พระวาจาของพระเจ้ามีอำนาจนำความสุขมาสู่จิตใจของเรา
นักบุญออกุสตินกล่าวว่า
“เมื่อข้าพเจ้าสดับฟังพระวาจา จิตใจข้าพเจ้าเป็นสุขเพราะเสียงของพระองค์”
ไม่มีที่ใดที่เราสามารถได้ยินเสียงพระวาจาของพระเจ้าได้อย่างแท้จริงและด้วยความมั่นใจได้นอกจากในพระคัมภีร์
เมื่อเราอยู่ในพระหรรษทานของพระเจ้า เราจะเป็นสุขใจในพระวาจาของพระองค์ เพราะพระวาจาของพระองค์มีพลังอำนาจ สวยงาม และเปี่ยมไปด้วยสันติสุขของพระองค์
“กฎเกณฑ์ของพระเจ้าสมบูรณ์ดีพร้อม บำรุงฟื้นฟูจิตวิญญาณ คำสอนของพระองค์เที่ยงธรรม ทำให้หัวใจยินดีปรีด์เปรม”
(สดด.19:7-8)
เมื่อเราฟัง พิจารณาไตร่ตรอง และตอบสนองต่อพระวาจาของพระเจ้า จิตวิญญาณของเราได้รับการเยียวยารักษาให้พ้นจากบาปและความทุกข์ทั้งหลาย
กลับมาสู่ความดีงามและความสุขอีกครั้ง
ผู้ที่เชื่อในพระคริสตเยซู
เมื่อได้ฟังหรือได้อ่านพระวาจาของพระเจ้าจากพระคัมภีร์ จิตใจจะเต็มเปี่ยมด้วยความสุขใจ เช่นเดียวกับ มารีย์ มักดาเลนา เธอมานั่งแทบพระบาทพระเยซูเจ้าเสมอ
เพื่อฟังพระองค์ตรัสสอน
เมื่อมาร์ธาพี่สาวของเธอขอให้พระเยซูเจ้าบอกมารีย์มาช่วยงานของเธอบ้าง พระเยซูเจ้าตรัสว่าอย่างไร? “มาร์ธา มาร์ธา
เธอวุ่นวายเกินไป สิ่งจำเป็นมีเพียงสิ่งเดียว มารีย์ได้เลือกเอาส่วนที่ดีที่สุด
ที่จะไม่มีใครเอาไปจากเธอได้” (ลก. 10:41-42)
เมื่อประกาศกเยเรมีย์กล่าวว่า
พระวาจาของพระเจ้านั้น “กลายเป็นความปิติยินดีแห่งจิตใจของข้าพเจ้า” (เยเรมีย์
15:16)
ท่านแนะนำเราว่าพระคัมภีร์มีผลต่อจิตใจของเรายิ่งทียิ่งมากขึ้นเรื่อยๆ ทำให้เรามีความสุข โดยพระหรรษทานของพระเจ้า
ผู้ที่มีความเชื่อจึงย่อมจะพึ่งพิงพระวาจาของพระเจ้าในการดำเนินชีวิตของเขา
แล้วเราจะรู้จักพระเจ้าได้อย่างไร? เราไม่สามารถรู้จักพระเจ้าได้หรอกถ้าหากเราไม่มีความสัมพันธ์กับพระองค์และไม่ได้รับการเปิดเผยจากพระเจ้า
นักบุญอังแซล์มเขียนไว้ว่า
“ธรรมชาติที่ชาญฉลาด...จะพบความสุขของมันในเวลานี้และตลอดไปในการพินิจรำพึงถึงพระเจ้า”
เราจะสามารถพินิจรำพึงถึงพระเจ้าด้วยความวางใจได้ถ้าเรามีแหล่งข้อมูลเกี่ยวกับพระเจ้าที่เราเชื่อถือได้ นั่นคือ พระคัมภีร์
ในพระคัมภีร์เองก็ได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ว่า
