เราได้กลับไปที่โรงแรมที่ Oporto ในเย็นวันนั้นด้วยจิตใจที่สดชื่นแจ่มใส ผู้คนในเมืองที่ผมเห็นจากรถไฟเมื่อเดินทางมาถึงนั้นกลับมาสู่สายตาผมอีกครั้งขณะที่เรากำลังเดินไปตามถนนที่เต็มไปด้วยร้านรวงของย่านจตุรัส
Praça da
Liberdade มันดูเหมือนผู้คนทั้งหมดของเมืองมาชุมนุมกันอยู่ ณ.ที่แห่งนี้ ตามถนนเจิ่งนองด้วยน้ำจากฝนที่กำลังตก ทำให้ร้านกาแฟ
, ห้างสรรพสินค้า ร้านข้างทาง ต้องรองรับผู้คนที่พากันหลบฝน เสียงแตรจากรถยนต์ใน Oporto ดูเหมือนจะทำให้ตื่นเต้นมากกว่าในเมืองหลวง Lisbon
เสียอีก ภาพเหล่านี้เป็นสิ่งที่ทำให้เรารู้สึกประทับใจในการมาเยี่ยม
Irmã Dores ในครั้งนี้ (ซิสเตอร์ลูเซีย หนึ่งในเด็กสามคนที่เห็นแม่พระแห่งฟาติมา)
แผนการณ์การมาเยี่ยมครั้งนี้ให้ผลที่น่าสนใจและไม่เสียเปล่า
Irmã Dores ชอบพระรูปและท่าทางของพระรูปที่ผมสร้างขึ้น แต่ก็ยังจำเป็นต้องปรับปรุงให้ถูกต้อง ผมวาดรูปส่วนปลีกย่อยที่ต้องแก้ไขสำหรับนำไปใช้ในการสร้างพระรูปองค์ใหม่
ผมต้องการให้แน่ใจว่าได้รับข้อมูลที่จำเป็นทุกอย่างสำหรับการสร้างต้นแบบพระรูปองค์ใหม่นั้น ความจริงผมน่าจะนำดินเหนียวและอุปกรณ์สำหรับสร้างงานนี้มาด้วย
แต่ผมไม่คาดคิดว่าพระรูปตัวอย่างที่ผมนำมาจะห่างไกลจากความเป็นจริงจากภาพนิมิตเป็นอย่างมากเช่นนี้
หลังจากเสร็จสิ้นอาหารเย็นที่คุณพ่อการ์ดินเนอร์เป็นผู้เชิญ ก็มีมิสเตอร์โรนัลด์ ซิมมิงตันได้มาหาที่โรงแรม
เขาเป็นผู้ที่ศรัทธาต่อแม่พระแห่งฟาติมาเป็นอย่างมาก เขาได้อาสาสมัครช่วยเหลือผู้เจ็บป่วยที่มาแสวงบุญที่โควา
ดา อีเรีย มานานหลายปี
เขาสนใจในรายละเอียดการมาเยี่ยมของเราครั้งนี้ คุณพ่อการ์ดินเนอร์ได้กล่าวชมเชย Irmã Dores ท่านบอกว่าแม่พระทรงเลือกผู้ที่เหมาะสมแล้วให้เห็นและสนทนากับพระนาง ดังที่เรารู้สึกได้จากคำตอบที่เรียบง่ายและชัดเจนของเธอ
จากลักษณะที่มีความมั่นใจและจากบุคคลิกที่เข้มแข็งของเธอ
ผมถามมิสเตอร์ซิมมิงตันเกี่ยวกับอัศจรรย์ที่ฟาติมา เขาบอกผมว่าเขาอยู่ใกล้กับ มาเรีย ดา ซิลวา
มากเมื่อตอนที่เธอได้รับการรักษาให้หาย เธอเป็นผู้หนึ่งที่คุณพ่อการ์ดินเนอร์ได้ไปพบมาแล้ว มิสเตอร์ซิมมิงตันยืนยันว่า เธอมี “อาการร่อแร่”ใกล้ตายแล้ว แต่เมื่อศีลมหาสนิทได้ผ่านหน้าเธอไป เธอก็ลุกขึ้นยืนได้ทันที
แล้วเขาก็เล่าให้ฟังเกี่ยวกับหญิงผู้หนึ่งที่เขาช่วยแบกหามไปที่บริเวณของคนเจ็บป่วยในวันเดียวกันนั้น
คนที่มากับหญิงผู้นั้นกล่าวขอโทษแทนเธอที่ไม่ขอบคุณเขาและบอกกับเขาว่าเธอเป็นใบ้พูดไม่ได้ ขณะที่พระรูปแม่พระผ่านหน้าหญิงผู้นั้น เธอก็เดินไปพร้อมกับผู้คนและร้องเพลงสรรเสริญตามไปด้วย มิสเตอร์ซิมมิงตันรีบอธิบายต่อว่า “แน่นอน
