วันศุกร์ที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2560

อัศจรรย์ดวงอาทิตย์ที่ฟาติมา




โดย–Michael H. Brown

                       วันที่ 13 ต.ค. 1917 เกิดอัศจรรย์ดวงอาทิตย์ที่ฟาติมา  วันนี้เป็นวันครบรอบ 100 ปีพอดีของเหตุการณ์นั้น นี่เป็น “อัศจรรย์ดวงอาทิตย์ที่ยิ่งใหญ่ของฟาติมา” มีประชาชนได้เห็นประมาณ 70,000 คน จากทุกชนชั้น ทุกฐานะ ทุกอาชีพ มีทั้งผู้ที่เชื่อในพระเจ้าและผู้ที่ไม่เชื่อ มีนักวิทยาศาสตร์ นายแพทย์ นักการเมือง ฯลฯ  ดวงอาทิตย์บนท้องฟ้าเปลี่ยนไปจากสถานะเดิมของมัน  และวันก่อนหน้านี้ก็มีฝนตกหนักตลอดทั้งคืน  แต่สภาพอากาศก็กลับมาเป็นปกติไม่นานก่อนจะเกิดอัศจรรย์  ดวงอาทิตย์หมุนรอบตัวเองอย่างรวดเร็ว สาดแสงเป็นสีต่างๆไปทั่วท้องฟ้า แล้วดวงอาทิตย์ก็เหมือนกับจะหลุดออกจากตำแหน่งของมันตกลงมายังโลก  ประชาชนพากันตกใจร้องเสียงดัง บางคนสวดวอนขอพระเจ้าอภัยบาปของเขา

                         
 
                       ก่อนบ่ายโมง ลูซีอาและลูกพี่ลูกน้องทั้งสองคนก็ตกอยู่สัมพันธญาณ เมฆบนท้องฟ้าเปิดออก  ลูซีอาเห็นแม่พระทรงอาภรณ์สีขาวมีนักบุญยอแซฟยืนอยู่ด้านข้างอุ้มพระกุมารเยซู  ต่อมาลูซีอาเห็นแม่พระในลักษณะแม่พระมหาทุกข์ทรงอยู่กับพระเยซูเจ้าที่เป็นผู้ใหญ่ทรงทอดพระเนตรฝูงชนด้วยความสงสารและทรงยกพระหัตถ์อวยพรบรรดาผู้แสวงบุญเหล่านั้น  ในตอนท้ายของการอยู่ในสัมพันธญาณนี้ ลูซีอาเห็นแม่พระในลักษณะของแม่พระแห่งภูเขาคาร์เมลทรงอาภรณ์สีน้ำตาลดำ

                       “ขณะที่สิ่งเหล่านี้เกิดอยู่  บางอย่างคล้านจานแบนเคลื่อนไหวอยู่ด้านหน้าของดวงอาทิตย์ และดวงอาทิตย์ได้เต้นเป็นเวลานาน 10 นาทีเหมือนล้อไฟที่บรรยายไว้ในพระคัมภีร์เอเซเคียล  มันหมุนและสาดแสงรังสีเจิดจ้าสะท้อนเป็นสีเขียว แดง สัม ฟ้า และม่วงบนใบหน้าของผู้คนด้านล่าง มันหมุนอยู่ประมาณ 3 นาที แล้วหยุด แล้วเริ่มตกลงมาเป็นแนวทางซิกแซก ราวกับว่าจะทำลายโลกให้แตกไป”

                       เมื่ออัศจรรย์สิ้นสุดลง ประชาชนต่างพบว่า เสื้อผ้าที่ตนสวมใส่ที่เปียกจากฝนตกนั้น ได้แห้งและสะอาด

                       ผู้ที่เชื่อยากก็มีทฤษฏีของตัวเอง บางคนบอกว่าเป็นปรากฏการณ์พระอาทิตย์ทรงกลดซ้อน    มีบล็อกหนึ่งบอกว่า ปรากฏการณ์ของดวงอาทิตย์เช่นนี้เป็นปรากฏการณ์ที่จะเกิดขึ้นเมื่อแกนของโลกเคลื่อน

                       บางคนบอกว่าเป็นการสะกดจิตหมู่หรือเป็นการเห็นภาพลวงตาหมู่  แต่คนจำนวนนับหมื่นจะเห็นภาพลวงตาแบบเดียวกันและพร้อมๆกันได้อย่างไร?

                       บางคนยังบอกว่า จานแบนที่อยู่ด้านหน้าดวงอาทิตย์นั้นคือ จานบินของมนุษย์ต่างดาว  (;Michael H. Brown;" – มันดูเหมือนแผ่นศีลมหาสนิทมากกว่า ผมได้เห็นมาด้วยตาของตัวเอง และได้เขียนบรรยายไว้ในเว็ปไซต์บางแห่ง)

                       ผมได้เห็น “อัศจรรย์ดวงอาทิตย์” หลายครั้งในระหว่างทำการวิจัยเกี่ยวกับเรื่องนี้มากกว่า 40 ปี อันได้แก่ สถานที่ใกล้ลีซีเออร์ในฝรั่งเศส  ที่ลูรดส์เมื่อสองปีก่อน  ที่เบธาเนียในเวเนซูเอล่า  ที่ควิโตในเอกวาดอร์  ที่ไอร์แลนด์  ที่เมดจูกอเรจ์ ในเฮอเซโกวินา  ที่ซาร์วานิสตายาในยูเครน  และยังมีที่อื่นๆอีก เป็นสถานที่กล่าวกันว่าแม่พระทรงประจักษ์มาหรือเคยประจักษ์มา

