วันอาทิตย์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2560

ความสุขจากการฟังพระวาจาของพระเจ้า2


 
พระวาจาของพระเจ้ามีอำนาจนำความสุขมาสู่จิตใจของเรา

นักบุญออกุสตินกล่าวว่า “เมื่อข้าพเจ้าสดับฟังพระวาจา  จิตใจข้าพเจ้าเป็นสุขเพราะเสียงของพระองค์” ไม่มีที่ใดที่เราสามารถได้ยินเสียงพระวาจาของพระเจ้าได้อย่างแท้จริงและด้วยความมั่นใจได้นอกจากในพระคัมภีร์

เมื่อเราอยู่ในพระหรรษทานของพระเจ้า   เราจะเป็นสุขใจในพระวาจาของพระองค์  เพราะพระวาจาของพระองค์มีพลังอำนาจ  สวยงาม และเปี่ยมไปด้วยสันติสุขของพระองค์

“กฎเกณฑ์ของพระเจ้าสมบูรณ์ดีพร้อม  บำรุงฟื้นฟูจิตวิญญาณ  คำสอนของพระองค์เที่ยงธรรม ทำให้หัวใจยินดีปรีด์เปรม” (สดด.19:7-8)  เมื่อเราฟัง พิจารณาไตร่ตรอง และตอบสนองต่อพระวาจาของพระเจ้า  จิตวิญญาณของเราได้รับการเยียวยารักษาให้พ้นจากบาปและความทุกข์ทั้งหลาย กลับมาสู่ความดีงามและความสุขอีกครั้ง

ผู้ที่เชื่อในพระคริสตเยซู เมื่อได้ฟังหรือได้อ่านพระวาจาของพระเจ้าจากพระคัมภีร์  จิตใจจะเต็มเปี่ยมด้วยความสุขใจ  เช่นเดียวกับ มารีย์ มักดาเลนา  เธอมานั่งแทบพระบาทพระเยซูเจ้าเสมอ เพื่อฟังพระองค์ตรัสสอน เมื่อมาร์ธาพี่สาวของเธอขอให้พระเยซูเจ้าบอกมารีย์มาช่วยงานของเธอบ้าง  พระเยซูเจ้าตรัสว่าอย่างไร? “มาร์ธา มาร์ธา เธอวุ่นวายเกินไป สิ่งจำเป็นมีเพียงสิ่งเดียว มารีย์ได้เลือกเอาส่วนที่ดีที่สุด ที่จะไม่มีใครเอาไปจากเธอได้” (ลก. 10:41-42)

เมื่อประกาศกเยเรมีย์กล่าวว่า พระวาจาของพระเจ้านั้น “กลายเป็นความปิติยินดีแห่งจิตใจของข้าพเจ้า” (เยเรมีย์ 15:16)  ท่านแนะนำเราว่าพระคัมภีร์มีผลต่อจิตใจของเรายิ่งทียิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ  ทำให้เรามีความสุข โดยพระหรรษทานของพระเจ้า

ผู้ที่มีความเชื่อจึงย่อมจะพึ่งพิงพระวาจาของพระเจ้าในการดำเนินชีวิตของเขา

แล้วเราจะรู้จักพระเจ้าได้อย่างไร?  เราไม่สามารถรู้จักพระเจ้าได้หรอกถ้าหากเราไม่มีความสัมพันธ์กับพระองค์และไม่ได้รับการเปิดเผยจากพระเจ้า

นักบุญอังแซล์มเขียนไว้ว่า “ธรรมชาติที่ชาญฉลาด...จะพบความสุขของมันในเวลานี้และตลอดไปในการพินิจรำพึงถึงพระเจ้า”   เราจะสามารถพินิจรำพึงถึงพระเจ้าด้วยความวางใจได้ถ้าเรามีแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับพระเจ้าที่เราเชื่อถือได้  นั่นคือ พระคัมภีร์

