วันอังคารที่ 21 มีนาคม พ.ศ. 2560

มาเรีย ซิมมา กับเมดจูกอเรจ์


 
มาเรีย ซิมมา (1915-2004) หญิงชาวออสเตรียผู้ที่ได้รับพระพรพิเศษ  วิญญาณในไฟชำระได้มาหาเธอบ่อยครั้ง เคยมีผู้ที่สัมภาษณ์เธอดังนี้

คำถาม – พระนางมารีย์ พระมารดาของพระเยซูเจ้าทรงประจักษ์มาที่เมดจูกอเรจ์จริงหรือ? คุณพูดถึงเมดจูกอเรจ์หลายครั้ง คุณพอจะพูดสักเล็กน้อยเกี่ยวกับเรื่องนี้ได้ไหม?

มาเรีย – ได้สิ พระนางประจักษ์มาจริงในทุกวันนี้ที่เมดจูกอเรจ์ พระนางประจักษ์ทุกวันแก่เด็กกลุ่มหนึ่ง  ฉันเคยไปที่นั่นสามครั้ง  แต่อันที่จริงฉันไม่จำเป็นต้องไปที่นั่นเพื่อที่จะรู้ว่าเป็นเรื่องจริงหรือไม่หรอก  เพราะไม่นานหลังจากที่มีข่าวว่าพระนางประจักษ์มา  ในเดือนมกราคม 1981 ฉันได้ถามวิญญาณในไฟชำระถึงเรื่องนี้และเขาบอกฉันว่าเรื่องนี้เป็นความจริง คุณรู้ไหม  เกี่ยวกับเมดจูกอเรจ์นี้  มีอันตรายอยู่อย่างหนึ่งที่ใหญ่โตมาก  นั่นคือ การที่โลกไม่สนใจอย่างจริงจังในการประจักษ์ครั้งนี้

ตั้งแต่อายุ 7 ขวบ  มาเรียเริ่มรู้สึกว่าได้รับกระแสเรียกให้ช่วยเหลือผู้อื่นด้วยการสวดภาวนาและการทำพลีกรรมเหมือนกับบรรดานักบวช และด้วยเหตุนี้เธอจึงบอกแม่ของเธอว่าจะไม่แต่งงาน  แม่ของเธอตอบว่า “เอาไว้ลูกอายุ 20 ปีก่อนแล้วค่อยมาพิจารณาเรื่องนี้” มาเรียตอบว่า “ลูกรู้สึกภายในใจอย่างหนักแน่นว่า ลูกจะต้องเข้าอารามหรือไม่ก็ทำงานที่ไหนสักแห่งในโลกนี้ที่ลูกจะสามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้”

ตามที่มาเรียเล่าให้ฟัง  สิ่งที่วิญญาณในไฟชำระต่อว่าเป็นอย่างยิ่งก็คือ – “การที่คนที่พวกเขารักบนโลกทอดทิ้งพวกเขา”  พวกเขาถูกลืมอย่างสิ้นเชิงจากคนในครอบครัวและบุคคลที่เขารัก  เขาได้รับคำภาวนาเพียงเล็กน้อย  แม้แต่ในเวลาฝังศพของพวกเขา!  คำภาวนาอุทิศให้เป็นสิ่งที่พวกเขาต้องการมากที่สุด  โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือการขอมิสซาอุทิศให้พวกเขา  การจัดงานเลี้ยงเพื่อรำลึกถึงหรือการเก็บรูปภาพไว้ ไม่ได้ช่วยปลดปล่อยพวกเขาออกจากไฟชำระได้เลย

ได้รับการเยี่ยมเยือนจากวิญญาณในไฟชำระ

ในปี 1940 วิญญาณที่ศักดิ์สิทธิ์องค์หนึ่ง (วิญญาณที่ใกล้จะได้ออกจากไฟชำระ) ได้มาเยี่ยมมาเรียเป็นครั้งแรก  เวลานั้นมาเรียอายุ 25 ปี  วิญญาณศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นผู้ชาย ได้ปรากฏแก่เธอในนิมิตของคืนวันหนึ่ง  เขาเดินกลับไปกลับมาในห้องนอนของเธอ  มาเรียรู้สึกตัวและถามเขาว่า “คุณเป็นใคร?” แต่ไม่ได้รับคำตอบ  เธอจึงลุกจากเตียงและพยายามไปจับตัวเขาไว้พูดว่า “คุณเข้ามาในห้องนี้ได้อย่างไร? ไปให้พ้น”  วิญญาณนั้นไม่ตอบอะไร เมื่อมาเรียจะเข้าไปจับตัว  เขาก็หายไป  แต่เมื่อมาเรียกลับไปที่เตียงเพื่อจะนอนต่อ  วิญญาณนั้นก็ปรากฏมาอีก  เดินกลับไปกลับมาอีกครั้ง  มาเรียประหลาดใจมากว่าทำไมจึงสามารถมองเห็นวิญญาณนี้ได้  แต่เธอไม่พูดอะไรหรือเข้าไปสัมผัสตัวเขา  เธอคิดในใจกับตัวเองว่า “ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามอย่าเข้ามาใกล้ฉันก็แล้วกัน”  มาเรียจ้องมองเขาสักพักใหญ่  แล้วเขาก็หายไป  มาเรียตื่นอยู่ตลอดคืนเฝ้าคิดคำนึงว่าเหตุการณ์นี้มีความหมายว่าอะไร

วันรุ่งขึ้นเธอไปพบกับพระสงฆ์ผู้อภิบาลของโบสถ์ คุณพ่ออัลฟอง  แมท Fr. Alfons Matt เล่าเรื่องที่เกิดขึ้นให้ฟัง  คุณพ่อพูดว่า “นี่อาจเป็นวิญญาณที่มาจากไฟชำระก็ได้  ถ้ามีเหตุการณ์เกิดขึ้นอีก  อย่าพูดว่า “คุณเป็นใคร?”  แต่ให้พูดว่า “คุณต้องการอะไรจากฉัน?”