นี่อาจไม่ใช่อัศจรรย์ในมุมมองของการแพทย์” เขาบอกว่าในวันนั้น วันที่ 13 พ.ค. 1946 มีประชาชนที่นั่นราว
700,000 คน “มีการส่งศีลมหาสนิทมากมายอย่างน่าประหลาดใจ
ผมช่วยในการส่งศีลไปเรื่อยๆ คนแล้วคนเล่า
มีคนประมาณ 130,000 คนที่ไปรับศีลมหาสนิท”
รูปของคุณพ่อแมคกลิน
กับ พระรูปสุดท้ายที่สร้างเสร็จ
มิสเตอร์ซิมมิงตันได้ช่วยแก้ปัญหาบางส่วนของผมเกี่ยวกับพระรูปด้วยการเสนอห้องทำงานแก่ผมในบ้านของเขา
เขาบอกว่าที่บ้านของเขามีพื้นที่ว่างสำหรับทำงานสร้างพระรูปองค์ใหม่ได้ –
ถ้าผมต้องการ
ผมจำเป็นต้องจัดหาวัสดุอุปกรณ์ที่จำเป็นเพื่อใช้ทำงานนี้ตามแผนการณ์ของผม
การสร้างพระรูปดูเหมือนจะเป็นสิ่งเดียวที่ทำให้ผมบรรลุจุดประสงค์ในการมาที่โปรตุเกสนี้ ผมตัดสินใจที่จะอยู่ที่นี่ต่อ เราได้ไปพบกับ Irmã Dores และ Mother
Corte Real อีกครั้งในวันรุ่งขึ้น
ผมได้บอกกับคุณแม่อธิการว่า ผมตัดสินใจที่จะสร้างพระรูปองค์ใหม่
“คุณพ่อคะ
ทำไมคุณพ่อไม่พักและทำงานอยู่ที่นี่ล่ะคะ?” คุณแม่อธิการพูด
ผมอยากจะตอบว่า “คุณแม่ครับ ผมไม่อยากจะรบกวน?” แต่แทนที่จะตอบเช่นนั้นผมกลับตอบว่าข้อเสนอของคุณแม่เป็นสิ่งที่ดีมาก และผมยอมรับด้วยความขอบคุณ
คุณแม่อธิการให้ความมั่นใจกับผมว่ามีห้องว่างหลายห้อง ยกเว้นห้องพักพระสงฆ์ซึ่งเต็มหมดแล้ว
แต่พื้นที่ใช้สอยเป็นเรื่องเล็กสำหรับงานนี้ ผมต้องการสถานที่ไม่ต้องใหญ่โตมากนักสำหรับทำงานได้อย่างอิสระ
Irmã
Dores รออย่างอดทนเพื่อที่จะตอบคำถาม เธอรู้สึกผ่อนคลายมากกว่าเมื่อวานนี้
ผมกำลังจะถามเธอเกี่ยวกับเนื้อหาสาระของการเผยแสดงที่แม่พระทรงประทานแก่เธอ
และผมต้องการให้เธอรู้และมั่นใจว่าผมมีความเคารพต่อเธอในการสอบถามเรื่องราวนั้น
ผมพูดกับคุณแม่อธิการว่า “ถึงแม้ว่าผมจะมีความอยากรู้อยากเห็นเหมือนกับคนอื่นๆเกี่ยวกับสิ่งที่เธอได้รับการไขแสดงให้รู้
ผมขอให้คุณแม่ช่วยบอกซิสเตอร์ด้วยว่าผมจะไม่ถามคำถามใดๆที่ไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องความดีของวิญญาณ”
คุณแม่อธิการตอบว่า “Irmã Dores
ทราบเรื่องนั้นดีอยู่แล้วค่ะ เธอเฉลียวฉลาดมาก”
มีการแปลความหมายของสาส์นแห่งฟาติมาไปหลายอย่างและหลากหลาย ความคิดพื้นฐานโดยทั่วไปอาจพบได้จากสาส์นก็คือ การสำนึกผิด
การทำพลีกรรม การสวดสายประคำ
ความศรัทธาต่อดวงหทัยนิรมลของแม่พระ โทษทัณฑ์ของสงคราม
