วันพุธที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2560

ปีศาจกลัวแม่พระมาก


 
“ถ้าคริสตชนรู้ถึงอำนาจของสายประคำแล้วละก็ มันจะเป็นจุดจบของข้า”

เราขอแบ่งปันเรื่องราวการสนทนาระหว่างซาตานกับคุณพ่อ กาเบรียล เอม็อท พระสงฆ์ผู้ทำพิธีขับไล่ปีศาจอย่างเป็นทางการของวาติกัน ท่านเสียชีวิตแล้วเมื่ออายุ 91 ปี  คุณพ่อเผชิญหน้ากับซาตานในหลายโอกาส และคุณพ่อเอม็อทถามและฟังมันพูด และแน่นอนคำพูดทั้งหมดของมันเป็นคำโกหก  เพราะปีศาจทำงานโดยการโกหก

คำตอบของปีศาจ

Fabio Marchese Ragona ผู้ดูแลบล็อก Stanze Vaticane blog, เขียนในบล็อกว่า “ในระหว่างพิธีขับไล่ปีศาจครั้งหนึ่ง คุณพ่อเอม็อทถามปีศาจว่ามันจะออกจากเด็กหญิงเมื่อไร  ปีศาจตอบว่ามันจะสิงอยู่จนถึงวันที่ 8 ธันวาคม  ผลก็คือไม่เป็นความจริง เมื่อคุณพ่อเอม็อทตำหนิมันในเรื่องนี้ มันตอบว่า “ไม่มีใครบอกแกหรือว่าข้าคือจอมโกหก?” (Faro di Roma, September 2016).

ปีศาจยอมให้ถูกสอบถามได้อย่างไร?

คุณพ่อเอม็อทให้สัมภาษณ์เว็ปไซด์ Luce di Maria (May, 2015) ว่า “ผู้ทำพิธีไต่สวนปีศาจและได้รับคำตอบจากมัน” แต่ถ้าปีศาจเป็นเจ้าแห่งการโกหกแล้ว จะมีประโยชน์อะไรที่จะไปสอบถามมัน?

“เป็นความจริงที่เราต้องพิจารณากลั่นกรองคำตอบของปีศาจในภายหลัง บางทีพระเป็นเจ้าจะทรงบังคับเจ้าปีศาจให้พูดความจริง เพื่อแสดงให้เห็นว่าซาตานต้องยอมจำนนต่อพระคริสต์ และมันถูกบังคับให้เชื่อฟังคำสั่งของผู้ที่เป็นคนของพระคริสต์เมื่อพวกท่านสอบถามในพระนามของพระองค์”

ความอัปยสอดสูยิ่งนัก

ตามคำพูดของคุณพ่อเอม็อท บ่อยครั้งปีศาจบอกว่ามันถูกบังคับให้พูด ซึ่งมันพยายามทุกอย่างที่จะหลีกเลี่ยงสิ่งนี้ ตัวอย่างเช่น เมื่อมันถูกบังคับให้เปิดเผยชื่อของมัน นั่นเป็นความอัปยศอดสูอย่างยิ่งสำหรับมัน เพราะเป็นเครื่องหมายว่ามันพ่ายแพ้  แต่จะเป็นความเสียหายแก่ผู้ทำพิธีที่สอบถามด้วยความอยากรู้อยากเห็น (ซึ่งเป็นเรื่องต้องห้ามในการทำพิธี) เพราะพวกเขาอาจถูกชักนำด้วยคำพูดของปีศาจในการสนทนากับมัน  เพราะมันเป็นเจ้าแห่งการโกหก ซาตานจะมีความอับอายและอัปยศอดสูเป็นอย่างยิ่งเมื่อมันถูกพระเป็นเจ้าบังคับให้มันพูดความจริง

 “ข้าแข็งแกร่งยิ่งกว่าพระเจ้า”

ในการให้สัมภาษณ์กับทาง Urlo Magazine (2009), คุณพ่อเอม็อทเล่าว่า “ครั้งหนึ่ง ผมถามปีศาจว่าทำไมมันจึงชอบที่จะลงไปสู่นรกทั้งๆที่มันมีสติปัญญาและความเฉลียวฉลาด มันตอบว่า “ข้าเป็นกบฏต่อสู้กับพระเจ้า ดังนั้น ข้าจึงแสดงให้เห็นว่าข้าแข็งแกร่งกว่าพระองค์  เพราะฉะนั้น สำหรับพวกมัน การเป็นกบฏเป็นเครื่องหมายของชัยชนะและความเหนือกว่า

 “ข้ากลัวเมื่อแกใช้พระนามของแม่พระ...”

