วันพุธที่ 12 เมษายน พ.ศ. 2560

สัปดาห์ศักดิ์สิทธิ์


ใกล้ถึงวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ อันเป็นวันสำคัญที่สุดในพระศาสนจักรที่เราระลึกถึงพระมหาทรมานของพระเยซูเจ้า  มีภาพนิมิตที่เปิดเผยแก่ อันนา คัทริน อัมเมอริก แม่ชีชาวเยอรมนี เธอเห็นภาพเหมือนภาพยนตร์เกี่ยวกับพระมหาทรมานของพระเยซูเจ้า  อันนา อัมเมอริกมีชื่อเสียงในด้านการได้รับพระพรพิเศษจากสวรรค์ โดยเฉพาะในเรื่องที่เธอเห็นนิมิตเกี่ยวกับชีวประวัติของพระเยซูเจ้าและแม่พระ และเธอได้บันทึกเล่าเรื่องนิมิตที่เธอเห็นไว้เป็นหนังสือชื่อ The Dolorous Passion of Our Lord Jesus Christ , Life of the Blessed Virgin Mary, and Mary Magdalen

จากเรื่องราวในสมุดบันทึกของอันนา อัมเมอริกได้นำเราเข้าสู่ประวัติศาสตร์ในยุคสมัยของพระคริสต์ที่มีรายละเอียดมากมาย  ภาพยนตร์ The Passion of Christ ที่สร้างโดยเมล กิบสัน ก็นำรายละเอียดจากหนังสือของอันนามาสร้างเป็นภาพยนตร์ และจากรายละเอียดหนังสือของอันนานี้เช่นกันที่ทำให้ได้ค้นพบบ้านของแม่พระที่เอเฟซัส ในตุรกี

หนังสือของอันนา อัมเมอริกช่วยให้เราได้รู้อย่างลึกซึ้งมากขึ้นเกี่ยวกับช่วงวาระสุดท้ายของพระเยซูเจ้า ตั้งแต่การเลี้ยงอาหารค่ำมื้อสุดท้ายไปจนถึงการกลับฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูเจ้า

นี่เป็นเรื่องของการจินตนาการไปเองหรือ? หรือว่าอันนา อัมเมอริก ได้เห็นนิมิตที่เป็นจริง? เป็นเรื่องยากที่จะรู้ได้แน่ชัด แต่เมื่อพิจารณาถึงการค้นพบบ้านของแม่พระในเอเฟซัสโดยอาศัยรายละเอียดจากหนังสือของอันนา อัมเมอริก  ก็อาจเป็นข้อพิสูจน์ได้อย่างหนึ่งถึงนิมิตของเธอ ผู้ที่ต้องการศึกษาเรื่องนี้อาจเข้าไปหาข้อมูลได้จากเว็ปไซต์  http://www.midwestaugustinians.org/saintsc_annemmerich.html, devoted to her.

การเลี้ยงอาหารค่ำมื้อสุดท้าย

ให้เราเริ่มจากการเลี้ยงอาหารค่ำมื้อสุดท้าย (วันพฤหัสศักดิ์สิทธิ์) อัมเมอริกเล่าว่า การเลี้ยงอาหารจัดขึ้นที่บ้านของชายที่ชื่อเฮลี Heli ครั้งหนึ่งในอดีตบ้านของเขาเคยถูกใช้เป็นที่เก็บรักษาหีบแห่งพันธสัญญาด้วย  เฮลีเป็นน้องเขยของซาคาเรียแห่งเฮบรอน บ้านของเขาตั้งอยู่ทางตอนใต้ของภูเขาซีออนซึ่งอยู่ไม่ไกลจากปราสาทของกษัตริย์ดาวิด “ห้องที่จัดงานเลี้ยงเป็นห้องโถงที่อยู่กลางบ้าน” อันนาบรรยายไว้ “ห้องมีความยาวมากและมีเสาเรียงเป็นแนวรอบห้อง  กำแพงถูกตกแต่งสำหรับงานเลี้ยง มีพรมที่สวยงามปูอยู่ที่พื้นห้อง เพดานห้องมีช่องรับแสงและมีกระจกสีฟ้าปิดไว้

ที่กำแพงมีตู้เก็บถ้วยชามที่คล้ายกับตู้ศีลในสมัยนี้ และภาชนะที่ใช้ในงานถูกเก็บไว้ในตู้นี้  และต่อมาตู้นี้ได้เป็นที่เก็บศีลศักดิ์สิทธิ์ในภายหลัง

