วันอาทิตย์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

สาส์นแห่งฟาติมา


 

โดย คุณพ่อ โทมัส แมคกลิน Fr. Thomas McGlynn

เราได้กลับไปที่โรงแรมที่ Oporto ในเย็นวันนั้นด้วยจิตใจที่สดชื่นแจ่มใส  ผู้คนในเมืองที่ผมเห็นจากรถไฟเมื่อเดินทางมาถึงนั้นกลับมาสู่สายตาผมอีกครั้งขณะที่เรากำลังเดินไปตามถนนที่เต็มไปด้วยร้านรวงของย่านจตุรัส Praça da Liberdade มันดูเหมือนผู้คนทั้งหมดของเมืองมาชุมนุมกันอยู่ ณ.ที่แห่งนี้  ตามถนนเจิ่งนองด้วยน้ำจากฝนที่กำลังตก ทำให้ร้านกาแฟ , ห้างสรรพสินค้า ร้านข้างทาง ต้องรองรับผู้คนที่พากันหลบฝน  เสียงแตรจากรถยนต์ใน Oporto ดูเหมือนจะทำให้ตื่นเต้นมากกว่าในเมืองหลวง Lisbon เสียอีก  ภาพเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกประทับใจในการมาเยี่ยม Irmã Dores ในครั้งนี้ (ซิสเตอร์ลูเซีย หนึ่งในเด็กสามคนที่เห็นแม่พระแห่งฟาติมา)

แผนการณ์การมาเยี่ยมครั้งนี้ให้ผลที่น่าสนใจและไม่เสียเปล่า Irmã Dores ชอบพระรูปและท่าทางของพระรูปที่ผมสร้างขึ้น  แต่ก็ยังจำเป็นต้องปรับปรุงให้ถูกต้อง  ผมวาดรูปส่วนปลีกย่อยที่ต้องแก้ไขสำหรับนำไปใช้ในการสร้างพระรูปองค์ใหม่  ผมต้องการให้แน่ใจว่าได้รับข้อมูลที่จำเป็นทุกอย่างสำหรับการสร้างต้นแบบพระรูปองค์ใหม่นั้น  ความจริงผมน่าจะนำดินเหนียวและอุปกรณ์สำหรับสร้างงานนี้มาด้วย แต่ผมไม่คาดคิดว่าพระรูปตัวอย่างที่ผมนำมาจะห่างไกลจากความเป็นจริงจากภาพนิมิตเป็นอย่างมากเช่นนี้

หลังจากเสร็จสิ้นอาหารเย็นที่คุณพ่อการ์ดินเนอร์เป็นผู้เชิญ  ก็มีมิสเตอร์โรนัลด์ ซิมมิงตันได้มาหาที่โรงแรม  เขาเป็นผู้ที่ศรัทธาต่อแม่พระแห่งฟาติมาเป็นอย่างมาก  เขาได้อาสาสมัครช่วยเหลือผู้เจ็บป่วยที่มาแสวงบุญที่โควา ดา อีเรีย มานานหลายปี   เขาสนใจในรายละเอียดการมาเยี่ยมของเราครั้งนี้  คุณพ่อการ์ดินเนอร์ได้กล่าวชมเชย Irmã Dores  ท่านบอกว่าแม่พระทรงเลือกผู้ที่เหมาะสมแล้วให้เห็นและสนทนากับพระนาง  ดังที่เรารู้สึกได้จากคำตอบที่เรียบง่ายและชัดเจนของเธอ จากลักษณะที่มีความมั่นใจและจากบุคคลิกที่เข้มแข็งของเธอ

ผมถามมิสเตอร์ซิมมิงตันเกี่ยวกับอัศจรรย์ที่ฟาติมา  เขาบอกผมว่าเขาอยู่ใกล้กับ มาเรีย ดา ซิลวา มากเมื่อตอนที่เธอได้รับการรักษาให้หาย  เธอเป็นผู้หนึ่งที่คุณพ่อการ์ดินเนอร์ได้ไปพบมาแล้ว  มิสเตอร์ซิมมิงตันยืนยันว่า เธอมี “อาการร่อแร่”ใกล้ตายแล้ว  แต่เมื่อศีลมหาสนิทได้ผ่านหน้าเธอไป  เธอก็ลุกขึ้นยืนได้ทันที

