กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว
มีตัวตลกหลวงคนหนึ่งที่ชอบพูดแต่เรื่องไร้สาระและโง่เขลาเพื่อทำให้พระราชาขบขัน
วันหนึ่งพระราชาได้ยื่นคธาให้ตัวตลกคนนี้และตรัสว่า “นี่แน่ะ
เจ้าตลกหลวง จงเก็บรักษาคธานี้ไว้จนกว่าเจ้าจะพบกับคนที่โง่กว่าเจ้า เมื่อพบแล้วก็จงมอบคธานี้ให้แก่คนนั้น” หลายปีต่อมา
พระราชาซึ่งบัดนี้ทรงพระชรามากแล้วและเวลานี้บรรทมอยู่บนเตียงเพราะทรงประชวรใกล้สิ้นพระชนม์ บรรดาข้าราชบริพารมาอยู่รอบเตียงของพระองค์
พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “เรากำลังจะจากพวกท่านไป เราได้เดินทางมาอย่างยาวนานแล้ว
เราจะไม่กลับมาที่นี่อีก เพราะฉะนั้น
เราขอบอกลาพวกท่าน”
ทุกคนที่นั้นรู้สึกเศร้าเสียใจและเงียบ
แต่ตลกหลวงเดินมาข้างหน้าและพูดว่า “ข้าแต่พระราชา
ข้าพระองค์ขอถามคำถามสักข้อพะย่ะค่ะ? เมื่อพระองค์ทรงเดินทางไปในที่ต่างๆ ทรงเยี่ยมประชาชนของพระองค์
ทรงอยู่กับข้าราชบริพารของพระองค์ ทรงเยี่ยมพระราชาองค์อื่น พระองค์ทรงมีผู้รับใช้ที่คอยตระเตรียมงานไว้ล่วงหน้าสำหรับการเดินทางของพระองค์เสมอ
ข้าพระองค์ขอถามพระองค์ว่าในการเดินทางครั้งนี้พระองค์ได้ทรงตระเตรียมอะไรไว้เป็นการส่วนพระองค์บ้างหรือไม่พะยะค่ะ?” พระราชาตรัสตอบว่า “อนิจจา
เราไม่ได้ตระเตรียมอะไรไว้เลย”
ตลกหลวงจึงพูดว่า “ถ้าเช่นนั้น
ขอพระองค์ทรงรับคธานี้ไว้เถิด
เพราะข้าพระองค์ได้พบคนที่โง่เขลากว่าข้าพระองค์แล้ว”
นิทานเรื่องนี้สอนเราว่า
เป็นการโง่เขลายิ่งนักที่เราใช้เวลาทั้งหมดของเรา
ความพยายามทั้งหมดของเราเพื่อสิ่งของในโลกนี้
และไม่ได้ตระเตรียมอะไรไว้เลยสำหรับชีวิตหน้าที่จะมาถึง พระเยซูเจ้าทรงเตือนเราว่า สิ่งของหรือทรัพย์สมบัติในโลกนี้เราอาจใช้เป็นดังบันไดช่วยให้เราขึ้นไปสู่สวรรค์
หรืออาจกลายเป็นโซ่ที่ลากดึงเราลงไปสู่นรกก็ได้
เราต้องตระเตรียมตัวเองสำหรับชีวิตนิรันดรโดยพยายามทำตนเองให้มีคุณค่าในสายพระเนตรของพระเจ้า สิ่งนี้คือสิ่งที่เป็นแก่นหรือสาระที่แท้จริงของชีวิต
พระเยซูเจ้าทรงเตือนเราว่า
เราไม่รู้วันและเวลาที่จะมาถึง
เราไม่รู้ว่าเรามีเวลานานเท่าไรที่จะใช้ชีวิตในโลกนี้ ดังนั้นเราต้องใช้วันเวลาของเราอย่างฉลาด
เพื่อที่เราจะไม่ต้องเสียใจเมื่อเราตายไป
มีหญิงผู้หนึ่งที่มีนิสัยชอบเขียนรายการสิ่งของต่างๆที่เธอต้องการ
และแต่ละครั้งที่เขียนเธอจะระบุวันที่ซึ่งเธอต้องการจะได้สิ่งนั้นมาครอบครอง หลังจากที่เขียนรายการเสร็จ เธอจะเก็บรายการนั้นไว้สักสามเดือน และกลับมาดูใหม่อีกครั้ง
แล้วเธอก็จะพูดกับตัวเองว่า “ฉันยังต้องการสิ่งนี้อยู่หรือเปล่า?
สิ่งนี้มีคุณค่าจริงหรือไม่? ฉันต้องการมันจริงๆหรือ? ฉันจะอยู่ได้ไหมถ้าไม่มีมัน?”
