ใกล้ถึงวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์
อันเป็นวันสำคัญที่สุดในพระศาสนจักรที่เราระลึกถึงพระมหาทรมานของพระเยซูเจ้า มีภาพนิมิตที่เปิดเผยแก่ อันนา คัทริน
อัมเมอริก แม่ชีชาวเยอรมนี เธอเห็นภาพเหมือนภาพยนตร์เกี่ยวกับพระมหาทรมานของพระเยซูเจ้า อันนา อัมเมอริกมีชื่อเสียงในด้านการได้รับพระพรพิเศษจากสวรรค์
โดยเฉพาะในเรื่องที่เธอเห็นนิมิตเกี่ยวกับชีวประวัติของพระเยซูเจ้าและแม่พระ
และเธอได้บันทึกเล่าเรื่องนิมิตที่เธอเห็นไว้เป็นหนังสือชื่อ The Dolorous Passion of Our Lord Jesus Christ , Life of the Blessed Virgin Mary, and Mary Magdalen
จากเรื่องราวในสมุดบันทึกของอันนา อัมเมอริกได้นำเราเข้าสู่ประวัติศาสตร์ในยุคสมัยของพระคริสต์ที่มีรายละเอียดมากมาย ภาพยนตร์ The Passion of Christ ที่สร้างโดยเมล กิบสัน
ก็นำรายละเอียดจากหนังสือของอันนามาสร้างเป็นภาพยนตร์ และจากรายละเอียดหนังสือของอันนานี้เช่นกันที่ทำให้ได้ค้นพบบ้านของแม่พระที่เอเฟซัส
ในตุรกี
หนังสือของอันนา อัมเมอริกช่วยให้เราได้รู้อย่างลึกซึ้งมากขึ้นเกี่ยวกับช่วงวาระสุดท้ายของพระเยซูเจ้า
ตั้งแต่การเลี้ยงอาหารค่ำมื้อสุดท้ายไปจนถึงการกลับฟื้นคืนพระชนม์ของพระเยซูเจ้า
นี่เป็นเรื่องของการจินตนาการไปเองหรือ?
หรือว่าอันนา อัมเมอริก ได้เห็นนิมิตที่เป็นจริง? เป็นเรื่องยากที่จะรู้ได้แน่ชัด
แต่เมื่อพิจารณาถึงการค้นพบบ้านของแม่พระในเอเฟซัสโดยอาศัยรายละเอียดจากหนังสือของอันนา
อัมเมอริก ก็อาจเป็นข้อพิสูจน์ได้อย่างหนึ่งถึงนิมิตของเธอ
ผู้ที่ต้องการศึกษาเรื่องนี้อาจเข้าไปหาข้อมูลได้จากเว็ปไซต์ http://www.midwestaugustinians.org/saintsc_annemmerich.html,
devoted to her.
การเลี้ยงอาหารค่ำมื้อสุดท้าย
ให้เราเริ่มจากการเลี้ยงอาหารค่ำมื้อสุดท้าย
(วันพฤหัสศักดิ์สิทธิ์) อัมเมอริกเล่าว่า การเลี้ยงอาหารจัดขึ้นที่บ้านของชายที่ชื่อเฮลี
Heli ครั้งหนึ่งในอดีตบ้านของเขาเคยถูกใช้เป็นที่เก็บรักษาหีบแห่งพันธสัญญาด้วย เฮลีเป็นน้องเขยของซาคาเรียแห่งเฮบรอน
บ้านของเขาตั้งอยู่ทางตอนใต้ของภูเขาซีออนซึ่งอยู่ไม่ไกลจากปราสาทของกษัตริย์ดาวิด
“ห้องที่จัดงานเลี้ยงเป็นห้องโถงที่อยู่กลางบ้าน” อันนาบรรยายไว้
“ห้องมีความยาวมากและมีเสาเรียงเป็นแนวรอบห้อง
กำแพงถูกตกแต่งสำหรับงานเลี้ยง มีพรมที่สวยงามปูอยู่ที่พื้นห้อง
เพดานห้องมีช่องรับแสงและมีกระจกสีฟ้าปิดไว้