แล้วเขาก็เล่าให้ฟังเกี่ยวกับหญิงผู้หนึ่งที่เขาช่วยแบกหามไปที่บริเวณของคนเจ็บป่วยในวันเดียวกันนั้น  คนที่มากับหญิงผู้นั้นกล่าวขอโทษแทนเธอที่ไม่ขอบคุณเขาและบอกกับเขาว่าเธอเป็นใบ้พูดไม่ได้  ขณะที่พระรูปแม่พระผ่านหน้าหญิงผู้นั้น  เธอก็เดินไปพร้อมกับผู้คนและร้องเพลงสรรเสริญตามไปด้วย  มิสเตอร์ซิมมิงตันรีบอธิบายต่อว่า “แน่นอน นี่อาจไม่ใช่อัศจรรย์ในมุมมองของการแพทย์”  เขาบอกว่าในวันนั้น  วันที่ 13 พ.ค. 1946 มีประชาชนที่นั่นราว 700,000 คน “มีการส่งศีลมหาสนิทมากมายอย่างน่าประหลาดใจ ผมช่วยในการส่งศีลไปเรื่อยๆ คนแล้วคนเล่า  มีคนประมาณ 130,000 คนที่ไปรับศีลมหาสนิท”

รูปของคุณพ่อแมคกลิน กับ พระรูปสุดท้ายที่สร้างเสร็จ

มิสเตอร์ซิมมิงตันได้ช่วยแก้ปัญหาบางส่วนของผมเกี่ยวกับพระรูปด้วยการเสนอห้องทำงานแก่ผมในบ้านของเขา  เขาบอกว่าที่บ้านของเขามีพื้นที่ว่างสำหรับทำงานสร้างพระรูปองค์ใหม่ได้ – ถ้าผมต้องการ  ผมจำเป็นต้องจัดหาวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นเพื่อใช้ทำงานนี้ตามแผนการณ์ของผม  การสร้างพระรูปดูเหมือนจะเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ผมบรรลุจุดประสงค์ในการมาที่โปรตุเกสนี้  ผมตัดสินใจที่จะอยู่ที่นี่ต่อ  เราได้ไปพบกับ Irmã Dores และ Mother Corte Real อีกครั้งในวันรุ่งขึ้น  ผมได้บอกกับคุณแม่อธิการว่า ผมตัดสินใจที่จะสร้างพระรูปองค์ใหม่

            “คุณพ่อคะ ทำไมคุณพ่อไม่พักและทำงานอยู่ที่นี่ล่ะคะ?” คุณแม่อธิการพูด

            ผมอยากจะตอบว่า “คุณแม่ครับ ผมไม่อยากจะรบกวน?”  แต่แทนที่จะตอบเช่นนั้นผมกลับตอบว่าข้อเสนอของคุณแม่เป็นสิ่งที่ดีมาก  และผมยอมรับด้วยความขอบคุณ

            คุณแม่อธิการให้ความมั่นใจกับผมว่ามีห้องว่างหลายห้อง  ยกเว้นห้องพักพระสงฆ์ซึ่งเต็มหมดแล้ว  แต่พื้นที่ใช้สอยเป็นเรื่องเล็กสำหรับงานนี้  ผมต้องการสถานที่ไม่ต้องใหญ่โตมากนักสำหรับทำงานได้อย่างอิสระ

            Irmã Dores รออย่างอดทนเพื่อที่จะตอบคำถาม  เธอรู้สึกผ่อนคลายมากกว่าเมื่อวานนี้  ผมกำลังจะถามเธอเกี่ยวกับเนื้อหาสาระของการเผยแสดงที่แม่พระทรงประทานแก่เธอ  และผมต้องการให้เธอรู้และมั่นใจว่าผมมีความเคารพต่อเธอในการสอบถามเรื่องราวนั้น

ผมพูดกับคุณแม่อธิการว่า “ถึงแม้ว่าผมจะมีความอยากรู้อยากเห็นเหมือนกับคนอื่นๆเกี่ยวกับสิ่งที่เธอได้รับการไขแสดงให้รู้  ผมขอให้คุณแม่ช่วยบอกซิสเตอร์ด้วยว่าผมจะไม่ถามคำถามใดๆที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องความดีของวิญญาณ”