-
“ทุกถ้อยคำในพระคัมภีร์ได้รับการดลใจจากพระเจ้า
และมีประโยชน์เพื่อสั่ง สอนว่ากล่าวตักเตือนให้ปรับปรุงแก้ไขและอบรมให้ดำเนินชีวิตอย่างชอบธรรม”
(2ทิโมธี 3:16)
-
คำสั่งสอนทั้งหลายของประกาศกในพระคัมภีร์ไม่ได้มาจากความคิดหรือเจตนารมย์ของประกาศกเอง ไม่มีคำสั่งสอนใดมาจากความคิดของมนุษย์ได้
นอกจากมนุษย์ผู้นั้นจะได้รับการดลใจจากพระจิตของพระเจ้า (2 ปต 1:20-21)
ชาวยิวในเมืองเบโรอาต่างยกย่องคำเทศน์สอนของนักบุญเปาโลเกี่ยวกับพระวาจาของพระเจ้า แต่พวกเขาก็อ่านพระคัมภีร์ด้วยตัวเอง เพื่อตรวจสอบคำสอนของนักบุญเปาโลด้วย “ชาวยิวที่เมืองนี้มีจิตใจดีกว่าชาวยิวที่เมืองเธสะโลนิกา เขารับข่าวดีด้วยความกระตือรือร้นอย่างมาก ทุกวันเขาอ่านพระคัมภีร์เพื่อตรวจสอบดูว่าพระคัมภีร์กล่าวดังที่เปาโลสอนหรือไม่”
(กก. 17:11)
ทุกสิ่งที่เขียนไว้ในพระคัมภีร์เกี่ยวกับพระเจ้านั้นเป็นความจริง
และสิ่งใดที่มีผู้พูดถึงเกี่ยวกับพระเจ้าซึ่งตรงข้ามกับพระคัมภีร์ก็เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง
พระวาจาของพระเจ้าช่วยเพิ่มพูนความรู้และมีฤทธิอำนาจ
ถ้าปราศจากพระวาจาที่สั่งสอนสิ่งที่ถูกต้องแก่เราแล้ว
เราจะอ่อนแอและถูกประจญล่อลวงได้โดยง่าย
ดังนั้นถ้าบุคคลที่เป็นของพระเจ้าไม่อ่านพระวาจาที่อยู่ในพระคัมภีร์
ผู้นั้นก็จะหลงทางไปเพราะกระแสความคิดของโลกที่มีอยู่ในเวลานี้ได้
ความเชื่อเป็นคุณธรรมที่ได้มาโดยการแสวงหาด้วยความเพียร
ความเชื่อจะส่งผลต่ออุปนิสัยของผู้มีความเชื่อ เพราะความเชื่อจะเป็นแนวทางปฏิบัติในชีวิตของผู้มีความเชื่อนั้น
ความเชื่อจะเข้มแข็งได้ก็ต่อเมื่อได้รับการหล่อเลี้ยงจิตใจด้วยการอ่านและฟังพระวาจาของพระเจ้า
นำมาพินิจรำพึงและปฏิบัติตาม
พระวาจาจากพระคัมภีร์ยังช่วยกำจัดความเศร้าโศกในจิตใจได้อีกด้วย เมื่อเราอ่านพระคัมภีร์และพิจารณาไตร่ตรอง
เมื่อกษัตริย์ดาวิดถูกโอรสของตนแย่งชิงบัลลังก์และขับไล่พระองค์ออกไปจากกรุงเยรูซาเล็ม พระองค์ทรงทุกข์ระทมใจเป็นที่สุด แต่ในบทสดุดี 43:5 พระองค์ทรงเขียนไว้ว่า “จิตวิญญาณข้าพเจ้าเอ๋ย ไฉนกระสับกระส่ายอยู่อีกเล่า
จงวางใจในพระเจ้าเถิด
เพราะข้าพเจ้าจะถวายสดุดีพระองค์อีก”