คืนต่อมาชายผู้นั้นก็ปรากฏตัวขึ้นอีก  เขาเดินกลับไปกลับมาเหมือนเดิมอีกครั้ง  คราวนี้มาเรียถามเขาว่า “คุณต้องการอะไรจากฉัน?” ชายคนนั้นหยุดเดินทันทีหันหน้ามาหามาเรียและตอบว่า “โปรดขอมิสซาอุทิศแก่ผมสามมิสซาแล้วผมจะได้รับการปลดปล่อย” แล้วเขาก็หายไปอย่างรวดเร็ว  มาเรียเล่าว่า “นั่นทำให้ฉันรู้ว่าเขาเป็นวิญญาณในไฟชำระ”  วันรุ่งขึ้นมาเรียไปพบกับพระสงฆ์อีกและเล่าเรื่องให้ท่านฟัง  คุณพ่ออัลฟองยังแนะนำให้มาเรียพยายามหาวิธีที่จะช่วยเหลือวิญญาณทุกดวงที่อาจมาหาเธอด้วย

มีวิญญาณอีกมากมายจากไฟชำระได้มาหามาเรียและขอคำภาวนาและการพลีกรรมอุทิศแก่พวกเขา  นั่นเป็นการเริ่มต้นของภารกิจของมาเรียในการช่วยเหลือวิญญาณในไฟชำระ  ในปีแรกๆจะมีวิญญาณเพียง 2 หรือ 3 ดวงเท่านั้นที่มาหามาเรีย  แต่เมื่อเวลาผ่านไปวิญญาณจำนวนมากขี้นได้มาหาเธอ

อย่างไรก็ดี ต้องเข้าใจก่อนว่า มาเรียไม่ได้แสวงหาหรือต้องการการเยี่ยมเยือนของวิญญาณในไฟชำระ  เธอไม่เคยเชื้อเชิญวิญญาณเหล่านั้น  วิญญาณเหล่านั้นมาหาเธอเอง  อันที่จริงวิญญาณในไฟชำระได้บอกเธอว่า พระเป็นเจ้าผู้มีพระทัยเมตตายิ่งใหญ่ทรงอนุญาตให้พวกเขามาหาเธอเพื่อขอคำภาวนาและการพลีกรรมอุทิศให้จากเธอ เพื่อที่ระยะเวลาในไฟชำระของพวกเขาจะได้ลดน้อยลง

ในการสัมภาษณ์มาเรียโดยซิสเตอร์เอมมานูแอลครั้งหนึ่ง  มาเรียพูดไว้ดังนี้

ซิสเตอร์ – มีความแตกต่างอย่างไรระหว่างการติดต่อกับวิญญาณผู้ตายของคุณ  กับการติดต่อกับวิญญาณผู้ตายด้วยวิธีอื่น อาทิเช่น  การเข้าทรง หรือ ผีถ้วยแก้ว ฯลฯ?

มาเรีย – “ฉันไม่ได้เรียกวิญญาณให้มาหา  ฉันไม่ได้พยายามทำให้พวกเขามาหาฉัน  แต่การเข้าทรงหรือวิธีอื่นๆนั้น  พวกเขาพยายามเรียกวิญญาณให้มาหาพวกเขา  ความแตกต่างนี้ชัดเจนมากและต้องถือว่าเป็นเรื่องจริงจัง  ถ้าเพียงแต่คนเหล่านั้นจะเชื่อในสิ่งที่ฉันจะพูดนี้  นั่นคือ คนที่เข้าไปเกี่ยวข้องกับการติดต่อวิญญาณ ( เช่นการเรียกวิญญาณคนตาย  การเข้าทรง ฯลฯ)  และคิดว่าพวกเขาจะสามารถเรียกวิญญาณคนตายให้มาหาได้  และถ้ามีการตอบสนองการเรียกของพวกเขาแล้ว  เป็นที่แน่นอนทีเดียวว่า เป็นซาตานและพรรคพวกของมันที่ตอบสนองพวกเขา  คนที่ทำเรื่องติดต่อวิญญาณนี้ (คนทรงเจ้า พ่อมดหมอผี การใช้อุปกรณ์บางอย่าง ) ได้ทำสิ่งที่เป็นอันตรายมากต่อตนเองและต่อคนที่มาขอให้พวกเขาทำ  พวกเขาเป็นคนมดเท็จ  มันเป็นสิ่งต้องห้าม ต้องห้ามอย่างเข้มงวดในการเรียกวิญญาณของคนตายให้มาหา  สำหรับฉันแล้ว  ฉันไม่เคยทำเช่นนั้น ฉันไม่ทำและจะไม่ทำเด็ดขาด”

------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น