คุณแม่อธิการตอบว่า “Irmã Dores ทราบเรื่องนั้นดีอยู่แล้วค่ะ  เธอเฉลียวฉลาดมาก”

มีการแปลความหมายของสาส์นแห่งฟาติมาไปหลายอย่างและหลากหลาย  ความคิดพื้นฐานโดยทั่วไปอาจพบได้จากสาส์นก็คือ  การสำนึกผิด  การทำพลีกรรม  การสวดสายประคำ ความศรัทธาต่อดวงหทัยนิรมลของแม่พระ โทษทัณฑ์ของสงคราม ความหวังในสันติภาพและการกลับใจของประเทศรัสเซีย  ผู้เขียนหนังสือแต่ละคนก็ให้ความคิดเห็นคนละแบบแตกต่างกัน  บัดนี้ผมต้องการให้ความคิดเห็นเหล่านั้นกระจ่างชัดขึ้นจากบุคคลที่ได้รับสาส์นนี้โดยตรงซึ่งถูกประทานแก่โลกที่ฟาติมา

สิ่งสำคัญอันดับแรกก็คือแรงจูงใจของการประจักษ์  ผมถาม Irmã Dores ให้อธิบายถึงแรงจูงใจนี้ออกมาเป็นคำพูด

            เธอตอบว่า “การกลับใจของคนบาป  และการที่วิญญาณหันกลับมาหาพระเจ้าค่ะ  ความคิดนี้ถูกย้ำในการประจักษ์ทุกครั้ง  และดิฉันคิดว่านั่นเป็นหัวใจหลักของสาส์นค่ะ”

            “คุณพอจะพูดถึงพระดำรัสของแม่พระที่แสดงถึงแรงจูงใจนี้ได้ไหม?”

            “ในเดือนตุลาคม แม่พระตรัสว่า อย่าทำบาปต่อต้านพระเป็นเจ้าอีกเลย พระองค์ทรงได้รับการต่อต้านมากพอแล้ว” เธอตอบ

            “แม่พระตรัสคำพูดนี้ต่อเด็กสามคนหรือต่อโลกทั้งมวล?”

            “ดิฉันเชื่อว่าเป็นคำพูดสำหรับโลกทั้งมวลค่ะ”เธอตอบ

            ในการประจักษ์ของแม่พระทุกครั้ง พระนางจะขอให้เด็กทั้งสามทำพลีกรรมเพื่อปลอบบรรเทาพระยุติธรรมของพระเจ้าและเพื่อช่วยให้คนบาปกลับใจ  เด็กทั้งสามได้ตอบสนองด้วยการทำพลีกรรมอย่างอดทนเยี่ยงวีรชน  การทำพลีกรรมเช่นนั้นเหมาะสำหรับทุกคนด้วยหรือไม่? และเมื่อไม่นานมานี้มีรายงานว่า Irmã Dores ได้พูดว่าการทำพลีกรรมซึ่งแม่พระทรงขอให้กระทำเหล่านั้นเป็นเพียงการทำพลีกรรมที่จำเป็นสำหรับการทำหน้าที่ที่ได้รับให้สมบูรณ์เท่านั้น

 “เมื่อแม่พระทรงขอร้องให้ทำพลีกรรม  พระนางเพียงแต่ขอให้ทำตามพระบัญญัติของพระเจ้าเท่านั้นใช่ไหม?”

Irmã Dores ตอบว่า “ความหมายที่เราเข้าใจก็คือพระนางประสงค์ผู้อาสาสมัครที่จะทำพลีกรรม – แน่นอนว่าต้องนอกเหนือจากการทำตามพระบัญญัติแล้ว (บัญญัติสิบประการและบัญญัติของพระศาสนจักร)  เพราะถ้าหากเราได้อาสาที่จะทำพลีกรรมโดยละเว้นไม่ปฏิบัติตามพระบัญญัติ ก็ย่อมไม่เป็นสิ่งที่ดีแต่อย่างใด”