ในพระคัมภีร์เองก็ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า

-            “ทุกถ้อยคำในพระคัมภีร์ได้รับการดลใจจากพระเจ้า และมีประโยชน์เพื่อสั่ง สอนว่ากล่าวตักเตือนให้ปรับปรุงแก้ไขและอบรมให้ดำเนินชีวิตอย่างชอบธรรม” (2ทิโมธี 3:16)

-            คำสั่งสอนทั้งหลายของประกาศกในพระคัมภีร์ไม่ได้มาจากความคิดหรือเจตนารมย์ของประกาศกเอง  ไม่มีคำสั่งสอนใดมาจากความคิดของมนุษย์ได้  นอกจากมนุษย์ผู้นั้นจะได้รับการดลใจจากพระจิตของพระเจ้า (2 ปต 1:20-21)

ชาวยิวในเมืองเบโรอาต่างยกย่องคำเทศน์สอนของนักบุญเปาโลเกี่ยวกับพระวาจาของพระเจ้า  แต่พวกเขาก็อ่านพระคัมภีร์ด้วยตัวเอง เพื่อตรวจสอบคำสอนของนักบุญเปาโลด้วย “ชาวยิวที่เมืองนี้มีจิตใจดีกว่าชาวยิวที่เมืองเธสะโลนิกา  เขารับข่าวดีด้วยความกระตือรือร้นอย่างมาก  ทุกวันเขาอ่านพระคัมภีร์เพื่อตรวจสอบดูว่าพระคัมภีร์กล่าวดังที่เปาโลสอนหรือไม่” (กก. 17:11)

ทุกสิ่งที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์เกี่ยวกับพระเจ้านั้นเป็นความจริง และสิ่งใดที่มีผู้พูดถึงเกี่ยวกับพระเจ้าซึ่งตรงข้ามกับพระคัมภีร์ก็เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง  พระวาจาของพระเจ้าช่วยเพิ่มพูนความรู้และมีฤทธิอำนาจ  ถ้าปราศจากพระวาจาที่สั่งสอนสิ่งที่ถูกต้องแก่เราแล้ว เราจะอ่อนแอและถูกประจญล่อลวงได้โดยง่าย   ดังนั้นถ้าบุคคลที่เป็นของพระเจ้าไม่อ่านพระวาจาที่อยู่ในพระคัมภีร์  ผู้นั้นก็จะหลงทางไปเพราะกระแสความคิดของโลกที่มีอยู่ในเวลานี้ได้

ความเชื่อเป็นคุณธรรมที่ได้มาโดยการแสวงหาด้วยความเพียร  ความเชื่อจะส่งผลต่ออุปนิสัยของผู้มีความเชื่อ  เพราะความเชื่อจะเป็นแนวทางปฏิบัติในชีวิตของผู้มีความเชื่อนั้น ความเชื่อจะเข้มแข็งได้ก็ต่อเมื่อได้รับการหล่อเลี้ยงจิตใจด้วยการอ่านและฟังพระวาจาของพระเจ้า นำมาพินิจรำพึงและปฏิบัติตาม

พระวาจาจากพระคัมภีร์ยังช่วยกำจัดความเศร้าโศกในจิตใจได้อีกด้วย  เมื่อเราอ่านพระคัมภีร์และพิจารณาไตร่ตรอง  เมื่อกษัตริย์ดาวิดถูกโอรสของตนแย่งชิงบัลลังก์และขับไล่พระองค์ออกไปจากกรุงเยรูซาเล็ม  พระองค์ทรงทุกข์ระทมใจเป็นที่สุด  แต่ในบทสดุดี 43:5 พระองค์ทรงเขียนไว้ว่า “จิตวิญญาณข้าพเจ้าเอ๋ย ไฉนกระสับกระส่ายอยู่อีกเล่า จงวางใจในพระเจ้าเถิด  เพราะข้าพเจ้าจะถวายสดุดีพระองค์อีก”  และสดุดี 103:22 “จิตใจของข้าเอ๋ย จงถวายสดุดีแด่พระเจ้า” กษัตริย์ดาวิดคิดใคร่ครวญถึงพระวาจาของพระเจ้าที่ทรงตักเตือนพระองค์อยู่เสมอ พระองค์จึงวางใจในพระเจ้าแม้ในยามที่อยู่ในความทุกข์

