นักบุญเลียวนาร์ด แห่งพอร์ตเมาไรซ์ Leonard
of Port Maurice(1676-1751)
ท่านเป็นนักบวชฟรังซิสกันผู้ศักดิ์สิทธิ์ ท่านอาศัยอยู่ในอารามเซนต์โบนาเวนตูราในกรุงโรม
และยังเป็นมิชชันนารีที่ยิ่งใหญ่ผู้หนึ่งในประวัติศาสตร์ของพระศาสนจักร
ท่านเคยเทศน์ให้แก่ประชาชนนับพันคนที่จัตุรัสกลางแจ้งของเมืองทุกเมือง เมื่อโบสถ์ไม่สามารถรองรับคนจำนวนมากที่มาฟังท่านเทศน์ได้ บทเทศน์ที่สำคัญของท่านเรื่องหนึ่งคือเรื่อง “มีคนจำนวนน้อยที่ได้รับความรอด”
(The little Number of Those Who are Saved)
ด้วยบทเทศน์บทนี้ คนบาปที่ได้ฟังท่านเทศน์ได้กลับใจจำนวนมาก
และต่อไปนี้คือบทเทศน์ของท่าน :
********************
“พี่น้องทั้งหลาย
เพราะความรักของข้าพเจ้าที่มีต่อพวกท่าน ข้าพเจ้าปรารถนาจะสามารถให้ความมั่นใจแก่พวกท่านถึงความสุขนิรันดรของพวกท่าน
โดยกล่าวแก่ท่านแต่ละคนดังนี้ “ท่านจะได้ไปสวรรค์อย่างแน่นอน คริสตชนจำนวนมากจะได้รับความรอด
ดังนั้นท่านก็จะได้รับความรอดด้วยเช่นกัน”
แต่ข้าพเจ้าจะสามารถให้ความมั่นใจเช่นนี้แก่ท่านได้อย่างไร ถ้าหากท่านประพฤติตนเป็นปฏิปักษ์ต่อพระบัญญัติของพระเป็นเจ้าเหมือนกับท่านเป็นศัตรูที่เลวร้ายของพระองค์เช่นนี้เล่า?? ข้าพเจ้ามองเห็นว่าพระเจ้าทรงปรารถนาเป็นอย่างยิ่งที่จะช่วยท่านให้รอด
แต่ข้าพเจ้าก็พบด้วยว่าในตัวท่านมีความโน้มเอียงไปในทางชั่ว ดังนั้นในวันนี้ข้าพเจ้าจะเป็นอย่างไรถ้าหากข้าพเจ้าพูดอย่างชัดเจนเกี่ยวกับพวกท่าน?
ข้าพเจ้าจะทำให้ท่านไม่พอใจ
แต่ถ้าข้าพเจ้าไม่พูด
ข้าพเจ้าก็จะทำให้พระเจ้าไม่พอพระทัย
นี่ไม่ใช่การพูดอย่างไร้สาระ แต่นี่เป็นคำเตือนที่ประกาศถึงความจริงจากเบื้องบน เป็นความจริงแท้แน่นอน ข้าพเจ้าขอพูดกับผู้มีนิสัยเกียจคร้าน
ใช้ชีวิตอย่างเสรี เอาแต่อ้างถึงพระเมตตาของพระเจ้าและบอกว่าการกลับใจนั้นทำได้ง่ายมาก แล้วพวกเขาก็ดำเนินชีวิตอยู่ในบาปต่อไป
และยังคงหลับใหลอยู่บนหนทางไปสู่นรก
เพื่อทำให้พวกเขามีความเข้าใจที่ถูกต้องและปลุกพวกเขาให้ตื่นจากความหลับใหล ในวันนี้ให้พวกเราพิจารณาถึงคำถามที่ยิ่งใหญ่นี้เถิด
จำนวนของคริสตชนที่ได้รับความรอดมีมากกว่าจำนวนของคริสตชนที่ถูกสาปแช่งหรือไม่?
