เมื่อโลกเจริญก้าวหน้า นักวิทยาศาสตร์ได้ค้นพบสิ่งใหม่ๆเพิ่มขึ้นมากมาย และทำให้ความคิดพื้นฐานเปลี่ยนแปลงแตกต่างไปจากเดิมจนเป็นที่ประหลาดใจในวงการวิทยาศาสตร์ การค้นพบเกี่ยวกับการเข้ารหัสพันธุกรรมที่มีความสลับซับซ้อนใน DNA ทำให้นักวิทยาศาสตร์หลายคนในเวลานี้ยอมรับว่าจักรวาลและชีวิตทั้งหลายเป็นส่วนหนึ่งของการออกแบบที่ยิ่งใหญ่ นักวิทยาศาสตร์ท่านหนึ่งกล่าวว่า “นักวิทยาศาสตร์หลายคน เมื่อพิจารณาด้วยตนเองแล้ว ก็มีแนวโน้มไปในเรื่องการออกแบบ น่าประหลาดใจที่นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากในเวลานี้กำลังพูดเกี่ยวกับพระเจ้า ทั้งๆที่ไม่เคยมีความเชื่อทางศาสนามาก่อนเลย” แล้วการค้นพบอะไรที่ทำให้นักวิทยาศาสตร์หันกลับมาพูดเรื่องของพระเจ้าในทันทีทันใดมีการค้นพบ 3 อย่างที่เกี่ยวข้องในเรื่องนี้ เป็นเรื่องทางดาราศาสตร์ และเรื่องทางชีวโมเลกุล : -
1.
จักรวาลมีจุดเริ่มต้น (จุดกำเนิด)
2.
จักรวาลมีการปรับแต่งเพื่อให้สามารถกำเนิดสิ่งมีชีวิต
3.
การเข้ารหัส DNA เปิดเผยให้เห็นถึงความชาญฉลาด
****************
1. จักรวาลมีจุดกำเนิดเพียงครั้งเดียว เมื่อก่อนเรารู้เรื่องเกี่ยวกับจักรวาลน้อยมาก จากอดีตจนถึงศตวรรษที่ 20
นักวิทยาศาสตร์ยังคิดว่ามีกาแลกซี่ทางช้างเผือกของเราอยู่ในจักรวาลเพียงกาแลกซี่เดียวเท่านั้นและนั่นเป็นจักรวาลทั้งหมดซึ่งมีดวงดาวอยู่
100 ล้านดวง นักวิทยาศาสตร์ในอดีตเชื่อว่าจักรวาลไม่มีจุดเริ่มต้นไม่มีจุดกำเนิด
พวกเขาเชื่อว่าสิ่งทั้งหมดที่อยู่ในจักรวาลนั้นมีอยู่แล้วตลอดเวลา แต่ตอนต้นของศตวรรษที่
20 นักดาราศาสตร์ เอ็ดวิน ฮับเบิล ค้นพบว่าจักรวาลกำลังขยายตัว เขาใช้วิธีการคำนวณย้อนกลับและพบว่าทุกอย่างในจักรวาลมีจุดเริ่มต้น
นี่ทำให้เกิดแรงสั่นสะเทือนใหญ่ในโลกวิทยาศาสตร์ นักวิทยาศาสตร์หลายคนรวมทั้งไอน์สไตน์มีปฏิกิริรยาในทางไม่เห็นด้วย
แต่ต่อมาไอน์สไตน์กล่าวว่า “นี่เป็นข้อผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิตของผม”
เขาพยายามสร้างสมการขึ้นมาเพื่อพิสูจน์ว่าจักรวาลไม่มีจุดเริ่มต้น เซอร์เฟรดริก
ฮอยล์นักดาราศาสตร์ชาวอังกฤษซึ่งไม่เห็นด้วยกับความคิดนี้ ให้ชื่อเล่นกับจุดเริ่มต้นของจักรวาลนั้นว่า
“บิ๊กแบง” เขายังคงยึดติดทฤษฏีที่ว่าจักรวาลดำรงอยู่ตลอดเวลาไม่มีจุดกำเนิด