เมื่อพระเยซูเจ้าถูกตรึงกางเขน  บรรดาศิษย์ของพระองค์ต่างหวาดกลัวและโศกเศร้า  ศิษย์สองคนได้หนีออกจากกรุงเยรูซาเล็ม เดินทางไปยังเอมมาอูส  วันนั้นเป็นวันอาทิตย์และพระเยซูเจ้าทรงกลับฟื้นคืนพระชนม์แล้ว  ศิษย์สองคนรู้ข่าวจากสตรีบางคนที่ไปยังพระคูหาและพบว่าว่างเปล่าและบอกว่าพระอาจารย์กลับฟื้นคืนพระชนม์แล้ว  แต่เขายังไม่แน่ใจในข่าวที่ได้รับ ระหว่างทางนั้นพระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามาร่วมทางกับพวกเขาด้วย  แล้วพระองค์ทรงอธิบายพระคัมภีร์ทุกข้อที่กล่าวถึงพระองค์ให้พวกเขาฟัง  และเมื่อพระองค์ทรงประทับบนโต๊ะกับพวกเขา ทรงบิขนมปัง พวกเขาก็จำพระองค์ได้  ในภายหลังพวกเขาพูดกันว่า “ใจของเราไม่ได้เร่าร้อนเป็นไฟอยู่ภายในหรือ เมื่อพระองค์ตรัสกับเราขณะเดินทางและอธิบายพระคัมภีร์ให้เราฟัง” (ลก.24:25-32)  ความทุกข์โศกเศร้าของพวกเขาปลาสนาการหายไปในบัดนั้นเอง

  จงลุกขึ้น...ไปหยิบพระคัมภีร์มาอ่านเสียในเวลานี้เถิด แล้วท่านจะได้พบว่าชีวิตของท่านช่างมีสันติและความสุขเสียนี่กระไร เช่นเดียวกับนักบุญออกัสติน วันหนึ่งท่านได้ยินเสียงเด็กร้องเพลงว่า หยิบขึ้นมาอ่าน หยิบขึ้นมาอ่าน  และเหมือนมีอะไรมาดลใจ ออกัสตินจึงหยิบพระคัมภีร์ขึ้นมาอ่านและพบข้อความที่เขียนว่า ให้เราเดินไปอย่างซื่อสัตย์ในเวลากลางวัน  อย่าเอาแต่ดื้อดึงขัดขืนและดื่มจนเมามาย  อย่าเอาแต่เสเพลและทำสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ อย่าทะเลาะวิวาทกันและอิจฉาริษยากัน  แต่จงมอบตนเองไว้ในพระเยซูคริสตเจ้า  และละทิ้งสิ่งที่เป็นเรื่องของเนื้อหนังและกิเลสตัณหา

ออกัสตินเขียนเล่าไว้ในเวลาต่อมาว่า  แสงสว่างเข้ามาเปี่ยมล้นหัวใจของข้าพเจ้า  และความมืดมิดและความสงสัยทั้งหลายก็สูญสิ้นมลายไป ความสุขสงบได้เข้ามาในจิตใจของออกัสตินแทนที่ความหม่นหมองกระวนกระวายใจที่มีมาก่อนหน้านี้

ทำไมหนอจึงไม่มีใครแนะนำให้เราอ่านพระคัมภีร์ก่อนหน้านี้มานานแล้ว และชีวิตของเราในทุกวันนี้ก็จะดียิ่งกว่านี้มากมายนัก
----------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น