และเธอก็พบว่าในรายการทั้งหมดนั้น ครึ่งหนึ่งจะกลายเป็นสิ่งที่เธอไม่ต้องการ
เช่นเดียวกับเศรษฐีในนิทานเปรียบเทียบที่พระเยซูเจ้าทรงเล่า พระเจ้าทรงเรียกเศรษฐีผู้นั้นว่า “เจ้าคนโง่”
เพราะเศรษฐีไม่รู้จักใช้ทรัพย์สมบัติที่ตนมีเพื่อแบ่งปันช่วยเหลือคนยากจน แต่กลับสะสมทรัพย์สมบัติทั้งหมดไว้ในยุ้งฉาง
และให้ชีวิตทั้งหมดของตน ความหวังทั้งหมดของตนอยู่กับทรัพย์สมบัตินั้น เขาไม่รู้จักใช้ทรัพย์สมบัติอย่างถูกต้องและกลับต้องสูญเสียทุกสิ่งไป
พระเยซูเจ้าทรงขอให้เราอย่าได้ทำผิดพลาดเช่นนี้ ไม่ใช่เป็นสิ่งผิดที่จะมีทรัพย์สมบัติ แต่เราต้องให้น้ำพระทัยของพระเจ้ามาก่อนสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น
ทรัพย์สมบัติจะกลายเป็นพระพรของพระเจ้าเมื่อมันประกอบด้วยสามสิ่งนี้คือ
1.
ทรัพย์สมบัตินั้นเราต้องได้รับมาอย่างถูกต้องชอบธรรม ไม่ใช่ได้มาจากการขโมย การโกงหรือการหลีกเลี่ยงภาษี
2. เราต้องไม่โลภมากอยากได้ทรัพย์สมบัติมากขึ้นเรื่อยๆ
เราอาจทำแบบเดียวกับหญิงผู้นั้นที่เขียนรายการสิ่งของที่ต้องการไว้ เราต้องถามตัวเองว่า “ฉันต้องการสิ่งนั้นจริงๆหรือ?
เราจะอยู่โดยไม่มีสิ่งนั้นได้ไหม?”
3. เป็นข้อที่สำคัญที่สุด
เราต้องคิดว่าเราเป็นเหมือนผู้ดูแลทรัพย์สมบัติที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่เรา
นั่นคือแทนที่เราจะมองว่าเราเป็นเจ้าของทรัพย์สมบัตินั้น
เรากลับมองว่าเราเป็นเพียงผู้ดูแลทรัพย์สมบัติของพระเจ้า
และเราจะใช้ทรัพย์สมบัตินั้นเพื่อช่วยในการเผยแพร่ข่าวดีของพระเจ้าและช่วยเหลือผู้ยากไร้ขัดสน พระเจ้าทรงประสงค์ให้เรารู้จักแบ่งปันทรัพย์สมบัติเงินทองของเรา
แบ่งปันเวลาและความสามารถของเราเพื่อช่วยเหลือประชากรของพระองค์และช่วยเหลือพระศาสนจักรของพระองค์
ในพระคัมภีร์มีบทบัญญัติข้อหนึ่งสำหรับชาวอิสราแอล นั่นคือให้มอบ 10 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ให้กับพระวิหาร
นี่เป็นตัวอย่างสำหรับเราให้รู้จักการใช้ทรัพย์สินเงินทองเพื่องานของพระศาสนจักรและเพื่อผู้ที่ขัดสนยากไร้
เป็นโอกาสสำหรับเราที่จะแบ่งปันพระพรที่เราได้รับจากพระเจ้าให้แก่ผู้อื่น
มีสุภาษิตฝรั่งเศสบทหนึ่งกล่าวว่า “เมื่อคุณตาย
สิ่งที่จะไปพร้อมกับคุณ คือสิ่งที่คุณให้แก่ผู้อื่น” ทุกกิจการแห่งกุศลกรรมของเราในระหว่างมีชีวิตในโลก
จะเป็นเครื่องยืนยันให้แก่เราในวันแห่งการพิพากษา
และโอกาสต่างๆที่ถูกทำให้สูญเปล่าไป กิจการที่เป็นความเห็นแก่ตัวก็จะทำให้เราอับอายในเวลานั้น
พระเยซูเจ้าทรงสอนเราให้สะสมทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์ และเวลาที่เราต้องเริ่มกระทำก็คือเวลานี้
เพราะนี่เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้เราร่ำรวยอย่างแท้จริง และเป็นสิ่งที่มีคุณค่าในสายพระเนตรของพระเจ้า
***************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น