ที่กำแพงมีตู้เก็บถ้วยชามที่คล้ายกับตู้ศีลในสมัยนี้
และภาชนะที่ใช้ในงานถูกเก็บไว้ในตู้นี้
และต่อมาตู้นี้ได้เป็นที่เก็บศีลศักดิ์สิทธิ์ในภายหลัง
“จอกกาลิกษ์ศักดิ์สิทธิ์วางอยู่บนจานใบหนึ่ง
มีถ้วยแก้วหกใบวางล้อมรอบจอกกาลิกษ์ ในจอกกาลิกษ์ยังบรรจุภาชนะที่เล็กกว่าไว้ด้วย
และมีจานกลมวางปิดทับไว้ด้านบน มีช้อนอันหนึ่งวางอยู่ที่ใต้จอกกาลิกษ์เพื่อที่มันอาจจะถูกนำมาใช้ ภาชนะทุกอย่างถูกคลุมด้วยผ้าลินินเนื้อละเอียดอย่างดี”
“จอกกาลิกษ์ มีรูปทรงเหมือนผลแพร์
สีดำและขัดเงามันวาว มีการประดับด้วยทองคำและมีหูจับสองอันสำหรับยก ที่ฐานทำด้วยทองคำบริสุทธิ์และประดับเป็นรูปผลองุ่นด้วยอัญมณีที่มีค่า”
อันนาบรรยายว่า
จอกกาลิกษ์นี้ต่อมาได้ตกมาอยู่กับนักบุญยูดาและถูกวางไว้ในโบสถ์แห่งเยรูซาเล็ม –
และจอกกาลิกษ์ยังคงอยู่ที่ไหนสักแห่งในเมืองนี้ “มันจะปรากฏให้เห็นอีกในวันใดวันหนึ่งในสภาพเดิมเหมือนเมื่อก่อน”
เธอบรรยายต่อว่า “โบสถ์อื่นๆได้ครอบครองถ้วยแก้วใบเล็กๆที่วางอยู่รอบจากกาลิกษ์นี้
แก้วใบหนึ่งถูกนำไปที่อันติโอก อีกใบหนึ่งถูกนำไปที่เอเฟซัส พวกมันอยู่ในความครอบครองของพระอัยกา
ซึ่งจะถูกใช้ในพิธีกรรมเพื่อการอวยพร ฉันได้เห็นแก้วเหล่านี้หลายครั้ง”
เธอบรรยายไว้
อันนาเล่าว่า แม้ตั้งแต่ก่อนสมัยที่พระเยซูเจ้าจะทรงใช้จอกกาลิกษ์
จอกกาลิกษ์นี้ก็เป็นสิ่งที่มีค่าที่เป็นมรดกตกทอดมายังรุ่นลูกหลานหลายรุ่น
ตั้งแต่สมัยของอับราฮัมเป็นต้นมา อันนาเล่าอีกว่า
จอกกาลิกษ์ยังเคยถูกเก็บรักษาไว้ในเรือของโนอาห์ด้วย
อันนา
อัมเมอริกได้เห็นนิมิตเรื่องราวต่างๆในพระคัมภีร์ตั้งแต่สมัยพระเจ้าทรงสร้างโลก เธอเห็นนิมิตเหล่านี้ตั้งแต่เธอยังเป็นเด็ก
บางครั้งเธอจะเห็นนิมิตเป็นเวลานานนับชั่วโมง นอกจากนี้เธอยังได้รับรอยแผลที่มือและรอยแผลของมงกุฎหนามที่บริเวณหน้าผากของเธอ
“บุตรชายของซีเมออนเป็นผู้จัดเตรียมเนื้อแกะ
เขาใช้แกะทั้งตัว มัดขาหน้าของมันติดกับไม้
ยืดตัวของมันออกและมัดขาหลังของมันเข้ากับไม้ที่เป็นรูปกางเขน
อยู่ในลักษณะเช่นเดียวกับที่พระเยซูเจ้าทรงอยู่บนไม้กางเขน
แล้วนำไปวางไว้บนเตาย่างพร้อมกับแกะอีกสามตัวที่นำมาจากพระวิหาร”
ส่วนการแต่งกายของบรรดาศิษย์
พวกเขาสวมเสื้อในยาวสีขาวและมีเสื้อคลุมทับ สำหรับโต๊ะที่จัดเลี้ยงนั้นเป็นโต๊ะแคบๆรูปร่างคล้ายเกือกม้า
“ด้านตรงข้ามกับพระเยซูเจ้า
คือส่วนที่อยู่ด้านในของเกือกม้าที่เป็นรูปครึ่งวงกลม มีพื้นที่ว่างบนโต๊ะพอที่จะวางจานได้”
อันนาเขียนว่า
