เราไม่สามารถรู้สึกถึงลมหายใจของคนอื่นได้นอกจากเราจะอยู่ใกล้กับร่างกายของผู้นั้น สิ่งนี้เกิดขึ้นได้ถ้าเราอิงแอบชิดใกล้เพื่อที่จะฟังเสียงกระซิบของใครบางคน
และบังเกิดขึ้นได้เมื่อมีการจุมพิตระหว่างคู่รัก หรือในบางวัฒนธรรมใช้การสัมผัสแก้มกันในหมู่มิตรสหาย หรือเกิดขึ้นขณะที่มารดาอุ้มลูกน้อยของเธอ
บางครั้งเราลืมนึกถึงเรื่องลมหายใจในเวลาที่เราอ่านพระคัมภีร์เกี่ยวกับการที่พระเยซูเจ้าทรงเป่าลมหายใจของพระองค์เหนือศีรษะของบรรดาศิษย์
(ยอห์น 20:13)
มาฟังดูอีกครั้ง
“ค่ำวันนั้นซึ่งเป็นวันต้นสัปดาห์
ประตูห้องที่บรรดาศิษย์ชุมนุมกันปิดอยู่เพราะกลัวชาวยิว
พระเยซูเจ้าเสด็จมาประทับยืนอยู่ตรงกลางตรัสกับเขาทั้งหลายว่า ‘สันติสุขจงสถิตอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด’ ตรัสดังนี้แล้ว
พระองค์ทรงให้บรรดาศิษย์ดูพระหัตถ์และด้านข้างพระวรกาย เมื่อพวกเขาเห็นองค์พระผู้เป็นเจ้า ก็มีความยินดี พระองค์ตรัสกับเขาอีกว่า 'สันติสุขจงสถิตอยู่กับท่านทั้งหลายเถิด พระบิดาทรงส่งเรามาฉันใด เราก็ส่งท่านทั้งหลายไปฉันนั้น' ตรัสดังนี้แล้ว
พระองค์ทรงเป่าลมเหนือเขาทั้งหลาย ตรัสว่า ‘จงรับพระจิตเจ้าเถิด ท่านอภัยบาปของผู้ใด
บาปของผู้นั้นก็ได้รับการอภัย ท่านไม่อภัยบาปของผู้ใด
บาปของผู้นั้นก็ไม่ได้รับการอภัย’”
คิดดูเถิดว่าบรรดาศิษย์ต้องอยู่ใกล้ชิดพระเยซูเจ้าสักเพียงไร พวกเขาจึงได้รู้สึกถึงลมหายใจของพระองค์ที่เป่าเหนือพวกเขา เรื่องนี้แสดงถึงความจริงประการหนึ่ง
นั่นคือเราจะรู้สึกถึงพระจิตเจ้าได้ก็ขึ้นอยู่กับว่าเราอยู่ใกล้ชิดพระคริสต์มากเพียงไร
นักบุญออกัสตินกล่าวว่า “ให้พวกเขากลับกลายเป็นพระกายของพระคริสต์เถิด
ถ้าพวกเขาปรารถนาที่จะดำรงชีวิตในพระจิตของพระองค์
เพราะไม่มีผู้ใดมีชีวิตในพระจิตของพระคริสต์ได้ ถ้าหากผู้นั้นไม่กลายเป็นพระกายของพระองค์” นักบุญออกันตินกล่าวเมื่อท่านเทศน์สอนในเรื่องปังแห่งชีวิตตามพระวรสารนักบุญยอห์น
6
ออกัสตินเทศน์สอนเรื่องนี้สำหรับเตือนผู้ที่ประกาศตนว่าเขาเป็นคริสตชนแต่เขาไม่ต้องการที่จะเข้ามาอยู่ในพระศาสนจักร
บุคคลเหล่านี้ก็เป็นเหมือนกับใครบางคนที่กล่าวว่า “ผมชอบคุณ
แต่ผมไม่ต้องการอยู่ใกล้ตัวคุณ”
ออกัสตินเปรียบเทียบกับร่างกายของมนุษย์
ท่านกล่าวว่า “เราแต่ละคนเป็นจิตวิญญาณและร่างกาย
ร่างกายมีชีวิตโดยจิตวิญญาณซึ่งเป็นจิตที่ไม่สามารถมองเห็นได้ พวกท่านก็ควรมีชีวิตโดยพระจิตของพระคริสต์ โดยดำรงอยู่ในพระกายของพระองค์
เพราะแน่นอนว่าร่างกายของข้าพเจ้ามิอาจมีชีวิตในจิตวิญญาณของท่านได้