เช่นเดียวกับไอน์สไตน์และนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆก็คิดแบบเดียวกัน จนกระทั่งหลักฐานของจุดเริ่มต้นของจักรวาลได้เผยตัวออกมา นั่นคือมีบางสิ่งหรือบางคนซึ่งการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ไม่สามารถตรวจสอบได้เป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมด ในปี 1992 ดาวเทียม COBE ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าจักรวาลมีจุดกำเนิดเพียงครั้งเดียวโดยการระเบิดครั้งใหญ่ที่มีความเจิดจ้าอันเหลือเชื่อของแสงและพลังงาน นักวิทยาศาสตร์เรียกจุดเริ่มต้นนี้ว่า “บิ๊กแบง” โรเบิร์ต จาสโตร นักดาราศาสตร์พยายามอธิบายให้เห็นภาพที่ชัดเจนว่าสิ่งเหล่านี้เริ่มต้นได้อย่างไร ”มีการระเบิดของคอสมิคไฮโดรเจน และนั่นเป็นวินาทีที่ก่อกำเนิดจักรวาลขึ้นมา” บทสรุปก็คือทุกสิ่งในจักรวาลที่ยังไม่มีสภาวะได้ถือกำเนิดมาจากการระเบิดนี้ วิทยาศาสตร์ไม่สามารถบอกเราได้ว่าอะไรหรือผู้ใดที่เป็นสาเหตุของการกำเนิดจักรวาล แต่บางคนเชื่อว่านี่เป็นการบ่งชี้อย่างชัดเจนไปถึงพระผู้สร้าง Edward Milne นักทฤษฏีได้เขียนตำราคณิตศาสตร์เกี่ยวกับสัมพัทธภาพและได้สรุปว่า “ณ.จุดเริ่มต้นของการก่อกำเนิด จักรวาลได้ขยายตัวออก เรื่องราวต่อมานั้นเราไม่สามารถจินตนาการอย่างถูกต้องสมบูรณ์ได้ถ้าปราศจากพระองค์” เอ็ดมุนด์ วิททอล์กเกอร์ นักวิทยาศาสตร์อีกผู้หนึ่งได้พูดถึงเกี่ยวกับจุดเริ่มต้นของจักรวาลว่า “สวรรค์เท่านั้นที่สามารถก่อกำเนินธรรมชาติขึ้นมาจากความไม่มีอะไรเลย” นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากรู้สึกสะดุดใจในความสอดคล้องกันระหว่างการกำเนิดเพียงครั้งเดียวของจักรวาลจากความไม่มีอะไรเลย และข้อความการเนรมิตสร้างที่ปรากฏในพระคัมภีร์ปฐมกาล1:1 ”ในปฐมกาล พระเจ้าทรงสร้างสวรรค์และแผ่นดิน” นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เคยเชื่อว่าข้อความการเนรมิตสร้างในพระคัมภีร์นั้นไม่เป็นวิทยาศาสตร์ แต่โรเบิร์ต จาสโตรที่ไม่เชื่อในพระเจ้าก็ต้องยอมจำนนต่อหลักฐานนี้โดยกล่าวว่า “บัดนี้เราได้เห็นหลักฐานทางดาราศาสตร์ ที่ตรงกับพระคัมภีร์ซึ่งบอกเล่าถึงจุดกำเนิดของโลก” จอร์จ สมูท นักวิทยาศาสตร์ที่ดูแลโครงการดาวเทียม COBE และได้รับรางวัลโนเบลก็กล่าวในแบบเดียวกัน “ไม่มีข้อสงสัยเลยว่ามีความสอดคล้องกันระหว่างบิ๊กแบงและคำสอนทางคริสตศาสนาในเรื่องการเนรมิตสร้างจากความไม่มีอะไรเลย” นักวิทยาศาสตร์ที่เคยดูถูกพระคัมภีร์เรื่องการเนรมิตสร้าง บัดนี้ต่างก็ยอมรับว่าพระคัมภีร์กล่าวถูกต้องทั้งหมดในเรื่องการเนรมิตสร้างจากความไม่มีอะไรเลย นักจักรวาลวิทยาตระหนักว่าการระเบิดครั้งใหญ่นั้นจะไม่ทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตขึ้นมาได้และมันจะเป็นเพียงระเบิดนิวเคลียร์เท่านั้น ถ้าหากไม่มีวิธีการทางวิศวกรรมมาควบคุมและนั่นหมายความว่าจะต้องมีผู้ออกแบบได้วางแผนไว้ก่อน พวกเขาเริ่มใช้คำเรียกผู้ออกแบบว่า “ผู้ชาญฉลาดล้ำเลิศ” , “ผู้สร้าง” และ “ผู้ทรงล้ำเลิศอย่างยิ่ง” ทำไมนะรึ? ก็เพราะ : -
