นักวิทยาศาสตร์ยิ่งใหญ่ของโลกหลายคนที่เป็นคาทอลิกและมีความเชื่อในพระเป็นเจ้าอย่างลึกซึ้ง
และที่สำคัญก็คือบางท่านก็เป็นพระสงฆ์คาทอลิกด้วย ยกตัวอย่างเช่น
Georges
Lemaitre
จอร์จ เลมาร์ท
ทฤษฏีบิกแบง
ว่าด้วยการกำเนิดจักรวาล ก็มาจากพระสงฆ์คาทอลิกชื่อ Georges Lemaitre
ท่านเป็นพระสงฆ์เยซูอิตและเป็นนักดาราศาสตร์ ทฏษฏีบิกแบงนี้ท้าทายความคิดของบรรดานักคิดในยุคสมัยใหม่ของศตวรรษที่ 21 ซึ่งไม่เชื่อในพระเจ้า
และเป็นยุคที่ศาสนาและวิทยาศาสตร์มีความขัดแย้งกัน
จอร์จ เลมาร์ทไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์ที่อยู่ในความเชื่อคาทอลิกเพียงคนเดียวเท่านั้น ยังมีท่านอื่นๆอีก
Gregor Mendel
เกรเกอร์ เมนเดล
(ยอห์น เกรโกรี่ เมนเดล)
เมนเดล
อยู่ร่วมยุคสมัยกับชาร์ล ดาร์วิน ผู้เสนอทฏษฏีวิวัฒนาการ ที่กล่าวว่าสิ่งมีชีวิตมีวิวัฒนาการทีละน้อยและค่อยๆเปลี่ยนแปลงรูปร่างเพื่อให้มีชีวิตรอดในสิ่งแวดล้อม
จนกลายเป็นสิ่งมีชีวิตอีกชนิดหนึ่ง
เมื่อเมนเดลรู้ข่าวเกี่ยวกับทฤษฏีใหม่นี้ที่ขัดแย้งกับพระคัมภีร์ที่กล่าวว่าสิ่งมีชีวิตมีกำเนิดมาจากการสร้างของพระเป็นเจ้า"พระเจ้าทรงสร้างสิ่งมีชีวิตแต่ละชนิดตามชนิดของมัน" เมนเดลไม่เห็นด้วยกับชาร์ล ดาร์วิน
และทำการพิสูจน์ว่าสิ่งมีชีวิตมีการถ่ายทอดลักษณะจากพ่อแม่มาสู่รุ่นลูก ท่านทดลองด้วยการปลูกถั่วลันเตาที่มีลักษณะต่างๆหลายรุ่น
และได้ผลลัพท์ที่กลายเป็นกฎมาจนทุกวันนี้ เรียกว่า “กฎพันธุศาสตร์ของเมนเดล” (กฎ เป็นความจริงแท้แน่นอน
ส่วนทฤษฏียังไม่ใช่ความจริง) กฎของเมนเดลสรุปได้ว่า
1.
การถ่ายทอดลักษณะหนึ่งลักษณะใดของสิ่งมีชีวิตถูกควบคุมโดยปัจจัย (fector) เป็นคู่ๆ
ต่อมาปัจจัยเหล่านั้นถูกเรียกว่า ยีน (gene)
4.
เมื่อมีการสร้างเซลล์สืบพันธุ์(gamete) ยีนที่อยู่เป็นคู่ๆจะแยกออกจากกันไปอยู่ในเซลล์สืบพันธุ์ของแต่ละเซลล์และ
ยีนเหล่านั้นจะเข้าคู่กันได้ใหม่อีกในไซโกต
6.