                       ผู้ที่เห็นแม่พระมีทั้งผู้มีใจศรัทธาและไม่ศรัทธา  พวกเขาได้รับพระพรให้เห็นสิ่งที่เหนือธรรมชาติทางกายภาพ  พวกเขาได้เห็นสิ่งที่พระเจ้าทรงให้เขาเห็น  ที่เบธาเนีย ผมเห็นดวงอาทิตย์หมุนและสาดแสงรังสียาวมายังโลกคล้ายกับรูปภาพของแม่พระในเหรียญอัศจรรย์

                       ผมเคยพูดกับนักดาราศาสตร์ชื่อ ดร. โยเซฟ แพตเตอร์สันที่มหาวิทยาลัยโคลัมเบีย  เขาบอกว่าเวลา 10 นาทีนั้นทำให้คนเราตาบอดได้ มันจะเผาเรตินาเป็นรู  สิ่งนี้ไม่ได้เกิดกับผมเลย  ดร.แพตเตอร์สันพูดว่าเขาไม่สามารถหาเหตุผลใดมาอธิบายถึงปรากฏการณ์ของการที่ดวงอาทิตย์หมุนในแบบที่ผมเล่าให้เขาฟัง  หรืออะไรที่เป็นสิ่งคล้ายจานสีขาวที่ดูเหมือนจะเคลื่อนไหวอยู่หน้าดวงอาทิตย์  และผมก็ไม่ได้เห็นจุดดับบนดวงอาทิตย์อย่างแน่นอน

                       เช้าวันหนึ่งที่เมดจูกอเรจ์  ดวงอาทิตย์ได้สาดแสงรังสีรูปร่างคล้ายกางเขนลงมายังสวนองุ่นที่อยู่ไม่ไกลจากตัวผมมากนัก  (ในระหว่างเกิดเหตุการณ์นี้ผมเห็นคู่สามีภรรยาคู่หนึ่งจ้องมองอยู่ เมื่อผมเข้าไปใกล้พวกเขาเพื่อถามว่าเขาเห็นสิ่งเดียวกับผมหรือเปล่า  ผมก็จำได้ว่าพวกเขาคือโค๊ชผู้ฝึกสอนโลมาที่มีชื่อเสียง ชูล่าและภรรยาของเขา)

                       พระสันตะปาปาเบเนดิกต์ที่ 16  ผู้แปลความหมายของความลับฟาติมาข้อที่สาม กล่าวว่า “ในเรื่องนี้ อาจอธิบายทางเทววิทยาได้ว่ามีรูปแบบการมองเห็นหรือ “นิมิต” สามแบบ  นั่นคือ  นิมิตด้วยประสาทสัมผัส , การรับรู้ทางภายนอกหรือภายในร่างกาย และนิมิตฝ่ายจิต ( visio sensibilis – imaginativa – intellectualis)  เป็นที่แน่ชัดว่า นิมิตที่ลูรดส์  ที่ฟาติมา และที่อื่นๆเป็นการรับรู้ทางภายนอกร่างกายของประสาทสัมผัส ภาพและรูปแบบที่มองเห็นไม่ได้อยู่อย่างเลื่อนลอยแต่อยู่ในสถานที่อย่างเช่นที่ต้นไม้หรือบ้าน
 
                       ไม่เหมือนกับผู้ที่มีประสบการณ์ใกล้ตายที่เห็นอุโมงค์เปิดออก หรือแสงสว่างเจิดจ้าเกิดขึ้นต่อหน้าพวกเขา

                       พระเจ้าสามารถทำในสิ่งที่ทรงประสงค์

                       พระองค์สามารถทำให้ฝูงชนมีประสบการณ์ที่เหนือธรรมชาติบางอย่างที่เกินความเป็นจริงได้

                       ที่กีเบโฮ ในราวันดา  ผู้เห็นแม่พระอธิบายว่า สิ่งแวดล้อมตัวเขาได้หายไปในทันทีทันใดในระหว่างที่แม่พระทรงประจักษ์มา (พระศาสนจักรรับรองแล้ว)  พวกเขาไม่เห็นฝูงชนที่รายล้อมอยู่แต่เห็นเป็นอย่างอื่นแทน (เห็นเป็นทุ่งดอกไม้ บางดอกสดชื่น บางดอกเหี่ยวแห้ง)

                       จงเชื่อสิ่งที่คุณเห็น  ปรากฏการณ์เกิดขึ้นจริง  โดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเราไม่ได้เจ็บป่วยทางประสาท  และเรามีใจศรัทธาปฏิบัติกิจทางคริสต์ศาสนา โดยการสวดภาวนาและพลีกรรมอดอาหาร  เราจะรับรู้ถึงโลกที่อยู่เหนือกายภาพ  เหนือสิ่งต่างๆของโลกนี้

–Michael H. Brown

------------------------------------------

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น