เช่นเดียวกับไอน์สไตน์และนักวิทยาศาสตร์คนอื่นๆก็คิดแบบเดียวกัน จนกระทั่งหลักฐานของจุดเริ่มต้นของจักรวาลได้เผยตัวออกมา นั่นคือมีบางสิ่งหรือบางคนซึ่งการตรวจสอบทางวิทยาศาสตร์ไม่สามารถตรวจสอบได้เป็นจุดเริ่มต้นของทุกสิ่งทุกอย่างทั้งหมด ในปี 1992 ดาวเทียม COBE ได้พิสูจน์ให้เห็นว่าจักรวาลมีจุดกำเนิดเพียงครั้งเดียวโดยการระเบิดครั้งใหญ่ที่มีความเจิดจ้าอันเหลือเชื่อของแสงและพลังงาน นักวิทยาศาสตร์เรียกจุดเริ่มต้นนี้ว่า “บิ๊กแบง” โรเบิร์ต จาสโตร นักดาราศาสตร์พยายามอธิบายให้เห็นภาพที่ชัดเจนว่าสิ่งเหล่านี้เริ่มต้นได้อย่างไร ”มีการระเบิดของคอสมิคไฮโดรเจน และนั่นเป็นวินาทีที่ก่อกำเนิดจักรวาลขึ้นมา” บทสรุปก็คือทุกสิ่งในจักรวาลที่ยังไม่มีสภาวะได้ถือกำเนิดมาจากการระเบิดนี้ วิทยาศาสตร์ไม่สามารถบอกเราได้ว่าอะไรหรือผู้ใดที่เป็นสาเหตุของการกำเนิดจักรวาล แต่บางคนเชื่อว่านี่เป็นการบ่งชี้อย่างชัดเจนไปถึงพระผู้สร้าง Edward Milne นักทฤษฏีได้เขียนตำราคณิตศาสตร์เกี่ยวกับสัมพัทธภาพและได้สรุปว่า “ณ.จุดเริ่มต้นของการก่อกำเนิด จักรวาลได้ขยายตัวออก เรื่องราวต่อมานั้นเราไม่สามารถจินตนาการอย่างถูกต้องสมบูรณ์ได้ถ้าปราศจากพระองค์” เอ็ดมุนด์ วิททอล์กเกอร์ นักวิทยาศาสตร์อีกผู้หนึ่งได้พูดถึงเกี่ยวกับจุดเริ่มต้นของจักรวาลว่า “สวรรค์เท่านั้นที่สามารถก่อกำเนินธรรมชาติขึ้นมาจากความไม่มีอะไรเลย” นักวิทยาศาสตร์จำนวนมากรู้สึกสะดุดใจในความสอดคล้องกันระหว่างการกำเนิดเพียงครั้งเดียวของจักรวาลจากความไม่มีอะไรเลย และข้อความการเนรมิตสร้างที่ปรากฏในพระคัมภีร์ปฐมกาล1:1 ”ในปฐมกาล พระเจ้าทรงสร้างสวรรค์และแผ่นดิน” นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เคยเชื่อว่าข้อความการเนรมิตสร้างในพระคัมภีร์นั้นไม่เป็นวิทยาศาสตร์ แต่โรเบิร์ต จาสโตรที่ไม่เชื่อในพระเจ้าก็ต้องยอมจำนนต่อหลักฐานนี้โดยกล่าวว่า “บัดนี้เราได้เห็นหลักฐานทางดาราศาสตร์ ที่ตรงกับพระคัมภีร์ซึ่งบอกเล่าถึงจุดกำเนิดของโลก” จอร์จ สมูท นักวิทยาศาสตร์ที่ดูแลโครงการดาวเทียม COBE และได้รับรางวัลโนเบลก็กล่าวในแบบเดียวกัน “ไม่มีข้อสงสัยเลยว่ามีความสอดคล้องกันระหว่างบิ๊กแบงและคำสอนทางคริสตศาสนาในเรื่องการเนรมิตสร้างจากความไม่มีอะไรเลย” นักวิทยาศาสตร์ที่เคยดูถูกพระคัมภีร์เรื่องการเนรมิตสร้าง