ลักษณะที่ปรากฏออกมาในรุ่น F1 มีเพียงลักษณะเดียวเรียกว่า
ลักษณะเด่น ( dominant) ส่วนลักษณะที่ปรากฏในรุ่น F2
และมีโอกาสปรากฏในรุ่นต่อไปได้น้อยกว่า เรียกว่า ลักษณะด้อย (recessive)
เมนเดลบวชเป็นพระสงฆ์ในคณะออกัสตินในปี
1868 และเป็นเจ้าอาวาสโบสถ์ในเมืองบรูโน ปัจจุบันอยู่ในสาธารณรัฐเช็ค ผลงานของเมนเดลได้รับการจัดพิมพ์ใน 1866
และมีผู้ทำการทดลองต่อจากเมนเดล ทำให้มีความรู้ในเรื่องพันธุศาสตร์มากยิ่งขึ้น
ชาร์ล
ดาร์วินซึ่งเป็นลูกชายของพระในนิกายแองกลิกันของอังกฤษ
ได้เสนอทฤษฏีที่ขัดแย้งกับคำสอนในพระคัมภีร์
คนในสมัยนั้นซึ่งไม่เชื่อในพระเจ้าจึงรับเอาทฤษฏีวิวัฒนาการมาประยุกต์ใช้ในทางวิทยาศาสตร์และมีการสอนในโรงเรียนและมหาวิทยาลัยจวบจนถึงปัจจุบันนี้
เมนเดลซึ่งเป็นพระสงฆ์คาทอลิก
ได้เปิดเผยความจริงของการเนรมิตสร้างของพระเป็นเจ้า
ทำให้รู้ถึงวิธีการของพระเป็นเจ้าในการสร้างสิ่งมีชีวิต ด้วยกฎของเมนเดลซึ่งก้าวล้ำหน้าไปเป็นอันมากจนสามารถนำมาใช้ในทางการแพทย์ด้านพันธุกรรม
ชีววิทยาและวิทยาศาสตร์ธรรมชาติอื่นๆ
และนี่จึงเป็นเรื่องราวการต่อสู้ระหว่าางความจริงกับความเท็จในโลกของวิทยาศาสตร์
Mary Kenneth
Keller
แมรี่ เคนเนท
เคลเลอร์
เมื่อเราคิดถึงผู้บุกเบิกทางด้านวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ เราคงไม่นึกถึงแม่ชี (ซิสเตอร์) เป็นแน่ แมรี่ เคนเนท เคลเลอร์เข้าสู่คณะนักบวช Sisters of Charity of the Blessed Virgin Mary ที่โอไฮโอ ในปี 1932 และได้ปฏิญาณตนในปี 1940
เธอมีความฉลาดปราดเปรื่องทางด้านคณิตศาสตร์และได้รับปริญญาหลายใบในปีต่อๆมา
ปลายปี
1950 แมรี่ เคลเลอร์ เริ่มต้นทำงานในศูนย์วิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ที่วิทยาลัยดาร์ทเมาท์ และเป็นผู้ร่วมงานคนเดียวที่เป็นสตรี หลังจากได้รับปริญญาเอก
เธอก็ย้ายไปที่วิทยาลัยคาร์กในไอโอวาเพื่อก่อตั้งแผนกวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์ขึ้น
แผนกของเธอได้บุกเบิกงานทางด้านนี้มากมายจนเธอมีชื่อเสียงในด้านนี้และวิทยาลัยได้เปลี่ยนชื่อตามชื่อของเธอ
ผลงานของเธอเป็นการปูพื้นฐานให้กับวิทยาศาสตร์คอมพิวเตอร์สมัยใหม่
Stephen Barr
สตีเฟน บารร์
บารร์ได้รับรางวัลเหรียญ
Benemerenti
Meda จากพระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16 ในปี 2007
สำหรับกิจการงานทางด้านศาสนา
วิทยาศาสตร์และงานสาธารณประโยชน์
ท่านสอนวิชาความสัมพันธ์ระหว่างวิทยาศาสตร์และศาสนา
และได้เขียนหนังสือลงในนิตยสาร หนังสือพิมพ์ และแมกกาซีน
บารร์เป็นผู้เคร่งครัดในความเชื่อคาทอลิก
บารร์ประสบความสำเร็จทางด้านวิทยาศาสตร์ในการวิจัยทางดาราศาสตร์และฟิสิกซ์อนุภาค
ท่านช่วยวิจัยและค้นพบหลายสิ่งในการศึกษาอนุภาคพื้นฐาน
บารร์ได้รับปริญญาเอกจากมหาวิทยาลัยปรินซ์ตันในปี