ร่างกายของข้าพเจ้ามีชีวิตในจิตวิญญาณของข้าพเจ้าเอง
และร่างกายของท่านก็มีชีวิตในจิตวิญญาณของท่านเอง พระกายของพระคริสต์ก็ไม่สามารถมีชีวิตในสิ่งอื่นได้นอกจากในพระจิตของพระคริสต์”
ออกัสตินยังได้นำเราให้พิจารณาไตร่ตรองอีกเรื่องหนึ่ง เนื่องจากเราต้องอยู่ในพระกายของพระคริสต์ (พระศาสนจักร) เพื่อที่จะรับพระจิตของพระคริสต์ได้ ดังนั้นเป็นพระจิตเจ้าที่ทรงช่วยเราให้อยู่ในพระกายของพระคริสต์ ดังเช่นที่พระเจ้า - พระบุตร พระวจนาตถ์ – ทรงลงมาบังเกิดโดยอาศัยพระจิตเจ้า
และเป็นพระจิตเจ้านี้เองที่ทำให้เราเกิดใหม่ด้วยศีลล้างบาป
เป็นพระจิตเจ้าที่ทรงทำให้พระคริสต์ทรงปรากฏพระองค์ในศีลมหาสนิท
เป็นพระจิตเจ้าที่นำเราไปสู่ความเชื่อในพระคริสต์และเติมเต็มเราด้วยพระหรรษทาน
ในพระวาจาที่ทรงไขแสดง
พระจิตเจ้าทรงเตรียมมนุษย์และทำให้พวกเขามีชีวิตด้วยพระหรรษทานของพระองค์เพื่อนำพวกเขาให้มาสู่พระคริสต์ พระจิตเจ้าทรงเปิดเผยพระคริสต์ผู้ทรงกลับคืนพระชนม์แก่พวกเขา
ทำให้พวกเขาจดจำพระวาจาและเปิดจิตใจของพวกเขาให้เข้าใจถึงพระธรรมล้ำลึกเรื่องความตายและการกลับคืนชีพของพระคริสต์
พระคัมภีร์ให้ภาพลักษณ์ของพระจิตเจ้าเป็นเหมือนลมหายใจของพระคริสต์ซึ่งเชื่อมโยงกับการลงมาบังเกิดของพระองค์ด้วยวิธีพิเศษ ในการลงมาบังเกิดนั้น พระเจ้าผู้ทรงเป็นนิรันดรทรงรับเอาธรรมชาติมนุษย์ที่เป็นเนื้อหนังและกระดูกและทรงรับธรรมชาติที่เสื่อมสลายและตายได้ของมนุษย์ แน่นอนสิ่งที่เสื่อมสลายได้เหล่านี้มิอาจบังเกิดกับองค์พระเจ้าผู้ทรงลงมาบังเกิดเป็นมนุษย์ได้ การกลับฟื้นคืนพระชนม์ของพระองค์เป็นเครื่องปลอบประโลมใจพวกเราว่า สักวันหนึ่งร่างกายที่เสื่อมสลายของพวกเราจะเป็นอมตะตลอดนิรันดร
พระสัญญานี้มั่นคงและยืนยงด้วยพระจิตเจ้า พระจิตเจ้าผู้ทรงเปรียบเสมือนลมหายใจ
เพราะสิ่งใดที่จะจะเป็นเครื่องบ่งบอกความเป็นมนุษย์ได้ดีเท่ากับลมหายใจได้เล่า? ดังที่บทสดุดี 39;6 กล่าวไว้ว่า “ชีวิตของข้าพระองค์หาได้มีค่าอันใดไม่เบื้องพระพักตร์ของพระองค์ มนุษย์ทุกคนมิได้เป็นอะไรนอกจากลมหายใจ” และบทสดุดี 144:4 กล่าวว่า
“มนุษยเป็นเพียงลมหายใจ
วันเวลาของเขาเป็นเหมือนเงาที่ผ่านไป”
ในพระจิตเจ้า ร่างกายที่ตายได้ของพวกเราจะเปลี่ยนแปลงไปในนิรันดรภาพเหมือนดังเช่นพระจิตเจ้าเอง พระองค์จะทรงเปลี่ยนแปลงสังขารของมนุษย์เพื่อที่พวกเราจะกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตอันศักดิ์สิทธิ์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น