            เธอได้พูดเตือนผมไม่ให้สับสนในคำพูดของเธอด้วยการอ้างถึงพระดำรัสของแม่พระในปี 1940  มันเป็นเรื่องง่ายมากสำหรับผมที่จะหลีกเลี่ยงความสับสนเช่นนั้น เพราะผมยังไม่รู้เรื่องในปี 1940  Irmã Doresอธิบายว่าในปี 1917 แม่พระทรงขอให้สำนึกผิดและทำพลีกรรมชดเชยใช้โทษบาปและเด็กทั้งสามก็เข้าใจดีว่าสิ่งนี้หมายถึงการขอให้เด็กทั้งสามเป็นอาสาสมัครในการทำพลีกรรม  แต่ว่า “ในปี 1940 พระนางทรงขอร้องอีกครั้งให้สำนึกผิดและทำพลีกรรม  แต่ในครั้งนี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการปฏิบัติหน้าที่ของบรรดานักบวชและหน้าที่ของแต่ละคน”

            ผมถามว่านี่เป็นการผ่อนคลายข้อเรียกร้องที่แม่พระทรงขอร้องไว้ก่อนหน้านี้ใช่ไหม? Irmã Dores ตอบแบบเดียวกับที่เคยให้สัมภาษณ์ในที่อื่นด้วยความคิดเห็นที่สุขุมรอบคอบเธอตอบว่า “แม่พระไม่ได้ทรงอธิบายแก่ดิฉันในเรื่องนี้ค่ะ”

            คุณแม่อธิการอธิบายแก่พวกเราว่าเด็กน้อยแห่งฟาติมาเป็นเพียง”เด็กเลี้ยงแกะบนภูเขา” และย่อมจะไม่มีความเข้าใจในเรื่องของเทววิทยาที่ลึกซึ้งเช่นนั้นได้อย่างแน่นอน

บทความนำมาจากหนังสือ “Vision of Fatima.”

            เมื่อนึกย้อนไปถึงเวลานั้น  ผมสงสัยว่าการที่นักบวชสองคนในเครื่องแบบขาวดำมาทำความรบกวนต่อ Irmã Dores และคุณแม่อธิการได้อย่างไร  ความสงสัยของพวกเราและการซักถามคำถามเหล่านั้นส่งผลอย่างไรต่อทั้งสองท่าน  ถึงแม้ว่าจะเป็นการซักถามด้วยความเคารพก็ตาม  เราอยู่ที่นั่นในฐานะศิษย์ไม่ใช่อาจารย์  แต่ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร Irmã Dores ก็สามารถรับมือกับการซักถามของเราได้  เธอไม่รู้สึกลำบากใจในคำถามของเราหรือต่อความคิดเห็นของคุณแม่อธิการบอกว่าเด็กน้อยทั้งสามยังไม่มีความเข้าใจถึงธรรมชาติของการทำพลีกรรมที่แม่พระทรงขอร้องพวกเขาให้กระทำในปี 1917

            “พระนางอาจประสงค์ให้เราพยายามมากขึ้นเพื่อปฏิบัติตามหน้าที่ให้สำเร็จสมบูรณ์เท่านั้น” Irmã Dores ตอบจากการอธิบายของคุณแม่อธิการ “เพราะพระนางทรงขอให้พวกเราอย่าได้ทำบาปต่อต้านพระเป็นเจ้า --- นั่นหมายถึงให้แต่ละคนปฏิบัติตามหน้าที่ของตน – แล้วพระนางตรัสต่อไปทรงขอร้องให้ทำพลีกรรมและการทำกิจใช้โทษบาป”

            คุณแม่อธิการได้กล่าวอธิบายต่อไปในสิ่งที่ Irmã Dores ได้พูดนี้ซึ่งเป็นการยุติข้อถกเถียงกันในเรื่องการทำพลีกรรมว่า

            “แต่เพราะพวกเขาไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา  ถ้าพวกเขากระทำ  พระเยซูเจ้าคงจะพึงพอใจมากกว่านี้”

            “แม่พระแห่งฟาติมาทรงแนะนำให้มีความศรัทธาต่ออะไร?” ผมถาม

            เธอตอบว่า “การสวดสายประคำและการไปรับศีลมหาสนิทค่ะ” สำหรับสายประคำ Irmã Dores ใช้คำว่า Terço ซึ่งเป็นภาษาโปรตุเกสที่หมายถึง สายประคำห้าทศ (ห้าสิบเม็ด)