ความหวังในสันติภาพและการกลับใจของประเทศรัสเซีย ผู้เขียนหนังสือแต่ละคนก็ให้ความคิดเห็นคนละแบบแตกต่างกัน
บัดนี้ผมต้องการให้ความคิดเห็นเหล่านั้นกระจ่างชัดขึ้นจากบุคคลที่ได้รับสาส์นนี้โดยตรงซึ่งถูกประทานแก่โลกที่ฟาติมา
สิ่งสำคัญอันดับแรกก็คือแรงจูงใจของการประจักษ์ ผมถาม Irmã
Dores ให้อธิบายถึงแรงจูงใจนี้ออกมาเป็นคำพูด
เธอตอบว่า
“การกลับใจของคนบาป
และการที่วิญญาณหันกลับมาหาพระเจ้าค่ะ
ความคิดนี้ถูกย้ำในการประจักษ์ทุกครั้ง
และดิฉันคิดว่านั่นเป็นหัวใจหลักของสาส์นค่ะ”
“คุณพอจะพูดถึงพระดำรัสของแม่พระที่แสดงถึงแรงจูงใจนี้ได้ไหม?”
“ในเดือนตุลาคม
แม่พระตรัสว่า ‘อย่าทำบาปต่อต้านพระเป็นเจ้าอีกเลย
พระองค์ทรงได้รับการต่อต้านมากพอแล้ว” เธอตอบ
“แม่พระตรัสคำพูดนี้ต่อเด็กสามคนหรือต่อโลกทั้งมวล?”
“ดิฉันเชื่อว่าเป็นคำพูดสำหรับโลกทั้งมวลค่ะ”เธอตอบ
ในการประจักษ์ของแม่พระทุกครั้ง
พระนางจะขอให้เด็กทั้งสามทำพลีกรรมเพื่อปลอบบรรเทาพระยุติธรรมของพระเจ้าและเพื่อช่วยให้คนบาปกลับใจ
เด็กทั้งสามได้ตอบสนองด้วยการทำพลีกรรมอย่างอดทนเยี่ยงวีรชน
การทำพลีกรรมเช่นนั้นเหมาะสำหรับทุกคนด้วยหรือไม่?
และเมื่อไม่นานมานี้มีรายงานว่า Irmã
Dores
ได้พูดว่าการทำพลีกรรมซึ่งแม่พระทรงขอให้กระทำเหล่านั้นเป็นเพียงการทำพลีกรรมที่จำเป็นสำหรับการทำหน้าที่ที่ได้รับให้สมบูรณ์เท่านั้น
“เมื่อแม่พระทรงขอร้องให้ทำพลีกรรม พระนางเพียงแต่ขอให้ทำตามพระบัญญัติของพระเจ้าเท่านั้นใช่ไหม?”
Irmã
Dores ตอบว่า
“ความหมายที่เราเข้าใจก็คือพระนางประสงค์ผู้อาสาสมัครที่จะทำพลีกรรม –
แน่นอนว่าต้องนอกเหนือจากการทำตามพระบัญญัติแล้ว (บัญญัติสิบประการและบัญญัติของพระศาสนจักร)
เพราะถ้าหากเราได้อาสาที่จะทำพลีกรรมโดยละเว้นไม่ปฏิบัติตามพระบัญญัติ ก็ย่อมไม่เป็นสิ่งที่ดีแต่อย่างใด”
เธอได้พูดเตือนผมไม่ให้สับสนในคำพูดของเธอด้วยการอ้างถึงพระดำรัสของแม่พระในปี
1940
มันเป็นเรื่องง่ายมากสำหรับผมที่จะหลีกเลี่ยงความสับสนเช่นนั้น
เพราะผมยังไม่รู้เรื่องในปี 1940 Irmã
Doresอธิบายว่าในปี 1917
แม่พระทรงขอให้สำนึกผิดและทำพลีกรรมชดเชยใช้โทษบาปและเด็กทั้งสามก็เข้าใจดีว่าสิ่งนี้หมายถึงการขอให้เด็กทั้งสามเป็นอาสาสมัครในการทำพลีกรรม แต่ว่า “ในปี 1940
พระนางทรงขอร้องอีกครั้งให้สำนึกผิดและทำพลีกรรม
แต่ในครั้งนี้เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการปฏิบัติหน้าที่ของบรรดานักบวชและหน้าที่ของแต่ละคน”
ผมถามว่านี่เป็นการผ่อนคลายข้อเรียกร้องที่แม่พระทรงขอร้องไว้ก่อนหน้านี้ใช่ไหม?