ในหนังสือ The Last Exorcist ซึ่งแต่งขึ้นโดยนำเนื้อเรื่องมาจากบล็อกหลายแห่ง รวมทั้ง Gloria TV และ Testimonianze di fede  คุณพ่อเอม็อทได้เล่าเรื่องการสนทนาทั้งหมดของท่านกับปีศาจในฐานะผู้ทำพิธีขับไล่ปีศาจ

คุณพ่อเอม็อท – “คุณธรรมใดของแม่พระที่ทำให้เจ้าโกรธเกรี้ยวมากที่สุด?”

ปีศาจ – “พระนางทำให้ข้าโกรธเกรี้ยวเพราะพระนางทรงถ่อมตนมากที่สุดในบรรดาสิ่งสร้างทั้งมวล และเพราะข้าหยิ่งจองหองมากที่สุด , เพราะพระนางทรงบริสุทธิ์ที่สุดในบรรดาสิ่งสร้างทั้งมวล และข้าไม่บริสุทธิ์, และในบรรดาสิ่งสร้างทั้งมวล พระนางทรงนบนอบเชื่อฟังพระเป็นเจ้ามากที่สุด  และข้าเป็นกบฏต่อพระองค์”

คุณพ่อเอม็อท – “จงบอกถึงลักษณะประการที่สี่ของแม่พระที่ทำให้เจ้ากลัวพระนางยิ่งนัก  และเหตุที่ทำให้เจ้ากลัวเมื่อเอ่ยพระนามของแม่พระมากยิ่งกว่าเมื่อเอ่ยพระนามของพระเยซูคริสต์”

ปีศาจ – “ข้ากลัวยิ่งนักเมื่อแกเอ่ยพระนามของแม่พระยิ่งกว่าการเอ่ยพระนามของพระคริสต์ เพราะข้ารู้สึกอับอายและอัปยศอดสูเป็นอย่างยิ่งที่ถูกลงโทษโดยมนุษย์ซึ่งเป็นเพียงสิ่งสร้างธรรมดาเท่านั้น...”

คุณพ่อเอม็อท – “จงบอกถึงลักษณะประการที่สี่ของแม่พระที่ทำให้เจ้าโกรธเกรี้ยวมากที่สุด”

ปีศาจ – “เพราะพระนางทรงทำให้ข้าพ่ายแพ้อยู่เสมอ เพราะพระนางไม่เคยมีมลทินใดๆจากบาปเลย”

ในระหว่างการขับไล่ปีศาจครั้งหนึ่ง คุณพ่อเอม็อทเล่าว่า “ซาตานบอกกับผมผ่านทางผู้ที่มันสิงว่า การสวดบทวันทามารีย์ของสายประคำทุกบทเป็นการเฆี่ยนที่หัวของข้า ถ้าคริสตชนรู้ถึงอำนาจของสายประคำแล้วละก็ มันจะเป็นจุดจบของข้า”

การเผชิญหน้าครั้งแรก

ในเว็ปไซต์ Libero (February 3, 2012) คุณพ่อเอม็อทเล่าถึงการเผชิญหน้าครั้งแรกของท่านกับซาตาน มันเกิดขึ้นในระหว่างการทำพิธี

“ในทันทีทันใด ผมรู้สึกได้ถึงการปรากฏของปีศาจเบื้องหน้าผม ผมรู้สึกว่าปีศาจตนนี้กำลังมองดูผมอยู่ มันพินิจพิเคราะห์ผมและเคลื่อนไปรอบๆตัวผม อากาศหนาวเย็นลง มันหนาวอย่างยิ่ง คุณพ่อแคนดิโดได้เตือนผมล่วงหน้าแล้วเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงอุณหภูมิเช่นนี้ แต่การฟังย่อมไม่รู้สึกเท่ากับการมีประสบการณ์เอง ผมรู้สึกเหนื่อยล้าและเครียด ผมจึงปิดตาลงและสวดภาวนาแบบท่องจำต่อไป จงออกไป เจ้ากบฏ จงออกไป เจ้าผู้ล่อลวง ที่เต็มไปด้วยความผิดทุกชนิด เจ้าศัตรูของความดี เจ้าผู้เบียดเบียนผู้บริสุทธิ์ จงยกสถานที่นี้ให้แก่พระคริสต์  ในบุคคลผู้นี้จะไม่มีผลงานใดๆของเจ้าอีกต่อไป...