บัดนี้ต่างก็ยอมรับว่าพระคัมภีร์กล่าวถูกต้องทั้งหมดในเรื่องการเนรมิตสร้างจากความไม่มีอะไรเลย นักจักรวาลวิทยาตระหนักว่าการระเบิดครั้งใหญ่นั้นจะไม่ทำให้เกิดสิ่งมีชีวิตขึ้นมาได้และมันจะเป็นเพียงระเบิดนิวเคลียร์เท่านั้น ถ้าหากไม่มีวิธีการทางวิศวกรรมมาควบคุมและนั่นหมายความว่าจะต้องมีผู้ออกแบบได้วางแผนไว้ก่อน พวกเขาเริ่มใช้คำเรียกผู้ออกแบบว่า “ผู้ชาญฉลาดล้ำเลิศ” , “ผู้สร้าง” และ “ผู้ทรงล้ำเลิศอย่างยิ่ง” ทำไมนะรึ? ก็เพราะ : -
2. จักรวาลมีการปรับแต่งอย่างละเอียดที่อำนวยให้เกิดสิ่งมีชีวิตได้ นักวิทยาศาสตร์คำนวณค่าตัวเลขของแรงโน้มถ่วงและค่าคงที่ในกฏเกณฑ์ทางฟิสิกส์ของจักรวาลที่จำเป็นต้องปรับให้ถูกต้องอันจะทำให้จักรวาลของเราสามารถดำรงอยู่ได้
เช่น ถ้าพลังในการขยายตัวของจักรวาลมีระดับที่น้อยกว่านี้เพียงเล็กน้อย
แรงโน้มถ่วงจะดึงดูดสสารทั้งหมดให้กลับมารวมตัวกันใหม่ มีการคำนวณตัวเลขว่า
ถ้าการขยายตัวของจักรวาลในหนึ่งวินาทีหลังจากเกิดบิ๊กแบงมีค่าน้อยกว่าหนึ่งในหมื่นล้านล้านล้านส่วนของอัตราปัจจุบัน
จักรวาลจะถูกแรงโน้มถ่วงดูดกลับมารวมกันใหม่ก่อนที่มันจะสามารถมีขนาดเท่าปัจจุบันได้
และในทางกลับกันถ้าจักรวาลขยายตัวเร็วเกินไป กาแล็กซี่
ดวงดาวต่างๆก็ไม่สามารถก่อตัวขึ้นได้และเราก็จะไม่ได้มายืนอยู่ที่นี่ และเพื่อให้ชีวิตดำรงอยู่ได้
เงื่อนไขในระบบสุริยะของเราและระบบในโลกของเราเองก็จำเป็นต้องมีการปรับแต่ง เช่นถ้าบรรยากาศไม่มีออกซิเจน
เราก็จะไม่มีอากาศหายใจ น้ำก็ไม่เกิดขึ้น จะไม่มีฝนตกบำรุงพืชพันธ์ แม้แต่ก๊าซอื่นๆเช่น ไฮโดรเจน ไนโตรเจน โซเดียม
คาร์บอน แคลเซี่ยม ฟอสฟอรัส ฯลฯ ก็มีความจำเป็นต่อชีวิต
ถ้ามีเพียงอย่างใดอย่างหนึ่งก็ไม่เพียงพอที่จะทำให้ชีวิตดำรงอยู่ได้ ทุกอย่างอันได้แก่ ขนาดของโลก อุณหภูมิ สารเคมี
ก่อกำเนิดเป็นโลกของเรา
เป็นดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์
ทุกอย่างต้องมีสัดส่วนที่ถูกต้องที่สุด
ยังมีเงื่อนไขอื่นๆอีกมากมายที่เราอาจไม่เคยคิดถึงซึ่งจำเป็นต้องมีการปรับแต่งอย่างละเอียดถูกต้องแม่นยำ นักวิทยาศาสตร์ที่มีความเชื่อย่อมระบุได้ว่าพระเจ้าทรงเป็นผู้สร้างสรรค์สิ่งต่างๆเหล่านี้ และนักวิทยาศาสตร์ที่ไม่เชื่อในพระเจ้าก็ไม่สามารถอธิบายเรื่องนี้ซึ่ง
”ประจวบเหมาะอย่างที่สุด” สตีเฟน
ฮอว์กิน นักฟิสิกส์ทฤษฏีและไม่เชื่อเรื่องพระเจ้าได้เขียนไว้ว่า ”เป็นความจริงที่ดูเหมือนว่า
ค่าตัวเลขเหล่านั้นจะถูกปรับแต่งอย่างละเอียดจนทำให้เป็นไปได้ที่สิ่งมีชีวิตจะก่อกำเนิดขึ้นมาได้”
จึงเกิดคำถามขึ้นว่า
จักรวาลเกิดขึ้นโดยบังเอิญหรือเป็นอัศจรรย์ ?