Irmã Dores
ตอบแบบเดียวกับที่เคยให้สัมภาษณ์ในที่อื่นด้วยความคิดเห็นที่สุขุมรอบคอบเธอตอบว่า
“แม่พระไม่ได้ทรงอธิบายแก่ดิฉันในเรื่องนี้ค่ะ”
คุณแม่อธิการอธิบายแก่พวกเราว่าเด็กน้อยแห่งฟาติมาเป็นเพียง”เด็กเลี้ยงแกะบนภูเขา”
และย่อมจะไม่มีความเข้าใจในเรื่องของเทววิทยาที่ลึกซึ้งเช่นนั้นได้อย่างแน่นอน
บทความนำมาจากหนังสือ “Vision of Fatima.”
เมื่อนึกย้อนไปถึงเวลานั้น
ผมสงสัยว่าการที่นักบวชสองคนในเครื่องแบบขาวดำมาทำความรบกวนต่อ Irmã
Dores และคุณแม่อธิการได้อย่างไร
ความสงสัยของพวกเราและการซักถามคำถามเหล่านั้นส่งผลอย่างไรต่อทั้งสองท่าน
ถึงแม้ว่าจะเป็นการซักถามด้วยความเคารพก็ตาม เราอยู่ที่นั่นในฐานะศิษย์ไม่ใช่อาจารย์ แต่ไม่ว่าจะเป็นเช่นไร Irmã Dores ก็สามารถรับมือกับการซักถามของเราได้
เธอไม่รู้สึกลำบากใจในคำถามของเราหรือต่อความคิดเห็นของคุณแม่อธิการบอกว่าเด็กน้อยทั้งสามยังไม่มีความเข้าใจถึงธรรมชาติของการทำพลีกรรมที่แม่พระทรงขอร้องพวกเขาให้กระทำในปี
1917
“พระนางอาจประสงค์ให้เราพยายามมากขึ้นเพื่อปฏิบัติตามหน้าที่ให้สำเร็จสมบูรณ์เท่านั้น”
Irmã Dores ตอบจากการอธิบายของคุณแม่อธิการ “เพราะพระนางทรงขอให้พวกเราอย่าได้ทำบาปต่อต้านพระเป็นเจ้า
--- นั่นหมายถึงให้แต่ละคนปฏิบัติตามหน้าที่ของตน –
แล้วพระนางตรัสต่อไปทรงขอร้องให้ทำพลีกรรมและการทำกิจใช้โทษบาป”
คุณแม่อธิการได้กล่าวอธิบายต่อไปในสิ่งที่
Irmã Dores ได้พูดนี้ซึ่งเป็นการยุติข้อถกเถียงกันในเรื่องการทำพลีกรรมว่า
“แต่เพราะพวกเขาไม่ได้ปฏิบัติหน้าที่ของพวกเขา ถ้าพวกเขากระทำ พระเยซูเจ้าคงจะพึงพอใจมากกว่านี้”
“แม่พระแห่งฟาติมาทรงแนะนำให้มีความศรัทธาต่ออะไร?”
