วันพุธที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2560

การศึกษาประสบการณ์ใกล้ตาย


นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแห่งสถาบัน Lourdes Office of Medical Observations in France เป็นผู้มีชื่อเสียงในการตรวจสอบอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นที่ลูรดส์  ท่านได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับการศึกษาของท่านในคนไข้ที่เสียชีวิตและกลับฟื้นขึ้นมาใหม่ ---- หนังสือชื่อ “ New-Death Experiences Examined.
 
ดร. แพทริก ทิลเลียร์ Dr. Patrick Theillier ---- หนังสือของท่านได้รับการสนับสนุนอย่างดีจากพระสังฆราช Most Reverend Marc Aillet แห่งสังฆมณฑล Bayonne-Lescar-Oloron in France โดยพระสังฆราชให้ความคิดเห็นว่าหนังสือเล่มนี้จะให้บทเรียนอันมีค่าเรื่องของชีวิตและชีวิตหลังความตาย

ดร. ทิลเลียร์เขียนว่า “ผมได้สังเกตุเห็นความคล้ายคลึงกันระหว่างประสบการณ์ใกล้ตายและปรากฏการณ์พิเศษอย่างเช่นอัศจรรย์การรักษาโรค การประจักษ์ของแม่พระ หรือเหตุการณ์ที่เกิดกับผู้ได้รับพระพรพิเศษอื่นๆ”

“ไม่มีการบังคับว่าต้องเชื่อ” ดร.กล่าว “เหตุการ์ณเหล่านั้นเป็นหมายสำคัญที่ถูกประทานแก่พวกเราแบบให้เปล่า และมันไม่ต้องเสียอะไรเลยในการที่จะเชื่อ”

พระสังฆราชเป็นผู้เขียนบทนำของหนังสือ ท่านเขียนว่า “ประสบการณ์ใกล้ตายเหล่านี้ซึ่งได้รับการพินิจพิเคราะห์จากทางวิทยาศาสตร์และจากทางศาสนา สามารถเปิดมุมมองทางด้านสติปัญญาและหัวใจของเราได้ในเรื่องความมีอยู่จริงของชีวิตหลังความตาย และในทำนองเดียวกันก็เป็นการยืนยันเรื่องความตายและการกลับคืนชีพของพระคริสต์ได้ด้วย

จากการศึกษาของนักวิจัยชื่อ Kenneth Ring ระบุว่ามีคนประมาณ 8 ล้านคนในสหรัฐอเมริกาที่มีประสบการณ์ใกล้ตาย  หรือคิดเป็นจำนวนเท่ากับ 30 %ของผู้ที่ใกล้เสียชีวิตทั้งหมด  และในฝรั่งเศสมีคน 1.4 ล้านคนที่มีประสบการณ์นี้


ดร.ทิลเลียร์เขียนไว้ว่า มีอยู่กรณีหนึ่ง ชายคนหนึ่งชื่อ มิคาแอล ดูแรนท์ Michael Durant ที่ป่วยจากอวัยวะเป็นรูซึ่งส่งผลกับร่างกายอย่างร้ายแรง – เขาถูกประกาศว่าได้เสียชีวิตแล้วหลังการผ่าตัดเพราะภาวะหัวใจล้มเหลว – แต่เขากลับฟื้นขึ้นมาโดยไม่สามารถอธิบายได้ ในขณะที่หลานชายของเขาซึ่งเป็นนักบวชโดมินิกันกำลังสวดภาวนาที่บริเวณอาบน้ำในลูรดส์เพื่อวอนขอให้เขาหาย

