วันอาทิตย์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2560

สิ่งที่จะไปพร้อมกับคุณคือสิ่งที่คุณให้แก่ผู้อื่น

             แล้วพระองค์ตรัสอุปมาเรื่องหนึ่งให้พวกเขาฟัง เศรษฐีคนหนึ่งมีที่ดินที่เกิดผลดีอย่างมาก เศรษฐีคนนั้นจึงคิดในใจว่า  ฉันจะทำอย่างไรดี ฉันไม่มีที่พอจะเก็บพืชผลของฉันเขาคิดอีกว่า ฉันจะทำอย่างนี้ จะรื้อยุ้งฉางเก่าแล้วสร้างใหม่ให้ใหญ่โตกว่าเดิม  จะได้เก็บข้าวและสมบัติทั้งหมดไว้  แล้วฉันจะพูดกับตัวเองว่า ดีแล้ว เจ้ามีทรัพย์สมบัติมากมายเก็บไว้ใช้ได้หลายปี จงพักผ่อน กินดื่มและสนุกสนานเถิดแต่พระเจ้าตรัสกับเขาว่า คนโง่เอ๋ย คืนนี้ เขาจะเรียกเอาชีวิตเจ้าไป แล้วสิ่งที่เจ้าได้เตรียมไว้จะเป็นของใครเล่า คนที่สะสมทรัพย์สมบัติไว้สำหรับตนเอง แต่ไม่เป็นคนมั่งมีสำหรับพระเจ้า ก็จะเป็นเช่นนี้”      (ลูกา 12 :16-19)

 
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีตัวตลกหลวงคนหนึ่งที่ชอบพูดแต่เรื่องไร้สาระและโง่เขลาเพื่อทำให้พระราชาขบขัน  วันหนึ่งพระราชาได้ยื่นคธาให้ตัวตลกคนนี้และตรัสว่า “นี่แน่ะ เจ้าตลกหลวง จงเก็บรักษาคธานี้ไว้จนกว่าเจ้าจะพบกับคนที่โง่กว่าเจ้า เมื่อพบแล้วก็จงมอบคธานี้ให้แก่คนนั้น”  หลายปีต่อมา พระราชาซึ่งบัดนี้ทรงพระชรามากแล้วและเวลานี้บรรทมอยู่บนเตียงเพราะทรงประชวรใกล้สิ้นพระชนม์  บรรดาข้าราชบริพารมาอยู่รอบเตียงของพระองค์ พระองค์ตรัสกับพวกเขาว่า “เรากำลังจะจากพวกท่านไป เราได้เดินทางมาอย่างยาวนานแล้ว เราจะไม่กลับมาที่นี่อีก  เพราะฉะนั้น เราขอบอกลาพวกท่าน”  ทุกคนที่นั้นรู้สึกเศร้าเสียใจและเงียบ  แต่ตลกหลวงเดินมาข้างหน้าและพูดว่า “ข้าแต่พระราชา ข้าพระองค์ขอถามคำถามสักข้อพะย่ะค่ะ?  เมื่อพระองค์ทรงเดินทางไปในที่ต่างๆ  ทรงเยี่ยมประชาชนของพระองค์ ทรงอยู่กับข้าราชบริพารของพระองค์ ทรงเยี่ยมพระราชาองค์อื่น พระองค์ทรงมีผู้รับใช้ที่คอยตระเตรียมงานไว้ล่วงหน้าสำหรับการเดินทางของพระองค์เสมอ  ข้าพระองค์ขอถามพระองค์ว่าในการเดินทางครั้งนี้พระองค์ได้ทรงตระเตรียมอะไรไว้เป็นการส่วนพระองค์บ้างหรือไม่พะยะค่ะ?  พระราชาตรัสตอบว่า “อนิจจา เราไม่ได้ตระเตรียมอะไรไว้เลย”  ตลกหลวงจึงพูดว่า “ถ้าเช่นนั้น  ขอพระองค์ทรงรับคธานี้ไว้เถิด  เพราะข้าพระองค์ได้พบคนที่โง่เขลากว่าข้าพระองค์แล้ว” 

นิทานเรื่องนี้สอนเราว่า เป็นการโง่เขลายิ่งนักที่เราใช้เวลาทั้งหมดของเรา  ความพยายามทั้งหมดของเราเพื่อสิ่งของในโลกนี้ และไม่ได้ตระเตรียมอะไรไว้เลยสำหรับชีวิตหน้าที่จะมาถึง  พระเยซูเจ้าทรงเตือนเราว่า สิ่งของหรือทรัพย์สมบัติในโลกนี้เราอาจใช้เป็นดังบันไดช่วยให้เราขึ้นไปสู่สวรรค์ หรืออาจกลายเป็นโซ่ที่ลากดึงเราลงไปสู่นรกก็ได้  เราต้องตระเตรียมตัวเองสำหรับชีวิตนิรันดรโดยพยายามทำตนเองให้มีคุณค่าในสายพระเนตรของพระเจ้า  สิ่งนี้คือสิ่งที่เป็นแก่นหรือสาระที่แท้จริงของชีวิต

พระเยซูเจ้าทรงเตือนเราว่า เราไม่รู้วันและเวลาที่จะมาถึง  เราไม่รู้ว่าเรามีเวลานานเท่าไรที่จะใช้ชีวิตในโลกนี้  ดังนั้นเราต้องใช้วันเวลาของเราอย่างฉลาด เพื่อที่เราจะไม่ต้องเสียใจเมื่อเราตายไป