ผมถาม
เธอตอบว่า
“การสวดสายประคำและการไปรับศีลมหาสนิทค่ะ” สำหรับสายประคำ Irmã Dores ใช้คำว่า Terço
ซึ่งเป็นภาษาโปรตุเกสที่หมายถึง สายประคำห้าทศ (ห้าสิบเม็ด)
“ในการประจักษ์ทุกครั้งแม่พระทรงกล่าวถึงการสวดสายประคำ
Rosary (Terço) ในการประจักษ์ครั้งที่ 3
พระนางตรัสขอให้ไปรับศีลมหาสนิทด้วย”
พระนางทรงย้ำอย่างหนักแน่นขอให้มีความศรัทธาต่อศีลมหาสนิท ด้ายการรับศีลมหาสนิททุกวันเสาร์ต้นเดือนเป็นเวลา
5 เสาร์ติดต่อกัน และต่อมาในปี 1926 พระนางทรงอธิบายถึงวิธีปฏิบัติในเรื่องนี้
“พระนางทรงขอให้ไปสารภาพบาป รับศีลมหาสนิท
และรำพึงถึงพระธรรมล้ำลึกในแต่ละทศของสายประคำเป็นเวลาสัก 15 นาที และสวดสายประคำ”
เมื่อผมกลับไปที่สหรัฐอเมริกา
ผมได้รับจดหมายจาก Irmã Dores เพื่อตอบคำถามของผมภายหลังการสัมภาษณ์เธอ เธอพูดถึงพระประสงค์ 3
ข้อของแม่พระในการปฏิบัติกิจศรัทธานี้ -
“ในปี 1925 , 1926 และ 1927
พระนางทรงมีพระประสงค์ให้คริสตชนไปรับศีลมหาสนิทในวันเสาร์ต้นเดือนเป็นเวลา 5
เสาร์” ในการสัมภาษณ์ Irmã Dores อ้างถึงปี 1926
ซึ่งอธิบายรายละเอียดของสิ่งที่ต้องทำในการปฏิบัติกิจศรัทธานี้ เพราะในการประจักษ์แม่พระทรงอธิบายให้ชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับความศรัทธาดังกล่าวที่พระนางตรัสไว้ในปี
1925
“แม่พระทรงพูดถึงวันเสาร์ต้นเดือนในปี
1917 ด้วยหรือไม่?” ผมถาม
“พระนางตรัสว่า – พระนางจะกลับมาอีกครั้งเพื่อขอให้มีการถวายประเทศรัสเซียและให้มีการรับศีลมหาสนิทค่ะ”
เธอกล่าวต่อไปว่า หนังสือของ Father
De Marchi ที่ตีพิมพ์ครั้งแรกได้เขียนไว้อย่างถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องนี้
ความลับของฟาติมาเป็นเรื่องต่อไปที่ผมจะถาม ผมขอให้ Irmã Dores
บอกผมเกี่ยวกับสาส์นความลับที่เธอได้เปิดเผยแล้ว
เธอตอบว่า
“สาส์นความลับที่ได้เปิดเผยแล้ว คือเรื่องของนรก
และเรื่องที่แม่พระจะกลับมาเพื่อขอให้มีการถวายประเทศรัสเซียและเรื่องการรับศีลมหาสนิทค่ะ”
การถวายประเทศรัสเซียและการรับศีลมหาสนิทเป็นรูปแบบสองอย่างที่เป็นการให้ความเคารพต่อดวงหทัยนิรมลของแม่พระซึ่งทรงร้องขอที่ฟาติมา
Irmã Dores กล่าวว่า
หนังสือเรื่อง ยาชินทา แต่งโดย Father Galamba
ได้กล่าวไว้อย่างถูกต้องเกี่ยวกับสาส์นความลับ
“สิ่งที่กล่าวไว้ในหนังสือนั้นถูกต้องค่ะ แต่ยังมีไม่ครบทั้งหมดค่ะ”เธอตอบ
“คุณไม่สามารถตีพิมพ์สิ่งที่คุณได้เขียนบันทึกไว้ได้เลยหรือ?”