ดร. เขียนคำพูดของดูแรนท์ที่เล่าให้ฟังหลังจากฟื้นขึ้นมาว่า  “ที่บริเวณหนึ่ง มีประตูเปิดออกและแสงสว่างเจิดจ้าอยู่เบื้องหน้าผม  สำหรับผมมันไม่ใช่อุโมงค์ มันเป็นสภาวะที่อยู่ลำพัง สงบ ผ่อนคลาย สดใส สภาวะที่ไม่สามารถอธิบายได้  ผมมีความรู้สึกว่ากำลังมุ่งหน้าไปสู่บางอย่างที่น่ายำเกรง น่าพิศวง  ทุกสิ่งสวยงาม ทุกสิ่งสงบเงียบ  ผมไม่สามารถอธิบายได้ว่าความรูสึกนั้นช่างดีมากสักเพียงไร ผมมีชีวิตอยู่ในพระหรรษทานอย่างสมบูรณ์  ผมอยากประกาศว่ามีบางอย่างหลังจากเสียชีวิตแล้ว  ชีวิตไม่สามารถมองในมุมเดิมได้อีก  ดูเหมือนผมจะมีประสบการณ์แบบนี้ บางทีผมอาจเป็นพยานให้กับคนอื่นๆได้”

ดร.ทิลเลียร์เขียนอีกว่า “แน่นอน ขอแนะนำให้มีความระมัดระวัง ยังมีเรื่องน่าประหลาดใจอื่นๆอีกมากอย่างเช่นเรื่องของการประจักษ์ และปรากฏการณ์ของผู้ได้รับพระพรพิเศษ  ปรากฏการณ์ใกล้ตายเป็นของประทานเพิ่มเติมที่มอบให้แก่มนุษย์”

ดร.ทิลเลียร์เขียนในหนังสือเล่าถึงประสบการณ์ของคนหลายคนที่มีรายงานว่าได้ออกจากร่างกายของตัวเองเมื่อเสียชีวิตในโรงพยาบาลและพบว่าตัวเองได้มาอยู่ในแสงสว่างของพระเจ้า

มีกรณีหนึ่งเป็นเรื่องของพระสงฆ์ชื่อ Jean Derobert ท่านเป็นพระสงฆ์ประจำการอยู่ในหน่วย French army’s health corps.ในสงครามที่อัลจีเรีย  คุณพ่อปีโอถือว่าท่านเป็น “ลูกฝ่ายวิญญาณ”  และคุณพ่อปีโอได้ส่งการ์ดไปให้พระสงฆ์ท่านนี้  และท่านได้รับการ์ดในเดือนสิงหาคม 1958 บนการ์ดมีตัวหนังสือเขียนด้วยลายมือว่า “ชีวิตเป็นการดิ้นรนอยู่เสมอแต่มันจะนำไปสู่แสงสว่าง” “Life is a constant struggle but it leads to the light” (ขีดเส้นใต้สองสามเส้น)

ในคืนนั้นหน่วยคอมมานโดของ Algerian National Liberation Front เข้าโจมตีหมู่บ้านของพวกเขาและฆ่าทุกคนที่อยู่โดยรอบ รวมทั้ง Derobert ด้วย และ ”ในทันทีทันใดท่านก็มีประสบการณ์การออกจากร่าง” ท่านเห็นร่างของตัวเองอยู่ท่ามกลางร่างอื่นๆซึ่งเป็นเพื่อนทหาร แล้วท่านก็เริ่มลอยขึ้นไปยังสิ่งหนึ่งที่คล้ายกับอุโมงค์
 
ในอุโมงค์นั้นมีใบหน้าที่เศร้าหมองมากมายลอยขึ้นมาจากเมฆหมอก – “ใบหน้าของประชาชนที่มีชื่อเสียงที่ไม่ดีนัก”
 
ขณะที่ผ่านไป ใบหน้าเหล่านั้นก็ดูสว่างสไวมากขึ้น
 
เขารู้สึกประหลาดใจที่พบว่าเวลานี้เขาสามารถเดินได้และมองเห็นสิ่งต่างๆรอบตัวเขาโดยไม่ต้องหันศีรษะ