*************

การไล่ผีตามธรรมเนียมคาทอลิก
คุณพ่อ ไพบูลย์ อุดมเดช C.Ss.R.
การไล่ผีมีมาตั้งแต่เมื่อไหร่?

ธรรมเนียมการไล่ผีนั้นมีมาตั้งแต่ยุคแรกของพระศาสนจักรแล้ว มีหลักฐานบันทึกเรื่องการไล่ผีหรือจิตชั่วที่ชัดเจนในพระคัมภีร์ คือเมื่อพระเยซูเจ้าไล่ผีหรือจิตโสโครกจากคนที่ถูกผีสิง (มก.1.21-28 มธ.12.22-23) พระองค์ไล่ผีจากเด็กชายคนหนึ่ง (มธ. 17.14-27) หลังจากที่พระเยซูเจ้าเสด็จขึ้นสวรรค์แล้ว ธรรมเนียมการไล่ผีก็ยังมีอยู่ในพระศาสนจักรเรื่อยมา

ความหมายของการไล่ผีในพระคัมภีร์

พระเยซูเจ้าทรงไล่ผีนั้นมิได้มีความหมายเพียงไล่จิตชั่วเท่านั้น แต่มีความหมายถึงการมาถึงของอาณาจักรพระเจ้า พระเจ้าได้ครอบครองแล้ว เวลาเราอ่านพระคัมภีร์ต้องรู้เสมอว่า พระเยซูเจ้าทำอัศจรรย์นั้นล้วนมีเป้าหมายสุดท้ายอยู่ที่การประกาศพระอาณาจักรพระเจ้า ประกาศการที่พระเจ้าปกครองและมีอำนาจเหนือสิ่งชั่วร้ายทั้งหลาย รวมทั้งผีปีศาจด้วย

ผีในความหมายของคาทอลิกคืออะไร?

ผีหมายถึงจิตชั่วร้าย วิญญาณชั่วร้ายที่สามารถสิงบุคคลหรือสัตว์ได้ มีกล่าวถึงบทบาทของผีในพระคัมภีร์ที่สิงบุคคลทำให้เขาป่วย เป็นบ้า (มธ.17.14-17) ผีหรือจิตชั่วร้ายจะเข้าสิงคนที่มีจิตใจอ่อนแอ จิตอ่อน คนที่ไม่มีความเชื่อมั่นในพระเจ้า พระคัมภีร์ยังกล่าวถึงด้วยว่าผีสามารถเข้าไปสิงสัตว์ด้วย เช่นตอนที่พระเยซูเจ้าไล่ผีจากคนแล้วมันขอเข้าไปสิงในหมู (มก.5.11-13) คำว่า ผีดังกล่าวนั้นต่างจาก วิญญาณของคนที่จากร่างไปเมื่อความตายมาเยือน

การไล่ผีหรือจิตชั่วในยุคปัจจุบัน

ในยุคปัจจุบันเมื่อวิทยาการทางแพทย์เจริญมากขึ้น หลายๆกรณีที่เคยเชื่อกันว่าเป็นเพราะผีเข้านั้นก็มองว่าเป็นผลของจิตใจหรือ การป่วยทางจิตมากกว่า ความเจริญทางวิชาจิตวิทยาได้พิสูจน์ให้เห็นว่าเมื่อคนเราป่วยทางจิต จะมีผลต่อพฤติกรรมในหลายๆอย่าง เหตุนี้เอง พระศาสนจักรในปัจจุบันจึงได้จำกัดบทบาทของพระสงฆ์ในการไล่ผีลงมากกว่าในอดีต ปัจจุบันคำสอนและกฎของพระศาสนจักรกำหนดเงื่อนไขและคุณสมบัติของคนที่จะทำการไล่ผีได้นั้นให้เป็นสิทธิ์ของพระสงฆ์ที่ได้รับอนุญาตพิเศษจากพระสังฆราชท้องถิ่นเท่านั้น และนอกจากนั้นพระสงฆ์ดังกล่าวก็จะต้องเป็นคนที่มีคุณสมบัติเหมาะสม ไม่ใช่พระสงฆ์ทุกคนจะไล่ผีได้ ต่อไปนี้คือความหมายและเงื่อนไขของการไล่ผีที่ผมแปลออกมาจากหนังสือคำสอน คาทอลิกและจากกฎหมายของพระศาสนจักร