ผมถาม
“ไม่ค่ะ ดิฉันไม่สามารถตีพิมพ์หนังสือใดๆได้”
เธอพูดพร้อมทั้งหัวเราะ
เธอให้ความกระจ่างโดยอธิบายถึงอำนาจของพระสังฆราชว่า
เธอได้เปิดเผยสาส์นของแม่พระต่อโลกด้วยความนบนอบเชื่อฟังต่อพระสังฆราชเท่านั้น
ความเชื่อในสาส์นแห่งฟาติมาขึ้นอยู่กับความน่าเชื่อถือของ
Irmã Doresในฐานะผู้เป็นพยานเพียงหนึ่งเดียวที่ยังมีชีวิตอยู่
ผู้มีอำนาจหน้าที่ทางฝ่ายพระศาสนจักรได้ยืนยันให้ความมั่นใจในความน่าเชื่อถือของเธอ
เพราะเธอปฏิบัติตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่ของพระศาสนจักรเสมอ
เธอจะพูดถึงฟาติมาก็ต่อเมื่อผู้ใหญ่ฝ่ายพระศาสนจักรอนุญาตแล้วเท่านั้น คำพูดของเธอนั้นเรียบง่ายและจะไม่พูดในทำนองแสดงความคิดเห็นใดๆ
เราถามต่อไปเกี่ยวกับข้อเขียนของเธอ
ซึ่งทำให้เธอนึกขึ้นได้
เป็นข้อเขียนที่อยู่ในหนังสือที่ตีพิมพ์แล้วที่พระสังฆราชบอกว่าอยู่ในหนังสือชื่อ
Jacinta
เราสงสัยว่าข้อเขียนของ Irmã Dores
ถูกจำกัดเพียงบางส่วนเท่านั้นตามที่พระสังฆราชบอก
คุณพ่อการ์ดินเนอร์ถามว่าทำไมข้อเขียนนั้นจึงไม่สามารถตีพิมพ์ได้ทั้งหมด Irmã
Dores ตอบว่า
“ข้อเขียนนั้นมีเรื่องของส่วนบุคคลซึ่งพระสังฆราชคิดว่าไม่เหมาะสมที่จะตีพิมพ์ และอาจมีบางอย่างที่เกี่ยวกับรัสเซียซึ่งพระสังฆราชคิดว่าไม่สมควรที่จะตีพิมพ์ค่ะ”
เธอกล่าวต่อไปว่า เป็นการไม่ฉลาดนักที่จะตีพิมพ์บันทึกทั้งหมดของเธอ
เพราะมีเรื่องของคนอื่นที่ยังมีชีวิตอยู่ในนั้นด้วย
ผมย้อนกลับมาถามคำถามในเรื่องของสาส์นความลับ และเพื่อให้ข้อความหลักในสาส์นที่เปิดเผยในฟาติมามีความถูกต้อง ผมได้ขอร้องให้คุณพ่อการ์ดินเนอร์อ่านข้อความประโยคต่อประโยคของสาส์นความลับ
เพื่อให้เธอรับรองหรือแก้ไขให้ถูกต้อง
ต่อไปนี้คือข้อความที่สมบูรณ์ตามที่ได้แก้ไขแล้ว
คือเรื่องของนรกที่เธอได้เห็น
สถานที่วิญญาณของคนบาปที่น่าสงสารจะต้องไป
เพื่อช่วยเหลือพวกเขา พระเยซูเจ้าทรงประสงค์ที่จะสถาปนาความศรัทธาต่อดวงหทัยนิรมลของแม่พระขึ้นบนโลก
ถ้าประชาชนปฏิบัติตามสิ่งที่แม่พระทรงแนะนำ
วิญญาณมากมายจะได้รับการช่วยให้รอดและจะมีสันติภาพ
สงครามจะสิ้นสุดในไม่ช้า แต่ถ้ามนุษย์ยังไม่หยุดการทำบาปผิดต่อพระเจ้า จะมีสงครามใหม่ที่ร้ายแรงกว่าเดิมเกิดขึ้น ซึ่งจะเกิดในรัชสมัยของพระสันตะปาปาปีโอที่ 11
เมื่อลูกเห็นแสงสว่างที่ไม่รู้จักเกิดขึ้นในเวลากลางคืน
ก็จงรู้ไว้เถิดว่านั่นคือเครื่องหมายยิ่งใหญ่ที่พระเป็นเจ้าทรงประทานให้แก่ลูกซึ่งแสดงว่าโลกได้ก่ออาชญากรรมจนสูงสุดแล้ว และในไม่ช้าการลงทัณฑ์ด้วยสงคราม หายนะภัย