และสดุดี 103:22 “จิตใจของข้าเอ๋ย
จงถวายสดุดีแด่พระเจ้า” กษัตริย์ดาวิดคิดใคร่ครวญถึงพระวาจาของพระเจ้าที่ทรงตักเตือนพระองค์อยู่เสมอ
พระองค์จึงวางใจในพระเจ้าแม้ในยามที่อยู่ในความทุกข์
เมื่อพระเยซูเจ้าถูกตรึงกางเขน บรรดาศิษย์ของพระองค์ต่างหวาดกลัวและโศกเศร้า ศิษย์สองคนได้หนีออกจากกรุงเยรูซาเล็ม
เดินทางไปยังเอมมาอูส
วันนั้นเป็นวันอาทิตย์และพระเยซูเจ้าทรงกลับฟื้นคืนพระชนม์แล้ว ศิษย์สองคนรู้ข่าวจากสตรีบางคนที่ไปยังพระคูหาและพบว่าว่างเปล่าและบอกว่าพระอาจารย์กลับฟื้นคืนพระชนม์แล้ว แต่เขายังไม่แน่ใจในข่าวที่ได้รับ
ระหว่างทางนั้นพระเยซูเจ้าเสด็จเข้ามาร่วมทางกับพวกเขาด้วย
แล้วพระองค์ทรงอธิบายพระคัมภีร์ทุกข้อที่กล่าวถึงพระองค์ให้พวกเขาฟัง และเมื่อพระองค์ทรงประทับบนโต๊ะกับพวกเขา
ทรงบิขนมปัง พวกเขาก็จำพระองค์ได้
ในภายหลังพวกเขาพูดกันว่า “ใจของเราไม่ได้เร่าร้อนเป็นไฟอยู่ภายในหรือ
เมื่อพระองค์ตรัสกับเราขณะเดินทางและอธิบายพระคัมภีร์ให้เราฟัง” (ลก.24:25-32)
ความทุกข์โศกเศร้าของพวกเขาปลาสนาการหายไปในบัดนั้นเอง
จงลุกขึ้น...ไปหยิบพระคัมภีร์มาอ่านเสียในเวลานี้เถิด
แล้วท่านจะได้พบว่าชีวิตของท่านช่างมีสันติและความสุขเสียนี่กระไร
เช่นเดียวกับนักบุญออกัสติน วันหนึ่งท่านได้ยินเสียงเด็กร้องเพลงว่า
“หยิบขึ้นมาอ่าน
หยิบขึ้นมาอ่าน” และเหมือนมีอะไรมาดลใจ ออกัสตินจึงหยิบพระคัมภีร์ขึ้นมาอ่านและพบข้อความที่เขียนว่า
“ให้เราเดินไปอย่างซื่อสัตย์ในเวลากลางวัน อย่าเอาแต่ดื้อดึงขัดขืนและดื่มจนเมามาย อย่าเอาแต่เสเพลและทำสิ่งที่ไม่บริสุทธิ์ อย่าทะเลาะวิวาทกันและอิจฉาริษยากัน แต่จงมอบตนเองไว้ในพระเยซูคริสตเจ้า
และละทิ้งสิ่งที่เป็นเรื่องของเนื้อหนังและกิเลสตัณหา”
ออกัสตินเขียนเล่าไว้ในเวลาต่อมาว่า
“แสงสว่างเข้ามาเปี่ยมล้นหัวใจของข้าพเจ้า
และความมืดมิดและความสงสัยทั้งหลายก็สูญสิ้นมลายไป” ความสุขสงบได้เข้ามาในจิตใจของออกัสตินแทนที่ความหม่นหมองกระวนกระวายใจที่มีมาก่อนหน้านี้
ทำไมหนอจึงไม่มีใครแนะนำให้เราอ่านพระคัมภีร์ก่อนหน้านี้มานานแล้ว
และชีวิตของเราในทุกวันนี้ก็จะดียิ่งกว่านี้มากมายนัก
----------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น