การปรับแต่งอย่างละเอียดนี้สามารถเป็นการบังเอิญได้หรือไม่?
ผู้ที่มีความคิดนอกกรอบรู้ว่าถ้ามีระยะเวลาที่ยาวนานพอบางสิ่งก็อาจเกิดขึ้นได้ ถ้าเราแทงล็อตตารี่หลายครั้งก็อาจมีสักครั้งที่ถูกล็อตตารี่เข้าจนได้ ดังนั้นความคิดแบบนี้จะใช้กับการที่มนุษย์ถือกำเนิดขึ้นมาโดยอาศัยการระเบิดแบบ
Random (ขอแปลว่า แบบมั่ว) ในประวัติศาสตร์ของจักรวาลได้ไหม ถ้าเช่นนั้นมนุษย์ก็อาจจะถือกำเนิดขึ้นมาจาก
การระเบิดบิ๊กแบง ตามนิยามของกฎแห่งความเป็นไปได้กระมัง? นักดาราศาสตร์ได้คำนวณค่าความเป็นไปได้ว่ามีเพียง หนึ่งในพันล้านล้านล้านล้านล้านล้าน.....ฯลฯ ส่วน นั่นหมายความว่าโอกาสที่จะเป็นไปได้นั้นไม่ง่ายหรือไม่มีโอกาสเลย เหมือนกับโอกาสที่คนตาบอดจะค้นพบเมล็ดทรายหนึ่งเมล็ดจากทรายทั้งหมดในชายทะเลทั้งหมดของโลกนี้ ค่าตัวเลขของการระเบิดบิ๊กแบงแบบ Random (แบบมั่ว) และทำให้เกิดชีวิตขึ้นมาได้นั้น ก็เหมือนกับการที่คนหนึ่งจะแทงล็อตตารี่ระดับพันล้านล้านล้านดอลลาร์โดยใช้ตั๋วล็อตตารี่เพียงใบเดียว นั่นย่อมเป็นไปไม่ได้แน่นอน นอกเสียจากจะมีบางคนที่อยู่เบื้องหลังได้กำหนดตัวเลขเอาไว้ให้เขาแล้ว ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์จึงสรุปว่า มีบางคนที่อยู่เบื้องหลังที่ออกแบบและสร้างจักรวาลขึ้นมา
การระเบิดบิ๊กแบง ตามนิยามของกฎแห่งความเป็นไปได้กระมัง? นักดาราศาสตร์ได้คำนวณค่าความเป็นไปได้ว่ามีเพียง หนึ่งในพันล้านล้านล้านล้านล้านล้าน.....ฯลฯ ส่วน นั่นหมายความว่าโอกาสที่จะเป็นไปได้นั้นไม่ง่ายหรือไม่มีโอกาสเลย เหมือนกับโอกาสที่คนตาบอดจะค้นพบเมล็ดทรายหนึ่งเมล็ดจากทรายทั้งหมดในชายทะเลทั้งหมดของโลกนี้ ค่าตัวเลขของการระเบิดบิ๊กแบงแบบ Random (แบบมั่ว) และทำให้เกิดชีวิตขึ้นมาได้นั้น ก็เหมือนกับการที่คนหนึ่งจะแทงล็อตตารี่ระดับพันล้านล้านล้านดอลลาร์โดยใช้ตั๋วล็อตตารี่เพียงใบเดียว นั่นย่อมเป็นไปไม่ได้แน่นอน นอกเสียจากจะมีบางคนที่อยู่เบื้องหลังได้กำหนดตัวเลขเอาไว้ให้เขาแล้ว ดังนั้นนักวิทยาศาสตร์จึงสรุปว่า มีบางคนที่อยู่เบื้องหลังที่ออกแบบและสร้างจักรวาลขึ้นมา
ความเข้าใจใหม่นี้ในเรื่องการกำเนิดของมนุษย์ในจักรวาลของเรา
