นายแพทย์ผู้เชี่ยวชาญแห่งสถาบัน
Lourdes Office of Medical Observations in France
เป็นผู้มีชื่อเสียงในการตรวจสอบอัศจรรย์ที่เกิดขึ้นที่ลูรดส์ ท่านได้เขียนหนังสือเกี่ยวกับการศึกษาของท่านในคนไข้ที่เสียชีวิตและกลับฟื้นขึ้นมาใหม่
---- หนังสือชื่อ “ New-Death
Experiences Examined.”
ดร. แพทริก
ทิลเลียร์ Dr. Patrick Theillier ----
หนังสือของท่านได้รับการสนับสนุนอย่างดีจากพระสังฆราช Most Reverend Marc
Aillet แห่งสังฆมณฑล Bayonne-Lescar-Oloron in France โดยพระสังฆราชให้ความคิดเห็นว่าหนังสือเล่มนี้จะให้บทเรียนอันมีค่าเรื่องของชีวิตและชีวิตหลังความตาย
ดร.
ทิลเลียร์เขียนว่า “ผมได้สังเกตุเห็นความคล้ายคลึงกันระหว่างประสบการณ์ใกล้ตายและปรากฏการณ์พิเศษอย่างเช่นอัศจรรย์การรักษาโรค
การประจักษ์ของแม่พระ หรือเหตุการณ์ที่เกิดกับผู้ได้รับพระพรพิเศษอื่นๆ”
“ไม่มีการบังคับว่าต้องเชื่อ”
ดร.กล่าว “เหตุการ์ณเหล่านั้นเป็นหมายสำคัญที่ถูกประทานแก่พวกเราแบบให้เปล่า
และมันไม่ต้องเสียอะไรเลยในการที่จะเชื่อ”
พระสังฆราชเป็นผู้เขียนบทนำของหนังสือ
ท่านเขียนว่า “ประสบการณ์ใกล้ตายเหล่านี้ซึ่งได้รับการพินิจพิเคราะห์จากทางวิทยาศาสตร์และจากทางศาสนา
สามารถเปิดมุมมองทางด้านสติปัญญาและหัวใจของเราได้ในเรื่องความมีอยู่จริงของชีวิตหลังความตาย
และในทำนองเดียวกันก็เป็นการยืนยันเรื่องความตายและการกลับคืนชีพของพระคริสต์ได้ด้วย
จากการศึกษาของนักวิจัยชื่อ
Kenneth Ring ระบุว่ามีคนประมาณ 8
ล้านคนในสหรัฐอเมริกาที่มีประสบการณ์ใกล้ตาย
หรือคิดเป็นจำนวนเท่ากับ 30 %ของผู้ที่ใกล้เสียชีวิตทั้งหมด
และในฝรั่งเศสมีคน 1.4
ล้านคนที่มีประสบการณ์นี้
ดร.ทิลเลียร์เขียนไว้ว่า
มีอยู่กรณีหนึ่ง ชายคนหนึ่งชื่อ มิคาแอล ดูแรนท์ Michael
Durant ที่ป่วยจากอวัยวะเป็นรูซึ่งส่งผลกับร่างกายอย่างร้ายแรง – เขาถูกประกาศว่าได้เสียชีวิตแล้วหลังการผ่าตัดเพราะภาวะหัวใจล้มเหลว
– แต่เขากลับฟื้นขึ้นมาโดยไม่สามารถอธิบายได้ ในขณะที่หลานชายของเขาซึ่งเป็นนักบวชโดมินิกันกำลังสวดภาวนาที่บริเวณอาบน้ำในลูรดส์เพื่อวอนขอให้เขาหาย
ดร.