และการเบียดเบียนพระศาสนจักรและพระสันตปาปาจะเกิดขึ้นตามมา
เพื่อหลีกเลี่ยงสิ่งเหล่านี้
แม่จะกลับมาเพื่อขอให้มีการถวายประเทศรัสเซียแด่ดวงหทัยนิรมลของแม่
และขอให้ทำการรับศีลมหาสนิทในทุกวันเสาร์ต้นเดือนเป็นเวลา 5 เดือนติดต่อกัน
ถ้าความประสงค์ของแม่ได้รับการปฏิบัติตาม
รัสเซียจะกลับใจและจะมีสันติภาพ
มิฉะนั้นรัสเซียจะแพร่กระจายความผิดหลงไปทั่วโลกทำให้เกิดสงคราม
และการเบียดเบียนพระศาสนจักร
หลายคนจะเป็นมรณะสักขี
พระสันตะปาปาจะได้รับความทุกข์ลำบาก หลายประเทศจะถูกทำลาย
ในท้ายที่สุดดวงหทัยนิรมลของแม่จะได้รับชัยชนะ พระสันตปาปาจะทรงถวายประเทศรัสเซียแด่แม่ รัสเซียจะกลับใจและจะมีสันติภาพชั่วระยะหนึ่ง
ในข้อความที่เป็นภาษาอังกฤษเขียนว่า
“ในรัชสมัยของพระสันตะปาปาองค์ต่อไป” Irmã
Dores ได้แก้ไขเป็น “ในรัชสมัยของพระสันตะปาปาปีโอที่ 11”
“เพื่อหยุดสิ่งเหล่านี้
แม่จะกลับมาเพื่อขอให้มีการถวายประเทศรัสเซียแด่ดวงหทัยนิรมลของแม่” เป็นข้อความที่ถูกต้องซึ่งเธอได้แก้ไขจากข้อความที่เขียนว่า
“เพื่อหยุดสิ่งเหล่านี้
แม่ขอให้มีการถวายโลก” Irmã
Dores พูดอย่างหนักแน่นในแก้ไขข้อความเกี่ยวกับประเทศรัสเซีย “ไม่ใช่”
เธอพูดทันที “ไม่ใช่โลก เป็นรัสเซีย รัสเซีย”
Irmã Dores
ได้กล่าวประโยคสุดท้ายนี้ทั้งหมด
ในพระดำรัสของพระสันตะปาปาปีโอที่ 12
ต่อประเทศโปรตุเกสเนื่องในโอกาสครบรอบ 25 ปีของการประจักษ์ในวันที่ 31 ตุลาคม 1942
พระสันตะปาปาปีโอที่ 12 ทรงถวายโลกแด่ดวงหทัยนิรมลของแม่พระและยังได้ตรัสถึงประเทศรัสเซียเป็นพิเศษด้วย บางคนได้พูดว่านี่เป็นการทำตามพระประสงค์ของแม่พระครบถ้วนแล้ว แต่บางคนแย้งว่ายังไม่เพียงพอตามที่แม่พระทรงต้องการ
เพราะต้องมีพระสังฆราชจากทั่วโลกร่วมการถวายประเทศรัสเซียพร้อมกับพระสันตปาปาด้วย
“พระสันตะปาปาทรงถวายประเทศรัสเซียแด่ดวงหทัยนิรมลของแม่พระแล้วหรือยัง?”
ผมถาม Irmã Dores.
“พระองค์ทรงรวมประเทศรัสเซียไว้ในการประกอบพิธีถวายด้วย”
เธอกล่าว และต่อมาด้วยความสุภาพเพราะคิดว่าอาจพูดผิดไป เธอจึงพูดว่า “อย่างเป็นทางการตามที่แม่พระทรงขอร้องหรือเปล่าคะ?”
เช่นนั้น ดิฉันคิดว่าคงไม่ใช่”
คุณพ่อการ์ดินเนอร์ต้องการให้มีความกระจ่างในเรื่องนี้จึงถามซ้ำอีกครั้ง “คุณคิดว่าคำขอร้องของแม่พระได้สำเร็จสมบูรณ์แล้วหรือไม่?”
Irmã
Dores ตอบว่า “ตามพระประสงค์
ไม่ค่ะ” แต่เธอพูดต่อว่า “แม่พระทรงยอมรับการถวายในปี 1942 ว่าสำเร็จสมบูรณ์หรือไม่นั้น
ดิฉันไม่ทราบค่ะ”
--------------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น