เขายังประหลาดใจอีกที่เมื่อเขาคิดถึงพ่อแม่ซึ่งยังมีชีวิตอยู่ในฝรั่งเศส  ทันใดเขาก็มาอยู่ในห้องที่พ่อแม่อยู่ที่บ้านของเขา  พ่อแม่ของเขากำลังหลับอยู่  เขาสังเกตุเห็นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นหนึ่งถูกเคลื่อนย้ายไปจากที่เดิม – (ภายหลังเมื่อเขากลับบ้านได้พูดถึงเรื่องนี้ให้พ่อแม่ฟัง  แม่ของเขาถามว่าเขารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร)
ยังมีเรื่องน่าประหลาดใจยิ่งไปกว่านั้น เมื่อเขาคิดถึงพระสันตะปาปาปีโอที่ 12 เขาก็พบตัวเองมาอยู่ในห้องของพระสันตปาปา “เราได้สนทนากันโดยอาศัยความคิดที่ส่งผ่านกัน  เพราะพระองค์ทรงมีจิตวิญญาณที่ศักดิ์สิทธิ์มาก”  Abbot Derobert ยืนยันเรื่องนี้ว่าเขาได้พบกับพระสันตปาปาที่กำลังหลับอยู่โดยผ่านทางความฝัน
 
 Derobert เล่าว่า ต่อมาเมื่อเขาลอยสูงขึ้นไปอีก  เขามองเห็นสิ่งสวยงามมากยิ่งขึ้นและสว่างสไวมากยิ่งขึ้น จนในที่สุดเขาก็ถูกห่อหุ้มด้วยแสงสว่างสีน้ำเงินของสวรรค์พร้อมกับวิญญาณอื่นๆจำนวนมากนับพันๆคน  เขายังคงลอยขึ้นไปอีก  จนในที่สุดเขาก็ไม่มีสภาพมนุษย์เหลืออยู่เลยกลายเป็น”หยดแห่งแสงสว่าง”  เขาได้เห็น”หยดแห่งแสงสว่าง”ของคนอื่นๆจำนวนมากมาย  และหนึ่งในนั้นที่เขาจำได้คือ นักบุญเปโตรและอัครสาวกยอห์นและเปาโล

Derobert กล่าวว่าต่อมาเขาได้เห็นพระมารดา “ในแสงสว่างอันเจิดจรัสและงดงาม”  ทรงยิ้มอย่างน่ารักยิ่งนักจนมิอาจบรรยายได้พร้อมกับพระเยซูเจ้าที่ทรงอยู่เบื้องหลังของพระนาง

 “ที่นั้นผมรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างสมบูรณ์ดีพร้อมเกินกว่าที่ผมจะสามารถปรารถนาจะได้รับ” เขากล่าวในหนังสือของ ดร.ทิลเลียร์

“ผมได้รับความเปี่ยมสุขอย่างสมบูรณ์”

ต่อมา --- Derobert ก็กลับมาสู่ร่างกายของเขาในโลก ---- ใบหน้าเต็มไปด้วยฝุ่น  เขาเห็นร่างของผู้เสียชีวิตอยู่รอบๆตัวเขาอีกครั้งหนึ่ง  เสื้อผ้าของเขาขาดวิ่นพรุนไปด้วยกระสุนปืนและมีเลือดท่วมตัว

 
เมื่อเขาออกจากกองทัพแล้ว  เขาได้ไปพบกับคุณพ่อปีโอที่ Saint Francis Hall ซึ่งอยู่ที่ San Giovanni Rotundo  คุณพ่อปีโอเรียกเขาให้เข้าไปใกล้ท่านและได้แสดงความพอใจบางอย่างกับเขา  แล้วคุณพ่อปีโอก็พูดกับ Derobert ว่า

“โอ ลูกหลอกพ่อจริงๆในครั้งนี้”

“แต่สิ่งที่ลูกเห็นนั้น  มันสวยงามมากใช่ไหม?”

แล้วคุณพ่อปีโอก็หยุดและไม่พูดอะไรอีก
----------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น