            “ในการประจักษ์ทุกครั้งแม่พระทรงกล่าวถึงการสวดสายประคำ Rosary (Terço) ในการประจักษ์ครั้งที่ 3 พระนางตรัสขอให้ไปรับศีลมหาสนิทด้วย”

            พระนางทรงย้ำอย่างหนักแน่นขอให้มีความศรัทธาต่อศีลมหาสนิท  ด้ายการรับศีลมหาสนิททุกวันเสาร์ต้นเดือนเป็นเวลา 5 เสาร์ติดต่อกัน และต่อมาในปี 1926 พระนางทรงอธิบายถึงวิธีปฏิบัติในเรื่องนี้ “พระนางทรงขอให้ไปสารภาพบาป  รับศีลมหาสนิท และรำพึงถึงพระธรรมล้ำลึกในแต่ละทศของสายประคำเป็นเวลาสัก 15 นาที และสวดสายประคำ”

            เมื่อผมกลับไปที่สหรัฐอเมริกา ผมได้รับจดหมายจาก Irmã Dores เพื่อตอบคำถามของผมภายหลังการสัมภาษณ์เธอ  เธอพูดถึงพระประสงค์ 3 ข้อของแม่พระในการปฏิบัติกิจศรัทธานี้  - “ในปี 1925 , 1926 และ 1927 พระนางทรงมีพระประสงค์ให้คริสตชนไปรับศีลมหาสนิทในวันเสาร์ต้นเดือนเป็นเวลา 5 เสาร์” ในการสัมภาษณ์ Irmã Dores อ้างถึงปี 1926 ซึ่งอธิบายรายละเอียดของสิ่งที่ต้องทำในการปฏิบัติกิจศรัทธานี้  เพราะในการประจักษ์แม่พระทรงอธิบายให้ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับความศรัทธาดังกล่าวที่พระนางตรัสไว้ในปี 1925

            “แม่พระทรงพูดถึงวันเสาร์ต้นเดือนในปี 1917 ด้วยหรือไม่?” ผมถาม

            “พระนางตรัสว่า – พระนางจะกลับมาอีกครั้งเพื่อขอให้มีการถวายประเทศรัสเซียและให้มีการรับศีลมหาสนิทค่ะ” เธอกล่าวต่อไปว่า หนังสือของ Fa­ther De Marchi ที่ตีพิมพ์ครั้งแรกได้เขียนไว้อย่างถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้  ความลับของฟาติมาเป็นเรื่องต่อไปที่ผมจะถาม  ผมขอให้ Irmã Dores บอกผมเกี่ยวกับสาส์นความลับที่เธอได้เปิดเผยแล้ว

            เธอตอบว่า “สาส์นความลับที่ได้เปิดเผยแล้ว คือเรื่องของนรก  และเรื่องที่แม่พระจะกลับมาเพื่อขอให้มีการถวายประเทศรัสเซียและเรื่องการรับศีลมหาสนิทค่ะ”

            การถวายประเทศรัสเซียและการรับศีลมหาสนิทเป็นรูปแบบสองอย่างที่เป็นการให้ความเคารพต่อดวงหทัยนิรมลของแม่พระซึ่งทรงร้องขอที่ฟาติมา

            Irmã Dores กล่าวว่า หนังสือเรื่อง ยาชินทา แต่งโดย Father Galamba ได้กล่าวไว้อย่างถูกต้องเกี่ยวกับสาส์นความลับ

            “สิ่งที่กล่าวไว้ในหนังสือนั้นถูกต้องค่ะ  แต่ยังมีไม่ครบทั้งหมดค่ะ”เธอตอบ

            “คุณไม่สามารถตีพิมพ์สิ่งที่คุณได้เขียนบันทึกไว้ได้เลยหรือ?” ผมถาม

            “ไม่ค่ะ ดิฉันไม่สามารถตีพิมพ์หนังสือใดๆได้” เธอพูดพร้อมทั้งหัวเราะ  เธอให้ความกระจ่างโดยอธิบายถึงอำนาจของพระสังฆราชว่า  เธอได้เปิดเผยสาส์นของแม่พระต่อโลกด้วยความนบนอบเชื่อฟังต่อพระสังฆราชเท่านั้น