“จอกกาลิกษ์ศักดิ์สิทธิ์วางอยู่บนจานใบหนึ่ง มีถ้วยแก้วหกใบวางล้อมรอบจอกกาลิกษ์ ในจอกกาลิกษ์ยังบรรจุภาชนะที่เล็กกว่าไว้ด้วย และมีจานกลมวางปิดทับไว้ด้านบน  มีช้อนอันหนึ่งวางอยู่ที่ใต้จอกกาลิกษ์เพื่อที่มันอาจจะถูกนำมาใช้  ภาชนะทุกอย่างถูกคลุมด้วยผ้าลินินเนื้อละเอียดอย่างดี”

 “จอกกาลิกษ์ มีรูปทรงเหมือนผลแพร์ สีดำและขัดเงามันวาว มีการประดับด้วยทองคำและมีหูจับสองอันสำหรับยก ที่ฐานทำด้วยทองคำบริสุทธิ์และประดับเป็นรูปผลองุ่นด้วยอัญมณีที่มีค่า”

อันนาบรรยายว่า จอกกาลิกษ์นี้ต่อมาได้ตกมาอยู่กับนักบุญยูดาและถูกวางไว้ในโบสถ์แห่งเยรูซาเล็ม – และจอกกาลิกษ์ยังคงอยู่ที่ไหนสักแห่งในเมืองนี้ “มันจะปรากฏให้เห็นอีกในวันใดวันหนึ่งในสภาพเดิมเหมือนเมื่อก่อน” เธอบรรยายต่อว่า “โบสถ์อื่นๆได้ครอบครองถ้วยแก้วใบเล็กๆที่วางอยู่รอบจากกาลิกษ์นี้ แก้วใบหนึ่งถูกนำไปที่อันติโอก อีกใบหนึ่งถูกนำไปที่เอเฟซัส  พวกมันอยู่ในความครอบครองของพระอัยกา ซึ่งจะถูกใช้ในพิธีกรรมเพื่อการอวยพร ฉันได้เห็นแก้วเหล่านี้หลายครั้ง” เธอบรรยายไว้

อันนาเล่าว่า แม้ตั้งแต่ก่อนสมัยที่พระเยซูเจ้าจะทรงใช้จอกกาลิกษ์  จอกกาลิกษ์นี้ก็เป็นสิ่งที่มีค่าที่เป็นมรดกตกทอดมายังรุ่นลูกหลานหลายรุ่น ตั้งแต่สมัยของอับราฮัมเป็นต้นมา  อันนาเล่าอีกว่า จอกกาลิกษ์ยังเคยถูกเก็บรักษาไว้ในเรือของโนอาห์ด้วย

อันนา อัมเมอริกได้เห็นนิมิตเรื่องราวต่างๆในพระคัมภีร์ตั้งแต่สมัยพระเจ้าทรงสร้างโลก  เธอเห็นนิมิตเหล่านี้ตั้งแต่เธอยังเป็นเด็ก บางครั้งเธอจะเห็นนิมิตเป็นเวลานานนับชั่วโมง นอกจากนี้เธอยังได้รับรอยแผลที่มือและรอยแผลของมงกุฎหนามที่บริเวณหน้าผากของเธอ

“บุตรชายของซีเมออนเป็นผู้จัดเตรียมเนื้อแกะ เขาใช้แกะทั้งตัว  มัดขาหน้าของมันติดกับไม้  ยืดตัวของมันออกและมัดขาหลังของมันเข้ากับไม้ที่เป็นรูปกางเขน อยู่ในลักษณะเช่นเดียวกับที่พระเยซูเจ้าทรงอยู่บนไม้กางเขน แล้วนำไปวางไว้บนเตาย่างพร้อมกับแกะอีกสามตัวที่นำมาจากพระวิหาร”

ส่วนการแต่งกายของบรรดาศิษย์  พวกเขาสวมเสื้อในยาวสีขาวและมีเสื้อคลุมทับ  สำหรับโต๊ะที่จัดเลี้ยงนั้นเป็นโต๊ะแคบๆรูปร่างคล้ายเกือกม้า “ด้านตรงข้ามกับพระเยซูเจ้า คือส่วนที่อยู่ด้านในของเกือกม้าที่เป็นรูปครึ่งวงกลม  มีพื้นที่ว่างบนโต๊ะพอที่จะวางจานได้”

อันนาเขียนว่า “ตามที่ฉันจำได้  ยอห์น ยูดา(องค์ใหญ่) และยูดา(องค์เล็ก) นั่งฝั่งขวาของพระเยซูเจ้า  ต่อจากพวกเขาเป็นบาร์โทโลมิว  ต่อมาทางด้านกลมของโต๊ะเป็นโทมัสและยูดาส อิสคารีอ๊อต  เปโตร  แอนดรู และทัดเดียส นั่งอยู่ฝั่งซ้ายของพระเยซูเจ้า ต่อมาเป็นซีโมน  มัททิว และฟิลิป”