“ตามที่ฉันจำได้ ยอห์น ยูดา(องค์ใหญ่)
และยูดา(องค์เล็ก) นั่งฝั่งขวาของพระเยซูเจ้า
ต่อจากพวกเขาเป็นบาร์โทโลมิว
ต่อมาทางด้านกลมของโต๊ะเป็นโทมัสและยูดาส อิสคารีอ๊อต เปโตร
แอนดรู และทัดเดียส นั่งอยู่ฝั่งซ้ายของพระเยซูเจ้า ต่อมาเป็นซีโมน มัททิว และฟิลิป”
การเลี้ยงปาสกา มีอาหารเป็นผักสีเขียววางบนจาน
จานอีกใบหนึ่งเป็นผักประเภทสมุนไพร นอกจากนี้ก็มีเครื่องปรุงซอสสีน้ำตาลด้วย ข้างหน้าของแขกจะมีขนมปังกลมวางอยู่แทนที่จะเป็นจาน”
อันนาได้บรรยายถึงลักษณะการสวดภาวนาของพระเยซูเจ้า และการที่ทรงสอนถึงพิธีกรรมมิสซาครั้งแรกนี้แก่บรรดาศิษย์ เธอบรรยายการล้างมือและการร้องเพลงสวดของพวกเขา
“พระพักตร์ขององค์พระผู้ไถ่มีความสงบอย่างที่สุดซึ่งไม่อาจบรรยายได้
และฉันไม่เคยเห็นพระองค์ในลักษณะเช่นนี้มาก่อนเลย
พระองค์ทรงทำให้บรรดาศิษย์ลืมทุกสิ่งทุกอย่าง พระนางพรหมจารีย์ก็เช่นเดียวกัน
ขณะที่ทรงประทับบนโต๊ะ (อีกห้องหนึ่ง)พร้อมกับพวกผู้หญิง ทุกคนพากันเงียบและอยู่ในความสงบ เมื่อมีผู้หญิงเข้ามาในห้อง
เธอจะใช้มือดึงผ้าคลุมปิดศีรษะและกล่าวทักทาย การเคลื่อนไหวจะเต็มไปด้วยความอ่อนโยนและสงบเงียบ”
เมื่อถึงเวลาสำคัญของการตั้งศีลมหาสนิท อันนา อัมเมอริก เล่าสิ่งที่เธอเห็นในนิมิต จุดกำเนิดของพิธีกรรมของมิสซา
เธอเล่าว่า “แล้วพระเยซูเจ้าทรงดึงเอาแผ่นไม้แผ่นหนึ่งมาจากที่ตั้งของมัน ทรงเปิดผ้าลินินที่คลุมจอกกาลิกษ์อยู่ ทรงแผ่ผ้าลินินบนแผ่นไม้ ฉันเห็นพระองค์ทรงยกจานกลมที่ปิดจอกกาลิกษ์อยู่ออก
แล้วพระองค์ทรงหยิบขนมปังไร้เชื้อที่อยู่ใต้ผ้าลินินซึ่งคลุมอยู่ ทรงวางขนมปังนั้นไว้เบื้องหน้าพระองค์บนแผ่นไม้
ต่อมาพระองค์ทรงนำเอาภาชนะเล็กๆที่อยู่บนจอกกาลิกษ์ออกไป และจัดเรียงถ้วยแก้วเล็กๆหกใบไว้ด้านข้างแต่ละข้างของจอกกาลิกษ์ แล้วพระองค์ทรงอวยพรขนมปังและอวยพรน้ำมันด้วย
หลังจากนั้นพระองค์ยกจานซึ่งมีขนมปังวางอยู่ขึ้นด้วยสองมือของพระองค์
ทรงเงยพระพักตร์สวดภาวนา ถวาย และวางจานขนมปังไว้บนโต๊ะ
แล้วเอาผ้าลินินมาปิดไว้ดังเดิม”
อันนาบรรยายว่า “ขณะที่พระองค์ทรงหักขนมปัง ดูราวกับว่าพระกายของพระองค์เปลี่ยนไป เกือบจะโปร่งใสเหมือนกับ
“เงาที่สว่างโชติช่วง” พระองค์ทรงนำส่วนของขนมปังที่บิออกจุ่มลงในจอกกาลิกษ์
(ตามที่มีเขียนไว้ในพระวรสาร)
ขณะที่พระองค์ทรงทำเช่นนี้
ฉันเห็นพระแม่มารีย์ซึ่งอยู่อีกห้องหนึ่งทรงรับศีลศักดิ์สิทธิ์นี้ทางด้านจิตวิญญาณ ฉันไม่รู้ว่าพระนางทรงทำได้อย่างไร?