มีหญิงผู้หนึ่งที่มีนิสัยชอบเขียนรายการสิ่งของต่างๆที่เธอต้องการ และแต่ละครั้งที่เขียนเธอจะระบุวันที่ซึ่งเธอต้องการจะได้สิ่งนั้นมาครอบครอง หลังจากที่เขียนรายการเสร็จ  เธอจะเก็บรายการนั้นไว้สักสามเดือน  และกลับมาดูใหม่อีกครั้ง แล้วเธอก็จะพูดกับตัวเองว่า “ฉันยังต้องการสิ่งนี้อยู่หรือเปล่า? สิ่งนี้มีคุณค่าจริงหรือไม่? ฉันต้องการมันจริงๆหรือ? ฉันจะอยู่ได้ไหมถ้าไม่มีมัน?” และเธอก็พบว่าในรายการทั้งหมดนั้น ครึ่งหนึ่งจะกลายเป็นสิ่งที่เธอไม่ต้องการ

เช่นเดียวกับเศรษฐีในนิทานเปรียบเทียบที่พระเยซูเจ้าทรงเล่า  พระเจ้าทรงเรียกเศรษฐีผู้นั้นว่า “เจ้าคนโง่”  เพราะเศรษฐีไม่รู้จักใช้ทรัพย์สมบัติที่ตนมีเพื่อแบ่งปันช่วยเหลือคนยากจน  แต่กลับสะสมทรัพย์สมบัติทั้งหมดไว้ในยุ้งฉาง และให้ชีวิตทั้งหมดของตน ความหวังทั้งหมดของตนอยู่กับทรัพย์สมบัตินั้น  เขาไม่รู้จักใช้ทรัพย์สมบัติอย่างถูกต้องและกลับต้องสูญเสียทุกสิ่งไป

พระเยซูเจ้าทรงขอให้เราอย่าได้ทำผิดพลาดเช่นนี้  ไม่ใช่เป็นสิ่งผิดที่จะมีทรัพย์สมบัติ  แต่เราต้องให้น้ำพระทัยของพระเจ้ามาก่อนสิ่งอื่นใดทั้งสิ้น ทรัพย์สมบัติจะกลายเป็นพระพรของพระเจ้าเมื่อมันประกอบด้วยสามสิ่งนี้คือ 

1. ทรัพย์สมบัตินั้นเราต้องได้รับมาอย่างถูกต้องชอบธรรม  ไม่ใช่ได้มาจากการขโมย  การโกงหรือการหลีกเลี่ยงภาษี 

2. เราต้องไม่โลภมากอยากได้ทรัพย์สมบัติมากขึ้นเรื่อยๆ เราอาจทำแบบเดียวกับหญิงผู้นั้นที่เขียนรายการสิ่งของที่ต้องการไว้  เราต้องถามตัวเองว่า “ฉันต้องการสิ่งนั้นจริงๆหรือ? เราจะอยู่โดยไม่มีสิ่งนั้นได้ไหม?”

3. เป็นข้อที่สำคัญที่สุด  เราต้องคิดว่าเราเป็นเหมือนผู้ดูแลทรัพย์สมบัติที่พระเจ้าทรงประทานให้แก่เรา  นั่นคือแทนที่เราจะมองว่าเราเป็นเจ้าของทรัพย์สมบัตินั้น  เรากลับมองว่าเราเป็นเพียงผู้ดูแลทรัพย์สมบัติของพระเจ้า และเราจะใช้ทรัพย์สมบัตินั้นเพื่อช่วยในการเผยแพร่ข่าวดีของพระเจ้าและช่วยเหลือผู้ยากไร้ขัดสน  พระเจ้าทรงประสงค์ให้เรารู้จักแบ่งปันทรัพย์สมบัติเงินทองของเรา แบ่งปันเวลาและความสามารถของเราเพื่อช่วยเหลือประชากรของพระองค์และช่วยเหลือพระศาสนจักรของพระองค์

ในพระคัมภีร์มีบทบัญญัติข้อหนึ่งสำหรับชาวอิสราแอล  นั่นคือให้มอบ 10 เปอร์เซ็นต์ของรายได้ให้กับพระวิหาร  นี่เป็นตัวอย่างสำหรับเราให้รู้จักการใช้ทรัพย์สินเงินทองเพื่องานของพระศาสนจักรและเพื่อผู้ที่ขัดสนยากไร้ เป็นโอกาสสำหรับเราที่จะแบ่งปันพระพรที่เราได้รับจากพระเจ้าให้แก่ผู้อื่น

มีสุภาษิตฝรั่งเศสบทหนึ่งกล่าวว่า “เมื่อคุณตาย สิ่งที่จะไปพร้อมกับคุณ คือสิ่งที่คุณให้แก่ผู้อื่น”  ทุกกิจการแห่งกุศลกรรมของเราในระหว่างมีชีวิตในโลก จะเป็นเครื่องยืนยันให้แก่เราในวันแห่งการพิพากษา และโอกาสต่างๆที่ถูกทำให้สูญเปล่าไป กิจการที่เป็นความเห็นแก่ตัวก็จะทำให้เราอับอายในเวลานั้น  พระเยซูเจ้าทรงสอนเราให้สะสมทรัพย์สมบัติไว้ในสวรรค์  และเวลาที่เราต้องเริ่มกระทำก็คือเวลานี้  เพราะนี่เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้เราร่ำรวยอย่างแท้จริง  และเป็นสิ่งที่มีคุณค่าในสายพระเนตรของพระเจ้า

***************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น