เขียนคำพูดของดูแรนท์ที่เล่าให้ฟังหลังจากฟื้นขึ้นมาว่า “ที่บริเวณหนึ่ง
มีประตูเปิดออกและแสงสว่างเจิดจ้าอยู่เบื้องหน้าผม สำหรับผมมันไม่ใช่อุโมงค์ มันเป็นสภาวะที่อยู่ลำพัง
สงบ ผ่อนคลาย สดใส สภาวะที่ไม่สามารถอธิบายได้
ผมมีความรู้สึกว่ากำลังมุ่งหน้าไปสู่บางอย่างที่น่ายำเกรง น่าพิศวง ทุกสิ่งสวยงาม ทุกสิ่งสงบเงียบ ผมไม่สามารถอธิบายได้ว่าความรูสึกนั้นช่างดีมากสักเพียงไร
ผมมีชีวิตอยู่ในพระหรรษทานอย่างสมบูรณ์
ผมอยากประกาศว่ามีบางอย่างหลังจากเสียชีวิตแล้ว ชีวิตไม่สามารถมองในมุมเดิมได้อีก ดูเหมือนผมจะมีประสบการณ์แบบนี้
บางทีผมอาจเป็นพยานให้กับคนอื่นๆได้”
ดร.ทิลเลียร์เขียนอีกว่า
“แน่นอน ขอแนะนำให้มีความระมัดระวัง ยังมีเรื่องน่าประหลาดใจอื่นๆอีกมากอย่างเช่นเรื่องของการประจักษ์
และปรากฏการณ์ของผู้ได้รับพระพรพิเศษ
ปรากฏการณ์ใกล้ตายเป็นของประทานเพิ่มเติมที่มอบให้แก่มนุษย์”
ดร.ทิลเลียร์เขียนในหนังสือเล่าถึงประสบการณ์ของคนหลายคนที่มีรายงานว่าได้ออกจากร่างกายของตัวเองเมื่อเสียชีวิตในโรงพยาบาลและพบว่าตัวเองได้มาอยู่ในแสงสว่างของพระเจ้า
ดร.ทิลเลียร์เขียนในหนังสือเล่าถึงประสบการณ์ของคนหลายคนที่มีรายงานว่าได้ออกจากร่างกายของตัวเองเมื่อเสียชีวิตในโรงพยาบาลและพบว่าตัวเองได้มาอยู่ในแสงสว่างของพระเจ้า
มีกรณีหนึ่งเป็นเรื่องของพระสงฆ์ชื่อ
Jean Derobert ท่านเป็นพระสงฆ์ประจำการอยู่ในหน่วย French
army’s health corps.ในสงครามที่อัลจีเรีย คุณพ่อปีโอถือว่าท่านเป็น “ลูกฝ่ายวิญญาณ” และคุณพ่อปีโอได้ส่งการ์ดไปให้พระสงฆ์ท่านนี้ และท่านได้รับการ์ดในเดือนสิงหาคม 1958 บนการ์ดมีตัวหนังสือเขียนด้วยลายมือว่า
“ชีวิตเป็นการดิ้นรนอยู่เสมอแต่มันจะนำไปสู่แสงสว่าง” “Life
is a constant struggle but it leads to the light”
(ขีดเส้นใต้สองสามเส้น)
ในคืนนั้นหน่วยคอมมานโดของ
Algerian National Liberation Front
เข้าโจมตีหมู่บ้านของพวกเขาและฆ่าทุกคนที่อยู่โดยรอบ รวมทั้ง
Derobert ด้วย และ ”ในทันทีทันใดท่านก็มีประสบการณ์การออกจากร่าง”
ท่านเห็นร่างของตัวเองอยู่ท่ามกลางร่างอื่นๆซึ่งเป็นเพื่อนทหาร
แล้วท่านก็เริ่มลอยขึ้นไปยังสิ่งหนึ่งที่คล้ายกับอุโมงค์
ในอุโมงค์นั้นมีใบหน้าที่เศร้าหมองมากมายลอยขึ้นมาจากเมฆหมอก
– “ใบหน้าของประชาชนที่มีชื่อเสียงที่ไม่ดีนัก”
ขณะที่ผ่านไป
ใบหน้าเหล่านั้นก็ดูสว่างสไวมากขึ้น