หนังสือคำสอนเล่มใหม่กับการไล่ผีข้อที่ 1673

เมื่อพระศาสนจักรวอนขออย่างเปิดเผยและเป็นพิธีการต่อพระนามของ พระเยซูคริสตเจ้าให้ปกปักษ์รักษาบุคคลหรือสิ่งของให้พ้นจากอำนาจของเจ้าความชั่วร้ายและให้พ้นจากการครอบงำของมัน พิธีนี้เรียกว่า การไล่ผี (Exorcism) พระเยซูเจ้าได้ทำการไล่ผี และเพราะเหตุนี้เองพระศาสนจักรจึงได้รับอำนาจและหน้าที่ในการไล่ผี ในรูปแบบสามัญทั่วไปพิธีไล่ผีเป็นส่วนหนึ่งของพิธีล้างบาป แต่พิธีไล่ผีแบบเต็มรูปซึ่งเรียกว่า ..การไล่ผีแบบวิสามัญ..นั้นจะทำโดยพระสงฆ์เท่านั้น พระสงฆ์ที่ทำพิธีดังกล่าวต้องได้รับอนุญาตพิเศษจากพระสังฆราชท้องถิ่นเท่า นั้น นอกนั้นพระสงฆ์ดังกล่าวต้องเป็นผู้ที่มีความรอบคอบ ถือกฎพระศาสนจักรอย่างเคร่งครัด การไล่ผีนั้นมีเป้าหมายอยู่ที่การขับไล่ปีศาจ หรือเป็นการปลดปล่อยบุคคลจากการสิงของผีปีศาจโดยอาศัยอำนาจซึ่งพระเยซูเจ้า มอบแก่พระศาสนจักรของพระองค์ การป่วยโดยเฉพาะอย่างยิ่งป่วยทางจิตนั้นเป็นคนละเรื่องที่ต่างกันมากกับการ ถูกผีสิง การรักษาคนป่วยทางจิตนั้นจึงต้องอาศัยเวชศาสตร์เป็นหลัก ดังนั้นก่อนที่จะทำพิธีไล่ผี(จิตชั่ว)จึงต้องมีการพิจารณาให้แน่นอนเสียก่อนว่าบุคคลกำลังเผชิญกับจิตชั่วร้ายไม่ใช่การป่วยทางจิตใจ (แปลจากหนังสือคำสอนคาทอลิก ข้อที่ 1673)

กฎหมายพระศาสนจักรเกี่ยวกับการไล่ผี ข้อที่ 1172 1) ไม่มีใครทำพิธีไล่ผีได้อย่างถูกต้องตามกฎหมายของพระศาสนจักรหากเขามิได้รับอนุญาตพิเศษจากพระสังฆราชท้องถิ่น 2) คำอนุญาตให้ไล่ผีจากพระสังฆราชท้องถิ่นนั้นจะมอบให้เฉพาะกับพระสงฆ์ที่มีความศรัทธา มีความรู้ในเรื่องดังกล่าว มีความรอบคอบและมีชีวิตที่ครบครันน่าเคารพนับถือเท่านั้น

พระสงฆ์ไล่ผีอย่างไร?

ดังที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น การไล่ผีแบบสามัญทั่วไปนั้นมีอยู่ในพิธีล้างบาป แต่ในกรณีที่ต้องไล่ผีอย่างวิสามัญแล้ว พระสงฆ์ที่ได้รับอนุญาตพิเศษเท่านั้นที่จะทำได้ การไล่ผีทั่วไปนั้นพระสงฆ์จะสวดบทภาวนาไล่ผีที่พระศาสนจักรกำหนดเหนือบุคคลดังต่อไปนี้คือ

ข้าแต่พระเจ้าผู้ทรงสรรพานุภาพสถิตนิรันดร พระองค์ได้ทรงส่งพระบุตรมาในโลกเพื่อช่วยข้าพเจ้าทั้งหลายให้พ้นจากอำนาจของ มารชั่วร้ายและนำมนุษย์ซึ่งหลุดพ้นจากความมืดแล้วเข้าสู่พระอาณาจักรอันน่า พิศวงและสว่างเจิดจ้าของพระองค์ ข้าพเจ้าทั้งหลายขอวิงวอนพระองค์โปรดให้เด็กคนนี้เมื่อหลุดพ้นจากบาปกำเนิด แล้วได้เป็นที่ประทับของพระองค์ผู้ทรงพระบรมเดชานุภาพ และโปรดให้พระจิตเจ้าสถิตกับเขาเสมอไป ทั้งนี้อาศัยพระบารมีพระคริสตเจ้าของข้าพเจ้าทั้งหลาย อาแมน ขอให้พระฤทธานุภาพของพระคริสตเจ้าพระผู้ไถ่ของชาวเราปกป้องคุ้มครองท่าน และเพื่อเป็นเครื่องหมายถึงพระฤทธานุภาพนั้นข้าพเจ้าขอเจิมเธอด้วยน้ำมัน แห่งความรอดในพระนามของพระองค์ผู้ทรงจำเริญและครองราชย์ตลอดนิรันดร

การไล่ผียังจำเป็นอยู่หรือ?