            ความเชื่อในสาส์นแห่งฟาติมาขึ้นอยู่กับความน่าเชื่อถือของ Irmã Doresในฐานะผู้เป็นพยานเพียงหนึ่งเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่  ผู้มีอำนาจหน้าที่ทางฝ่ายพระศาสนจักรได้ยืนยันให้ความมั่นใจในความน่าเชื่อถือของเธอ  เพราะเธอปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ของพระศาสนจักรเสมอ  เธอจะพูดถึงฟาติมาก็ต่อเมื่อผู้ใหญ่ฝ่ายพระศาสนจักรอนุญาตแล้วเท่านั้น  คำพูดของเธอนั้นเรียบง่ายและจะไม่พูดในทำนองแสดงความคิดเห็นใดๆ

            เราถามต่อไปเกี่ยวกับข้อเขียนของเธอ ซึ่งทำให้เธอนึกขึ้นได้  เป็นข้อเขียนที่อยู่ในหนังสือที่ตีพิมพ์แล้วที่พระสังฆราชบอกว่าอยู่ในหนังสือชื่อ Jacinta  เราสงสัยว่าข้อเขียนของ Irmã Dores ถูกจำกัดเพียงบางส่วนเท่านั้นตามที่พระสังฆราชบอก  คุณพ่อการ์ดินเนอร์ถามว่าทำไมข้อเขียนนั้นจึงไม่สามารถตีพิมพ์ได้ทั้งหมด Irmã Dores ตอบว่า

            “ข้อเขียนนั้นมีเรื่องของส่วนบุคคลซึ่งพระสังฆราชคิดว่าไม่เหมาะสมที่จะตีพิมพ์  และอาจมีบางอย่างที่เกี่ยวกับรัสเซียซึ่งพระสังฆราชคิดว่าไม่สมควรที่จะตีพิมพ์ค่ะ” เธอกล่าวต่อไปว่า เป็นการไม่ฉลาดนักที่จะตีพิมพ์บันทึกทั้งหมดของเธอ  เพราะมีเรื่องของคนอื่นที่ยังมีชีวิตอยู่ในนั้นด้วย  ผมย้อนกลับมาถามคำถามในเรื่องของสาส์นความลับ  และเพื่อให้ข้อความหลักในสาส์นที่เปิดเผยในฟาติมามีความถูกต้อง  ผมได้ขอร้องให้คุณพ่อการ์ดินเนอร์อ่านข้อความประโยคต่อประโยคของสาส์นความลับ เพื่อให้เธอรับรองหรือแก้ไขให้ถูกต้อง 

ต่อไปนี้คือข้อความที่สมบูรณ์ตามที่ได้แก้ไขแล้ว  คือเรื่องของนรกที่เธอได้เห็น  สถานที่วิญญาณของคนบาปที่น่าสงสารจะต้องไป  เพื่อช่วยเหลือพวกเขา  พระเยซูเจ้าทรงประสงค์ที่จะสถาปนาความศรัทธาต่อดวงหทัยนิรมลของแม่พระขึ้นบนโลก  ถ้าประชาชนปฏิบัติตามสิ่งที่แม่พระทรงแนะนำ  วิญญาณมากมายจะได้รับการช่วยให้รอดและจะมีสันติภาพ

            สงครามจะสิ้นสุดในไม่ช้า  แต่ถ้ามนุษย์ยังไม่หยุดการทำบาปผิดต่อพระเจ้า  จะมีสงครามใหม่ที่ร้ายแรงกว่าเดิมเกิดขึ้น  ซึ่งจะเกิดในรัชสมัยของพระสันตะปาปาปีโอที่ 11

            เมื่อลูกเห็นแสงสว่างที่ไม่รู้จักเกิดขึ้นในเวลากลางคืน  ก็จงรู้ไว้เถิดว่านั่นคือเครื่องหมายยิ่งใหญ่ที่พระเป็นเจ้าทรงประทานให้แก่ลูกซึ่งแสดงว่าโลกได้ก่ออาชญากรรมจนสูงสุดแล้ว  และในไม่ช้าการลงทัณฑ์ด้วยสงคราม  หายนะภัย และการเบียดเบียนพระศาสนจักรและพระสันตปาปาจะเกิดขึ้นตามมา

            เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้  แม่จะกลับมาเพื่อขอให้มีการถวายประเทศรัสเซียแด่ดวงหทัยนิรมลของแม่  และขอให้ทำการรับศีลมหาสนิทในทุกวันเสาร์ต้นเดือนเป็นเวลา 5 เดือนติดต่อกัน

            ถ้าความประสงค์ของแม่ได้รับการปฏิบัติตาม รัสเซียจะกลับใจและจะมีสันติภาพ  มิฉะนั้นรัสเซียจะแพร่กระจายความผิดหลงไปทั่วโลกทำให้เกิดสงคราม และการเบียดเบียนพระศาสนจักร  หลายคนจะเป็นมรณะสักขี  พระสันตะปาปาจะได้รับความทุกข์ลำบาก หลายประเทศจะถูกทำลาย

            ในท้ายที่สุดดวงหทัยนิรมลของแม่จะได้รับชัยชนะ  พระสันตปาปาจะทรงถวายประเทศรัสเซียแด่แม่  รัสเซียจะกลับใจและจะมีสันติภาพชั่วระยะหนึ่ง

            ในข้อความที่เป็นภาษาอังกฤษเขียนว่า “ในรัชสมัยของพระสันตะปาปาองค์ต่อไป” Irmã Dores ได้แก้ไขเป็น “ในรัชสมัยของพระสันตะปาปาปีโอที่ 11”

            “เพื่อหยุดสิ่งเหล่านี้  แม่จะกลับมาเพื่อขอให้มีการถวายประเทศรัสเซียแด่ดวงหทัยนิรมลของแม่” เป็นข้อความที่ถูกต้องซึ่งเธอได้แก้ไขจากข้อความที่เขียนว่า “เพื่อหยุดสิ่งเหล่านี้  แม่ขอให้มีการถวายโลก” Irmã Dores พูดอย่างหนักแน่นในแก้ไขข้อความเกี่ยวกับประเทศรัสเซีย “ไม่ใช่” เธอพูดทันที “ไม่ใช่โลก  เป็นรัสเซีย  รัสเซีย”

            Irmã Dores ได้กล่าวประโยคสุดท้ายนี้ทั้งหมด

            ในพระดำรัสของพระสันตะปาปาปีโอที่ 12 ต่อประเทศโปรตุเกสเนื่องในโอกาสครบรอบ 25 ปีของการประจักษ์ในวันที่ 31 ตุลาคม 1942 พระสันตะปาปาปีโอที่ 12 ทรงถวายโลกแด่ดวงหทัยนิรมลของแม่พระและยังได้ตรัสถึงประเทศรัสเซียเป็นพิเศษด้วย  บางคนได้พูดว่านี่เป็นการทำตามพระประสงค์ของแม่พระครบถ้วนแล้ว  แต่บางคนแย้งว่ายังไม่เพียงพอตามที่แม่พระทรงต้องการ เพราะต้องมีพระสังฆราชจากทั่วโลกร่วมการถวายประเทศรัสเซียพร้อมกับพระสันตปาปาด้วย

            “พระสันตะปาปาทรงถวายประเทศรัสเซียแด่ดวงหทัยนิรมลของแม่พระแล้วหรือยัง?” ผมถาม Irmã Dores.

            “พระองค์ทรงรวมประเทศรัสเซียไว้ในการประกอบพิธีถวายด้วย” เธอกล่าว และต่อมาด้วยความสุภาพเพราะคิดว่าอาจพูดผิดไป  เธอจึงพูดว่า “อย่างเป็นทางการตามที่แม่พระทรงขอร้องหรือเปล่าคะ?” เช่นนั้น ดิฉันคิดว่าคงไม่ใช่”  คุณพ่อการ์ดินเนอร์ต้องการให้มีความกระจ่างในเรื่องนี้จึงถามซ้ำอีกครั้ง “คุณคิดว่าคำขอร้องของแม่พระได้สำเร็จสมบูรณ์แล้วหรือไม่?”

            Irmã Dores ตอบว่า “ตามพระประสงค์  ไม่ค่ะ” แต่เธอพูดต่อว่า “แม่พระทรงยอมรับการถวายในปี 1942 ว่าสำเร็จสมบูรณ์หรือไม่นั้น ดิฉันไม่ทราบค่ะ”

--------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น