ทำให้นักดาราศาสตร์จอร็จ กรีนสไตน์ ผู้ที่ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้าตั้งคำถาม “เป็นไปได้หรือไม่ที่
เราได้มาถึงข้อพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์ของการมีอยู่ของพระผู้สูงสุดโดยไม่ตั้งใจ?” อย่างไรก็ดี
กรีนสไตน์ซึ่งไม่เชื่อในเรื่องพระเจ้า
ก็ยังคงรักษาความเชื่อในวิทยาศาสตร์ของเขาอยู่
มากกว่าที่จะเชื่อในพระผู้สร้าง
ซึ่งสามารถอธิบายจุดเริ่มต้นการกำเนิดของพวกเราได้
โรเบิร์ต จาสโตรว์
ได้อธิบายสาเหตุที่นักวิทยาศาสตร์บางคนยังลังเลใจที่จะยอมรับความมีอยู่ของพระผู้สร้าง
“ในโลกวิทยาศาสตร์มีศาสนาอยู่ประเภทหนึ่ง
มันเป็นศาสนาของบุคคลที่เชื่อว่ามีระเบียบและความสอดคล้องกันในจักรวาล....ความเชื่อแบบศาสนาของนักวิทยาศาสตร์เช่นนี้ถูกสั่นสะเทือน
โดยการค้นพบว่าโลกมีจุดเริ่มต้น
ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่เป็นไปตามกฎเกณฑ์ทางฟิสิกส์ที่รู้กันอยู่ และเป็นผลของพลังหรือสิ่งแวดล้อมที่เราไม่สามารถค้นพบ เมื่อมันเกิดขึ้น นักวิทยาศาสตร์ก็ไม่สามารถควบคุมได้
ถ้าเขาตรวจสอบอย่างจริงจังถึงความซับซ้อน เขาก็อาจบ้าได้"
เพราะเหตุนี้เราจึงพอจะเข้าใจได้ว่า
ทำไมคนอย่างกรีนสไตน์และ ฮอว์กินจึงพยายามแสวงหาคำอธิบายอื่น มากกว่าที่จะนำเรื่องการปรับแต่งจักรวาลอย่างละเอียดโยงไปสู่พระผู้สร้าง
ฮอว์กินตั้งข้อสันนิษฐานว่าอาจจะมีจักรวาลอื่นๆอีกที่เรามองไม่เห็นที่มีการปรับแต่งอย่างละเอียด
จนทำให้มีบางจักรวาลที่สิ่งมีชีวิตได้กำเนิดและสามารถดำรงอยู่ได้ แต่ความคิดของฮอว์กินนี้เป็นความคิดส่วนตัวที่ไม่มีหลักฐาน
จึงไม่ถือว่าเป็นวิทยาศาตร์ และไม่มีใครยอมรับความคิดนี้ของเขา นักวิทยาศาสตร์ ปอล
ดาวี่ส์ กล่าวว่า “ความคิดเช่นนี้ต้องตั้งอยู่บนความเชื่อมากกว่าจากการสังเกตการณ์”
ฮอว์กินยังคงทำงานทางวิทยาศาสตร์เพื่ออธิบายถึงจุดกำเนิดของเรา
นักวิทยาศาสตร์คนอื่นรวมทั้งผู้ที่ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้าหลายคนก็รับรู้ถึงหลักฐานที่บ่งชี้ไปถึงพระผู้สร้าง เฟรดริก ฮอยล์ นักดาราศาสตร์เขียนไว้ว่า “อาศัยสามัญสำนึกในการแปลความหมายของความจริงนี้ บอกว่า ‘ผู้ชาญฉลาดล้ำเลิศ’ มีความรอบรู้ทั้งฟิสิกส์ เคมีและชีววิทยา