แม้เราจะทราบว่าหลายๆกรณีที่คนเกิดอาการผิดปรกตินั้นไม่เกี่ยวกับผี แต่เป็นปัญหาของโรคประสาท แต่พระศาสนจักรก็ยังไม่ได้ทิ้งความเชื่อว่า ผียังมีอิทธิพลและทำร้ายคนได้ ผีที่หมายถึงจิตชั่วร้ายนั้นยังทำงานเพื่อดึงคนให้หนีจากพระเจ้าอยู่เหมือนเดิม วิธีทางของผีนั้นได้เปลี่ยนรูปแบบไป การสิงจะมีน้อยลง แต่จะเป็นการโน้มน้าวจิตใจคนให้เห็นชั่วเป็นดี ค่อยๆนำใจคนเราให้ไปในทางชั่วร้าย หรือทำให้มโนธรรมของคนเราหยาบ มองไม่เห็นว่าอะไรชั่วอะไรดี

ต่อคำถามที่ว่า การไล่ผียังจำเป็นอยู่หรือไม่ คำตอบคือยังจำเป็นเหมือนเดิม เป็นต้นในดินแดนที่อยู่ในป่าเขาและผู้คนที่ยังให้ความสำคัญกับบทบาทของผี เช่น ตามดอย ตามภูเขา ในป่าลึก ที่จิตใจของคนยังอ่อนไหวต่ออิทธิพลมืดของปีศาจ หรือปรากฏการณ์ที่เขาไม่สามารถจะอธิบายด้วยเหตุและผลทางวิทยาศาสตร์ได้ พิธีไล่ผียังเป็นเครื่องหมายถึงการเปลี่ยนจากการนับถือจิตระดับต่ำที่เรียกว่าผี มาให้ความเคารพนับถือพระเจ้า เช่น พระสงฆ์ที่ทำงานอยู่กับชนเผ่าต่างๆที่ให้ความสำคัญกับผี บ้าน ผีป่า ผีแม่น้ำ ฯลฯ

กระนั้นก็ตามเมื่อพูดถึงเรื่องผีแล้ว เราต้องแยกและเรียกรู้ถึงความหมายของคำว่า ผี ให้ชัดเจน บางครั้ง เป็นการยากที่จะแยกระหว่าง ผี กับวิญญาณ จิตชั่วกับปีศาจ บางครั้งที่เขาเรียกผีนั้นเขาหมายถึงวิญญาณของบิดามารดาหรือญาติมิตรที่ตายไปแล้ว บางครั้งหมายถึงวิญญาณที่ต้องการความช่วยเหลือ บางครั้งหมายถึงความชั่วร้ายที่ทำให้เกิดการเจ็บไข้ได้ป่วย (บ่อยครั้งคือเชื้อมาลาเรีย) บางครั้งหมายถึงอาการแปลกๆของคน เช่น พูดเปลี่ยนเสียง มีพฤติกรรมที่แปลกแยก (ทั่วไปมักจะเกี่ยวข้องกับระบบประสาท)

สรุป พระศาสนจักรแม้จะให้ความสำคัญกับเรื่องผีสิงน้อยลงและเพิ่มน้ำหนักให้กับปัญหาของโรคประสาทและโรคจิต แต่พระศาสนจักรก็ไม่ได้ละทิ้งความเชื่อว่าผีมีจริงและจิตชั่วร้ายยังคงทำงานอยู่เพื่อชิงเอาวิญญาณของคนเราไปเป็นศิษย์ของมัน นอกนั้นพระศาสนจักรยังสอนว่า คนที่สวดภาวนา คนที่มีจิตใจชิดสนิทกับพระเจ้าก็จะรอดพ้นจากอำนาจของจิตชั่วเหล่านั้นได้ ดังนั้นคำตอบของคนที่ไม่อยากถูกผีสิงหรือผีเข้าก็คือ จงภาวนาเสมอ มอบชีวิตไว้ในความคุ้มของของพระเจ้าแล้วท่านจะปลอดภัย

----------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น