การเลี้ยงปาสกา มีอาหารเป็นผักสีเขียววางบนจาน จานอีกใบหนึ่งเป็นผักประเภทสมุนไพร นอกจากนี้ก็มีเครื่องปรุงซอสสีน้ำตาลด้วย  ข้างหน้าของแขกจะมีขนมปังกลมวางอยู่แทนที่จะเป็นจาน”

อันนาได้บรรยายถึงลักษณะการสวดภาวนาของพระเยซูเจ้า  และการที่ทรงสอนถึงพิธีกรรมมิสซาครั้งแรกนี้แก่บรรดาศิษย์  เธอบรรยายการล้างมือและการร้องเพลงสวดของพวกเขา

“พระพักตร์ขององค์พระผู้ไถ่มีความสงบอย่างที่สุดซึ่งไม่อาจบรรยายได้ และฉันไม่เคยเห็นพระองค์ในลักษณะเช่นนี้มาก่อนเลย  พระองค์ทรงทำให้บรรดาศิษย์ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง พระนางพรหมจารีย์ก็เช่นเดียวกัน ขณะที่ทรงประทับบนโต๊ะ (อีกห้องหนึ่ง)พร้อมกับพวกผู้หญิง ทุกคนพากันเงียบและอยู่ในความสงบ  เมื่อมีผู้หญิงเข้ามาในห้อง เธอจะใช้มือดึงผ้าคลุมปิดศีรษะและกล่าวทักทาย  การเคลื่อนไหวจะเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและสงบเงียบ”

เมื่อถึงเวลาสำคัญของการตั้งศีลมหาสนิท  อันนา อัมเมอริก เล่าสิ่งที่เธอเห็นในนิมิต จุดกำเนิดของพิธีกรรมของมิสซา เธอเล่าว่า “แล้วพระเยซูเจ้าทรงดึงเอาแผ่นไม้แผ่นหนึ่งมาจากที่ตั้งของมัน ทรงเปิดผ้าลินินที่คลุมจอกกาลิกษ์อยู่  ทรงแผ่ผ้าลินินบนแผ่นไม้  ฉันเห็นพระองค์ทรงยกจานกลมที่ปิดจอกกาลิกษ์อยู่ออก  แล้วพระองค์ทรงหยิบขนมปังไร้เชื้อที่อยู่ใต้ผ้าลินินซึ่งคลุมอยู่ ทรงวางขนมปังนั้นไว้เบื้องหน้าพระองค์บนแผ่นไม้  ต่อมาพระองค์ทรงนำเอาภาชนะเล็กๆที่อยู่บนจอกกาลิกษ์ออกไป  และจัดเรียงถ้วยแก้วเล็กๆหกใบไว้ด้านข้างแต่ละข้างของจอกกาลิกษ์  แล้วพระองค์ทรงอวยพรขนมปังและอวยพรน้ำมันด้วย หลังจากนั้นพระองค์ยกจานซึ่งมีขนมปังวางอยู่ขึ้นด้วยสองมือของพระองค์ ทรงเงยพระพักตร์สวดภาวนา ถวาย และวางจานขนมปังไว้บนโต๊ะ แล้วเอาผ้าลินินมาปิดไว้ดังเดิม”

อันนาบรรยายว่า “ขณะที่พระองค์ทรงหักขนมปัง  ดูราวกับว่าพระกายของพระองค์เปลี่ยนไป เกือบจะโปร่งใสเหมือนกับ “เงาที่สว่างโชติช่วง” พระองค์ทรงนำส่วนของขนมปังที่บิออกจุ่มลงในจอกกาลิกษ์ (ตามที่มีเขียนไว้ในพระวรสาร)  ขณะที่พระองค์ทรงทำเช่นนี้  ฉันเห็นพระแม่มารีย์ซึ่งอยู่อีกห้องหนึ่งทรงรับศีลศักดิ์สิทธิ์นี้ทางด้านจิตวิญญาณ  ฉันไม่รู้ว่าพระนางทรงทำได้อย่างไร? แต่ฉันคิดว่า ฉันเห็นพระนางทรงเข้าไปในห้องงานเลี้ยงโดยที่เท้าไม่ได้สัมผัสพื้นห้อง  และทรงมาอยู่เบื้องพระพักตร์พระเยซูเจ้าเพื่อรับศีลศักดิ์สิทธิ์นี้ ภายหลังจากนั้นฉันก็ไม่เห็นพระนางอีกเลย”

เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสว่า “จงนำไปกินเถิด นี่คือกายของเรา” พระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์ขวาออกไปข้างหน้าราวกับว่าพระองค์ทรงอวยพระพร และขณะที่พระองค์ทรงทำเช่นนี้ มีแสงสว่างเจิดจรัสออกมาจากพระองค์”


เหมือนกับเป็นขนมปังที่ส่องแสงเจิดจรัส

“ผู้ที่รับศีลศักดิ์สิทธิ์เป็นคนแรกคือเปโตร” อันนาบรรยาย “ต่อมาคือยอห์น (แม้ว่าในภายหลังเธอเล่าว่า เธอเห็นยอห์นรับศีลเป็นคนสุดท้าย นี่เป็นการเปิดเผยที่ไม่สมบูรณ์แบบเท่าไรนัก )  พระคริสต์ทรงแสดงพระองค์และสถาปนาพระศาสนจักรด้วยวิธีการที่เหลือเชื่อเช่นนี้

ไม่แต่เพียงการสถาปนาศีลมหาสนิทเท่านั้น  พระเยซูเจ้ายังทรงทำการบวชพระสงฆ์ครั้งแรกด้วย  ตามคำบอกเล่าของอัมเมอริก  พระเยซูเจ้าทรงอธิบายเกี่ยวกับสังฆภาพของพระสงฆ์แก่บรรดาศิษย์ ทรงอธิบายถึงการเจิมน้ำมันและการเตรียมน้ำมันศักดิ์สิทธิ์ด้วย  ซึ่งสอดคล้องกับข้อเขียนของพระสันตปาปาเฟเบียนที่กล่าวว่า – พระเยซูเจ้าทรงสอนบรรดาศิษย์ของพระองค์ถึงวิธีการเตรียมน้ำมันศักดิ์สิทธิ์

“ฉันจำไม่ได้ว่าได้เห็นพระเยซูเจ้าทรงกินและดื่มสิ่งที่ทรงเสกหรือไม่”อัมเมอริกเล่า ภายหลังจากนั้นก็เป็นการบวชพระสงฆ์ “ฉันเห็นพระเยซูเจ้าทรงเจิมน้ำมันให้เปโตรและยอห์น ทรงเทน้ำลงบนมือของพวกเขา และอัครสาวกอีกสองคน พระองค์ทรงให้พวกเขาดื่มจากจอกกาลิกษ์  แล้วพระองค์ทรงวางพระหัตถ์บนบ่าและศีรษะของพวกเขา  บรรดาอัครสาวกทั้งหมดต่างจับมือต่อๆกันและก้มศีรษะคำนับพระเยซูเจ้า  ฉันไม่แน่ใจว่าพวกเขาได้คุกเข่าลงด้วยหรือเปล่า?  พระเยซูเจ้าทรงเจิมน้ำมันที่นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ของแต่ละคน และทรงทำเครื่องหมายกางเขนบนศีรษะของพวกเขาด้วยน้ำมันศักดิ์สิทธิ์ พระองค์ตรัสด้วยว่าสิ่งเหล่านี้จะคงอยู่กับพวกเขาไปจวบจนสิ้นโลก”

ตามการบอกเล่าของอัมเมอริก ยูดา (องค์เล็ก) แอนดรู ยูดา (องค์ใหญ่) และบาร์โทโลมิวได้รับการเจิมด้วย สิ่งที่พวกเขาได้รับและสัมผัสได้นั้นเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติซึ่งไม่อาจพรรณาได้  ต่อมาในวันพระจิตเสด็จลงมา เปโตรและยอห์นได้วางมือของเขาบนศีรษะอัครสาวกคนอื่นๆ  อีกสัปดาห์ต่อมาพวกเขาก็ได้วางมือบนศีรษะบรรดาศิษย์คนอื่นๆด้วย  หลังจากการกลับคืนพระชนม์ของพระเยซูเจ้าแล้ว  ยอห์นเป็นผู้ส่งศีลมหาสนิทให้แก่พระแม่มารีย์

อันนา อัมเมอริกเล่าต่อไปว่า  พระเยซูเจ้าทรงทำพิธีต่อไปด้วยการอวยพรไฟซึ่งอยู่ในภาชนะทองแดง  ภาชนะนั้นถูกเก็บรักษาไว้โดยวางอยู่ใกล้ๆกับจุดที่พระองค์ทรงวางศีลศักดิ์สิทธิ์

อันนา อัมเมอริกเล่าต่อไป หลังจากการเลี้ยงอาหารค่ำนี้แล้ว  พระเยซูเจ้าเสด็จไปที่สวนเก็ธเซเมนี ทรงโศกเศร้าเจียนตายและนี่เป็นการถูกตรึงกางเขนฝ่ายจิตใจของพระองค์

---------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น