สิ่งที่อยู่ในธรรมชาติไม่ได้เกิดจากความไม่รู้” และถึงแม้ไอน์สไตน์ไม่ได้นับถือศาสนาและไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า (ไอน์สไตน์คิดว่าเรื่องพระเจ้าเป็นความคิดไร้สาระเป็นนิยายสำหรับเด็ก) เขาก็ยังบอกว่ามีอัจฉริยะที่อยู่เบื้องหลังจักรวาล “และความชาญฉลาดล้ำเลิศของผู้สูงสุดนั้นได้สร้างมนุษย์ให้มีความคิดและการกระทำที่เป็นระบบ ซึ่งมีนัยสำคัญเป็นอย่างยิ่ง” คริสโตเฟอร์ ฮิทเช่น ผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้าได้ใช้เวลาตลอดชีวิตในการเขียนหนังสือและพูดต่อต้านการมีอยู่ของพระเจ้า เขารู้สึกสะดุดใจมากในความจริงที่ว่า ชีวิตไม่สามารถดำรงอยู่ได้ ถ้ามีความเปลี่ยนแปลงไปเพียงแค่หนึ่งองศาหรือแค่เศษเสี้ยว”
นักวิทยาศาสตร์คนอื่นรวมทั้งผู้ที่ไม่เชื่อเรื่องพระเจ้าหลายคนก็รับรู้ถึงหลักฐานที่บ่งชี้ไปถึงพระผู้สร้าง เฟรดริก ฮอยล์ นักดาราศาสตร์เขียนไว้ว่า “อาศัยสามัญสำนึกในการแปลความหมายของความจริงนี้ บอกว่า ‘ผู้ชาญฉลาดล้ำเลิศ’ มีความรอบรู้ทั้งฟิสิกส์ เคมีและชีววิทยา สิ่งที่อยู่ในธรรมชาติไม่ได้เกิดจากความไม่รู้” และถึงแม้ไอน์สไตน์ไม่ได้นับถือศาสนาและไม่เชื่อเรื่องพระเจ้า (ไอน์สไตน์คิดว่าเรื่องพระเจ้าเป็นความคิดไร้สาระเป็นนิยายสำหรับเด็ก) เขาก็ยังบอกว่ามีอัจฉริยะที่อยู่เบื้องหลังจักรวาล “และความชาญฉลาดล้ำเลิศของผู้สูงสุดนั้นได้สร้างมนุษย์ให้มีความคิดและการกระทำที่เป็นระบบ ซึ่งมีนัยสำคัญเป็นอย่างยิ่ง” คริสโตเฟอร์ ฮิทเช่น ผู้ที่ไม่เชื่อในพระเจ้าได้ใช้เวลาตลอดชีวิตในการเขียนหนังสือและพูดต่อต้านการมีอยู่ของพระเจ้า เขารู้สึกสะดุดใจมากในความจริงที่ว่า ชีวิตไม่สามารถดำรงอยู่ได้ ถ้ามีความเปลี่ยนแปลงไปเพียงแค่หนึ่งองศาหรือแค่เศษเสี้ยว”
ดาวี่ส์กล่าวยอมรับว่า “สำหรับผมแล้ว หลักฐานที่ทรงพลังที่สุดได้พิสูจน์ว่ามีบางสิ่งอยู่เบื้องหลังทั้งหมด ดูเหมือนจะมีบางคนที่ได้ปรับแต่งค่าตัวเลขของธรรมชาติอย่างละเอียดเพื่อสร้างจักรวาลขึ้นมา....เป็นการออกแบบอันน่าทึ่งสุดแสนประทับใจ”
วิทยาศาสตร์ดาราศาสตร์ไม่ได้เป็นเพียงสาขาเดียวที่มีหลักฐานของการออกแบบ ยังมีการค้นพบอื่นๆอีก
3.
DNA
ภาษาของชีวิต....(ดูต่อที่นี่)
*************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น