เขารู้สึกประหลาดใจที่พบว่าเวลานี้เขาสามารถเดินได้และมองเห็นสิ่งต่างๆรอบตัวเขาโดยไม่ต้องหันศีรษะ
เขายังประหลาดใจอีกที่เมื่อเขาคิดถึงพ่อแม่ซึ่งยังมีชีวิตอยู่ในฝรั่งเศส ทันใดเขาก็มาอยู่ในห้องที่พ่อแม่อยู่ที่บ้านของเขา พ่อแม่ของเขากำลังหลับอยู่
เขาสังเกตุเห็นเฟอร์นิเจอร์ชิ้นหนึ่งถูกเคลื่อนย้ายไปจากที่เดิม – (ภายหลังเมื่อเขากลับบ้านได้พูดถึงเรื่องนี้ให้พ่อแม่ฟัง แม่ของเขาถามว่าเขารู้เรื่องนี้ได้อย่างไร)
ยังมีเรื่องน่าประหลาดใจยิ่งไปกว่านั้น
เมื่อเขาคิดถึงพระสันตะปาปาปีโอที่ 12 เขาก็พบตัวเองมาอยู่ในห้องของพระสันตปาปา “เราได้สนทนากันโดยอาศัยความคิดที่ส่งผ่านกัน เพราะพระองค์ทรงมีจิตวิญญาณที่ศักดิ์สิทธิ์มาก” Abbot
Derobert ยืนยันเรื่องนี้ว่าเขาได้พบกับพระสันตปาปาที่กำลังหลับอยู่โดยผ่านทางความฝัน
Derobert เล่าว่า ต่อมาเมื่อเขาลอยสูงขึ้นไปอีก เขามองเห็นสิ่งสวยงามมากยิ่งขึ้นและสว่างสไวมากยิ่งขึ้น
จนในที่สุดเขาก็ถูกห่อหุ้มด้วยแสงสว่างสีน้ำเงินของสวรรค์พร้อมกับวิญญาณอื่นๆจำนวนมากนับพันๆคน เขายังคงลอยขึ้นไปอีก
จนในที่สุดเขาก็ไม่มีสภาพมนุษย์เหลืออยู่เลยกลายเป็น”หยดแห่งแสงสว่าง” เขาได้เห็น”หยดแห่งแสงสว่าง”ของคนอื่นๆจำนวนมากมาย และหนึ่งในนั้นที่เขาจำได้คือ
นักบุญเปโตรและอัครสาวกยอห์นและเปาโล
Derobert กล่าวว่าต่อมาเขาได้เห็นพระมารดา “ในแสงสว่างอันเจิดจรัสและงดงาม” ทรงยิ้มอย่างน่ารักยิ่งนักจนมิอาจบรรยายได้พร้อมกับพระเยซูเจ้าที่ทรงอยู่เบื้องหลังของพระนาง
“ที่นั้นผมรู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างสมบูรณ์ดีพร้อมเกินกว่าที่ผมจะสามารถปรารถนาจะได้รับ”
เขากล่าวในหนังสือของ ดร.ทิลเลียร์
“ผมได้รับความเปี่ยมสุขอย่างสมบูรณ์”
ต่อมา --- Derobert ก็กลับมาสู่ร่างกายของเขาในโลก ---- ใบหน้าเต็มไปด้วยฝุ่น เขาเห็นร่างของผู้เสียชีวิตอยู่รอบๆตัวเขาอีกครั้งหนึ่ง เสื้อผ้าของเขาขาดวิ่นพรุนไปด้วยกระสุนปืนและมีเลือดท่วมตัว
เมื่อเขาออกจากกองทัพแล้ว เขาได้ไปพบกับคุณพ่อปีโอที่ Saint
Francis Hall ซึ่งอยู่ที่ San Giovanni Rotundo
คุณพ่อปีโอเรียกเขาให้เข้าไปใกล้ท่านและได้แสดงความพอใจบางอย่างกับเขา แล้วคุณพ่อปีโอก็พูดกับ Derobert ว่า
“โอ ลูกหลอกพ่อจริงๆในครั้งนี้”
“แต่สิ่งที่ลูกเห็นนั้น มันสวยงามมากใช่ไหม?”
แล้วคุณพ่อปีโอก็หยุดและไม่พูดอะไรอีก
----------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น