1978 และได้เป็นหัวหน้านักวิจัยที่มหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย มหาวิทยาลัยวอชิงตันและห้องสมุดแห่งชาติบรุ๊คฮาเวน
นอกจากนี้ยังได้รับหน้าที่ในสถาบันต่างๆอีกมากมาย
บารร์ได้เป็นสมาชิกของสมาคมนักฟิสิกซ์อเมริกันดีเด่น ซึ่งเป็นองค์กรของนักฟิสิกซ์ที่ใหญ่ที่สุดในโลก
บารร์เป็นตัวอย่างที่ดีของคาทอลิกที่เชื่อมโยงความเชื่อทางวิทยาศาสตร์และศาสนาเข้าด้วยกันได้เป็นอย่างดี
Giovanni
Inghirami
จีโอวานนี่ อินกิรามี
จีโอวานนีเป็นพระสงฆ์คาทอลิก
ชื่อของท่านได้รับเกียรติโดยถูกใช้ตั้งชื่อของหุบเขาและเครเตอร์บนดวงจันทร์
ซึ่งทำให้รู้ว่าท่านมีความเชี่ยวชาญทางด้านดาราศาสตร์
เมื่ออายุ
17 ปี จีโอวานนีทำงานกับพระสงฆ์คณะปีเอริสต์ Piarist
Fathers โดยเป็นครูสอนหนังสือ
ต่อมาได้ยกฐานะขึ้นเป็นศาสตราจารย์คณิตศาสตร์และปรัชญาที่ Pious Schools of
Volterra ท่านได้จัดพิมพ์ผลงานทางด้านดาราศาสตร์และตารางดวงดาว
และยังมีผลงานอีกเล็กน้อยทางด้านไฮดรอลิกส์และสแตติก
ชีวิตทางด้านศาสนา
จีโอวานนีได้เป็นอธิการของคณะที่ท่านอยู่นี้
แต่ต่อมาได้ขอลาออกเนื่องจากสุขภาพที่ไม่สู้ดีและมีสายตาเสื่อม การลาออกทำให้ท่านมีเวลามากขึ้นในการสอนหนังสือและเขียนผลงานการวิจัย ท่านเสียชีวิตในปี 1851
ท่านยังมีอิทธิพลต่อพระสันตปาปาในอนาคตซึ่งเป็นลูกศิษย์คนหนึ่งของท่าน คือพระสันตะปาปาปีโอที่
9
Mariano Artigas
มารีอาโน
อาร์ติกาส
มารีอาโนเป็นพระสงฆ์และเป็นสมาชิกของสมาคม
โอปุสเดอี Opus Dei ได้รับการบวชเป็นพระสงฆ์ในปี
1964 และในปี 1995 ท่านได้รับรางวัล Templeton
Prize ในผลงานความสัมพันธ์ระหว่างวิทยาศาสตร์และศาสนา ผลงานของท่านส่วนใหญ่จะเกี่ยวกับ apologetics
(สาขาของศาสนศาสตร์ที่เกี่ยวกับการปกป้องความเชื่อคริสตศาสนา) ท่านยังเป็นที่ปรึกษาของสันตสำนักสภาเพื่อการเสวนากับผู้ไม่มีความเชื่อ
มารีอาโนมีความสนใจในเรื่องของวิทยาศาสตร์
ปรัชญาและศาสนา ไปพร้อมๆกัน
ทำให้เขาเป็นผู้ก่อตั้งกลุ่มผู้วิจัยด้านวิทยาศาสตร์
เหตุผลและความเชื่อในมหาวิทยาลัยนาวาร์รา ในปี 2002 ท่านจัดพิมพ์บทความมากกว่า 150
เรื่องและพิมพ์หนังสือในสามสาขานี้
ท่านได้รับปริญญาเอกสาขาปรัชญา
ฟิสิกว์และเทววิทยา ท่านเสียชีวิตในปี 2006
พระสันตะปาปายอห์นปอลที่
2 ทรงกล่าวในสมณสาส์น Fides et Ratio ว่า
“ความเชื่อและเหตุผลเหมือนกับปีกสองปีกที่ช่วยยกจิตใจของมนุษย์ให้พิจารณาไตร่ตรองความจริง และพระเป็นเจ้าทรงใส่ลงในหัวใจของมนุษย์ให้ปรารถนาที่จะรู้ความจริง
หรือกล่าวได้ว่า ที่จะรู้จักพระองค์
เพื่อที่โดยการรู้และรักพระเจ้า
มนุษย์ชายหญิงจักสามารถมาสู่ความรู้ในความจริงสมบูรณ์เกี่ยวกับตัวเอง” นักวิทยาศาสตร์ผู้มีความเชื่อคาทอลิกผู้นี้เป็นตัวอย่างแก่ผู้ที่ต้องการแสวงหาและใช้วิทยาศาสตร์เพื่อที่จะเข้าใจความเชื่อ
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น