะเย้ยเมดจูกอเรจ์ล่ะ?” ผมจะตอบว่า “ผมไม่รู้
ผมไม่เข้าใจว่าทำไมผมจึงทำเช่นนั้น”
ผมแน่ใจว่าพระศาสนจักรจะตัดสินเรื่องนี้ในไม่ช้า
ผมจำไม่ได้ว่าแม่พระตรัสในเรื่องอะไรบ้าง
พระนางไม่เคยตรัสกับผมในเรื่องของอนาคต
พระนางไม่ได้บอกให้ผมเป็นพระสงฆ์
พระนางไม่ได้ตรัสเกี่ยวกับกระแสเรียก
ผมบอกพระนางเกี่ยวกับปัญหาทุกอย่างของผมในตอนนั้น มันเป็นช่วงเวลาที่เลวร้ายที่สุดในชีวิตของผม
เพราะกระดูกสันหลังของผมแตกหัก ผมรู้สึกเจ็บปวดมาก พี่สาวของผมรีบออกมาจากบ้าน ทุกคนพยายามมาช่วย
ไม่มีใครในครอบครัวของผมพูดกับผมเป็นเวลานาน ดังนั้นผมจึงเล่าปัญหาทุกอย่างของผมกับแม่พระ
พระนางตรัสให้ผมถวายชีวิตของผมแด่พระเยซูเจ้า สวดภาวนาด้วยความเชื่อ และยอมให้ชีวิตขึ้นกับพระเยซูเจ้าอย่างสิ้นเชิง พระนางตรัสให้ผมทำสิ่งที่ถูกต้อง ด้วยการมอบหัวใจแด่พระเยซูเจ้า
สวดภาวนาด้วยความเชื่อ และศิโรราบต่อพระเยซูเจ้าอย่างสิ้นเชิง
ดังนั้นพวกคุณที่จะมาที่เมดจูกอเรจ์เพื่อสวดภาวนาวอนขอความต้องการพิเศษของตนเองและต้องการมาหาผมเพื่อแสวงหาปัญญาละก็
ผมขอบอกว่าผมไม่มีปรีชาญาณที่จะมอบให้พวกคุณหรอกยกเว้นแต่สิ่งที่แม่พระทรงประทานแก่ผม ถ้าสิ่งนั้นเป็นสิ่งที่ดีสำหรับผม มันก็ย่อมดีสำหรับพวกคุณด้วย นี่คือสิ่งที่แม่พระตรัสกับผม “จงมอบหัวใจของลูกแด่พระเยซูเจ้า
จงสวดภาวนาด้วยความเชื่ออันมั่นคงและจงให้ชีวิตของลูกขึ้นอยู่กับพระเยซูเจ้าอย่างสิ้นเชิง” แม่พระตรัสกับผมว่า
ผมไม่จำเป็นต้องกลับไปที่เมดจูกอเรจ์เพื่อที่จะได้เห็นพระนาง เพราะผมจะไม่ได้เห็นพระนางอีก เว้นแต่พระนางจะเสด็จมาหาผม เมื่อผมสิ้นชีวิตลง
ยังมีอย่างอื่นอีกที่พระนางตรัสแต่ผมคิดว่านั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญนัก
นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น หลังจากนั้นผมไม่พูดถึงเรื่องนี้เลยเป็นเวลานานหลายปี
ผมไม่ได้บอกใครจนกระทั่งเมื่อไม่นานมานี้
ผมต้องการทำตามที่แม่พระสั่งกับผม พระนางตรัสว่า “จงบอกทุกคนที่ลูกพบว่า
แม่เป็นแม่ของพวกเขาและแม่รักพวกเขา”
ด้วยความสัตย์จริง ผมไม่สนใจหรอกถ้าหากพวกคุณจะไม่เชื่อผม ผมพยายามจินตนาการว่าถ้าผมเป็นคุณ
แล้วมีพระสงฆ์สวมชุดสีน้ำตาลอยู่บนเวทีและเล่าให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องเมดจูกอเรจ์ เกี่ยวกับการได้เห็นแม่พระ ผมก็คงคิดว่าพระสงฆ์องค์นั้นคงเป็นบ้า?
แต่ผมไม่สนใจหรอกถ้าพวกคุณไม่เชื่อผม ผมไม่สนใจจริงๆ
แต่สิ่งที่ผมต้องการให้พวกคุณเชื่อก็คือ “แม่พระทรงรักคุณและพระนางทรงมองมายังที่ตัวคุณเหมือนกับว่าคุณเป็นลูกเพียงคนเดียวในจักรวาลของพระนาง
และพระนางทรงรักคุณด้วยความรักที่ทรงอำนาจยิ่งนัก ด้วยความรักอันลึกซึ้ง”
อย่างน้อยที่สุดผมต้องการให้คุณเชื่อเช่นนี้
คุณไม่จำเป็นต้องเชื่อเรื่องอื่นๆก็ได้
เพราะมันไม่สำคัญ
การได้เห็นแม่พระสักครั้งหนึ่งทำให้เกิดผลลัพท์ข้างเคียงสองอย่าง อย่างแรก,
ทุกๆสิ่งในชีวิตนั้นกลายเป็นสิ่งที่น่าเบื่อเล็กน้อย สิ่งที่น่าตื่นเต้นในชีวิตกลายเป็นสิ่งที่น่าเบื่อและกลายเป็นเรื่องที่น่ารำคาญในบางครั้ง
อย่างที่สอง, ทำให้ผมไม่กลัวความตาย
เมื่อมีคนบอกผมว่าพวกเขาเป็นโรคมะเร็งและเหลือเวลาอีกไม่กี่เดือนที่จะมีชีวิตอยู่ ผมได้พูดปลอบใจพวกเขา แต่ในใจของผม ผมคิดว่า “โอ, คุณช่างโชคดีจริง
คุณกำลังจะได้เห็นพระนาง” ผมพยายามเข้าใจจากมุมมองของพวกเขา
สถานการณ์ของพวกเขานั้นเลวร้ายมากสำหรับพวกเขา
แต่ใจของผมก็ยังคงคิดว่า “ไม่หรอก คุณโชคดีมาก
คุณกำลังจะได้เห็นพระนางและพระนางสวยงามยิ่งนัก” ทำไมพวกคุณจึงไม่ต้องการจะไปล่ะ?
ถ้าผมเลือกได้ผมจะไปเสียเดี๋ยวนี้เลย พระนางสวยงามยิ่งนัก
----------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น