แต่ฉันคิดว่า
ฉันเห็นพระนางทรงเข้าไปในห้องงานเลี้ยงโดยที่เท้าไม่ได้สัมผัสพื้นห้อง
และทรงมาอยู่เบื้องพระพักตร์พระเยซูเจ้าเพื่อรับศีลศักดิ์สิทธิ์นี้
ภายหลังจากนั้นฉันก็ไม่เห็นพระนางอีกเลย”
เมื่อพระเยซูเจ้าตรัสว่า “จงนำไปกินเถิด
นี่คือกายของเรา” พระองค์ทรงยื่นพระหัตถ์ขวาออกไปข้างหน้าราวกับว่าพระองค์ทรงอวยพระพร
และขณะที่พระองค์ทรงทำเช่นนี้ มีแสงสว่างเจิดจรัสออกมาจากพระองค์”
เหมือนกับเป็นขนมปังที่ส่องแสงเจิดจรัส
“ผู้ที่รับศีลศักดิ์สิทธิ์เป็นคนแรกคือเปโตร”
อันนาบรรยาย “ต่อมาคือยอห์น (แม้ว่าในภายหลังเธอเล่าว่า
เธอเห็นยอห์นรับศีลเป็นคนสุดท้าย นี่เป็นการเปิดเผยที่ไม่สมบูรณ์แบบเท่าไรนัก
)
พระคริสต์ทรงแสดงพระองค์และสถาปนาพระศาสนจักรด้วยวิธีการที่เหลือเชื่อเช่นนี้
ไม่แต่เพียงการสถาปนาศีลมหาสนิทเท่านั้น
พระเยซูเจ้ายังทรงทำการบวชพระสงฆ์ครั้งแรกด้วย ตามคำบอกเล่าของอัมเมอริก พระเยซูเจ้าทรงอธิบายเกี่ยวกับสังฆภาพของพระสงฆ์แก่บรรดาศิษย์
ทรงอธิบายถึงการเจิมน้ำมันและการเตรียมน้ำมันศักดิ์สิทธิ์ด้วย
ซึ่งสอดคล้องกับข้อเขียนของพระสันตปาปาเฟเบียนที่กล่าวว่า –
พระเยซูเจ้าทรงสอนบรรดาศิษย์ของพระองค์ถึงวิธีการเตรียมน้ำมันศักดิ์สิทธิ์
“ฉันจำไม่ได้ว่าได้เห็นพระเยซูเจ้าทรงกินและดื่มสิ่งที่ทรงเสกหรือไม่”อัมเมอริกเล่า
ภายหลังจากนั้นก็เป็นการบวชพระสงฆ์
“ฉันเห็นพระเยซูเจ้าทรงเจิมน้ำมันให้เปโตรและยอห์น ทรงเทน้ำลงบนมือของพวกเขา และอัครสาวกอีกสองคน
พระองค์ทรงให้พวกเขาดื่มจากจอกกาลิกษ์
แล้วพระองค์ทรงวางพระหัตถ์บนบ่าและศีรษะของพวกเขา บรรดาอัครสาวกทั้งหมดต่างจับมือต่อๆกันและก้มศีรษะคำนับพระเยซูเจ้า
ฉันไม่แน่ใจว่าพวกเขาได้คุกเข่าลงด้วยหรือเปล่า?
พระเยซูเจ้าทรงเจิมน้ำมันที่นิ้วหัวแม่มือและนิ้วชี้ของแต่ละคน และทรงทำเครื่องหมายกางเขนบนศีรษะของพวกเขาด้วยน้ำมันศักดิ์สิทธิ์
พระองค์ตรัสด้วยว่าสิ่งเหล่านี้จะคงอยู่กับพวกเขาไปจวบจนสิ้นโลก”
ตามการบอกเล่าของอัมเมอริก ยูดา (องค์เล็ก)
แอนดรู ยูดา (องค์ใหญ่) และบาร์โทโลมิวได้รับการเจิมด้วย
สิ่งที่พวกเขาได้รับและสัมผัสได้นั้นเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติซึ่งไม่อาจพรรณาได้ ต่อมาในวันพระจิตเสด็จลงมา
เปโตรและยอห์นได้วางมือของเขาบนศีรษะอัครสาวกคนอื่นๆ อีกสัปดาห์ต่อมาพวกเขาก็ได้วางมือบนศีรษะบรรดาศิษย์คนอื่นๆด้วย
หลังจากการกลับคืนพระชนม์ของพระเยซูเจ้าแล้ว ยอห์นเป็นผู้ส่งศีลมหาสนิทให้แก่พระแม่มารีย์
อันนา อัมเมอริกเล่าต่อไปว่า
พระเยซูเจ้าทรงทำพิธีต่อไปด้วยการอวยพรไฟซึ่งอยู่ในภาชนะทองแดง ภาชนะนั้นถูกเก็บรักษาไว้โดยวางอยู่ใกล้ๆกับจุดที่พระองค์ทรงวางศีลศักดิ์สิทธิ์
อันนา อัมเมอริกเล่าต่อไป หลังจากการเลี้ยงอาหารค่ำนี้แล้ว พระเยซูเจ้าเสด็จไปที่สวนเก็ธเซเมนี
ทรงโศกเศร้าเจียนตายและนี่เป็นการถูกตรึงกางเขนฝ่ายจิตใจของพระองค์
---------------------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น