ท่านผู้มีใจศรัทธาอยู่แล้ว
ท่านไม่จำเป็นต้องฟังก็ได้
เพราะคำเทศน์นี้ไม่ได้มีสำหรับท่าน
เป้าหมายของปีศาจก็คือทำให้บุคคลดังกล่าวมีใจหยิ่งผยองไม่เกรงกลัวพระเจ้าและไปเข้าร่วมกับปีศาจ
ซึ่งมันจะสาปแช่งวิญญาณเหล่านั้นด้วยการทำให้พวกเขามั่นใจอย่างผิดๆว่าเขาจะได้รับความรอด
เพื่อขจัดความสงสัยในเรื่องนี้
ให้เราพิจารณาคำสอนของบรรดาปิตาจารย์ในพระศาสนจักร ทั้งทางฝ่ายกรีกและละติน ท่านเหล่านั้นเป็นนักเทววิทยาและนักประวัติศาสตร์ผู้คงแก่เรียน
และให้เราใช้พระคัมภีร์มาเป็นแนวทางในการพิจารณาไตร่ตรองด้วย
บัดนี้อย่าได้ฟังว่าข้าพเจ้าจะพูดอะไร
เพราะข้าพเจ้าบอกแล้วข้าพเจ้าไม่ต้องการจะพูดหรือตัดสินในเรื่องนี้
แต่ขอให้พวกท่านฟังสิ่งที่นักคิดผู้ยิ่งใหญ่เหล่านี้กล่าวแก่พวกท่านเถิด
ท่านเหล่านี้เป็นผู้แนะแนวทางของพระศาสนจักรของพระเจ้า
เพื่อมอบแสงสว่างแก่พวกท่าน อันจะทำให้พวกท่านไม่เดินออกนอกทางที่จะนำไปสู่สวรรค์
เราจะทำแบบนี้คือ เราจะอาศัยแสงสว่างสามอย่างได้แก่ แสงสว่างแห่งความเชื่อ แสงสว่างแห่งอำนาจในการสั่งสอน
และแสงสว่างแห่งเหตุผล ด้วยแสงสว่างเหล่านี้จะทำให้เราสามารถเข้าใจปัญหานี้ได้อย่างแน่นอน
อันดับแรก
ให้เราปรึกษานักเทววิทยาในการพิจารณาอย่างระมัดระวังและเพื่อไม่เป็นการดูหมิ่นคำสอนของพวกท่าน ให้เราฟังจากพระคาร์ดินัลสองท่านคือ คาจิตัน และเบลลามิน
ทั้งสองท่านสอนว่า คริสตชนที่เป็นผู้ใหญ่จำนวนมากถูกสาปแช่งไปสู่นรก ให้เวลาแก่ข้าพเจ้าสักหน่อยที่จะแสดงแหตุผลในเรื่องนี้ แล้วท่านก็จะเกิดความมั่นใจด้วยตัวของท่านเอง
ข้าพเจ้าขออ้างคำพูดของซูอาเรส ท่านได้ปรึกษากับนักเทววิทยาหลายคนและศึกษาเกี่ยวกับเรื่องนี้
ท่านเขียนไว้ว่า “ด้วยสามัญสำนึก เรารู้ว่าในจำนวนคริสตชนทั้งหลาย ผู้ที่ถูกสาปแช่งมีมากกว่าผู้ที่ได้รับความรอด”
และจากอำนาจในการสั่งสอนของปิตาจารย์กรีกและละตินที่มีต่อนักเทววิทยาทั้งหลาย ท่านก็จะพบว่า
ปิตาจารย์ทุกท่านก็กล่าวในลักษณะเดียวกัน
นี่เป็นคำสั่งสอนของนักบุญทีโอดอร์
นักบุญบาซิล นักบุญเอแฟรม และนักบุญยอห์น คริสซอสโตม
ตามคำบอกเล่าของบารอนเนียสซึ่งกล่าวว่า สิ่งนี้เป็นความเห็นทั่วไปของปิตาจารย์กรีก
และความจริงนี้ได้ถูกเปิดเผยแก่นักบุญซีเมออน สไตไลท์ ท่านนักบุญต้องการความมั่นใจว่าท่านจะได้รับความรอดอย่างแน่นอน ดังนั้นท่านจึงไปยืนบนยอดเสาเป็นเวลานานถึงสี่สิบปี
ไม่ว่าอากาศจะเป็นอย่างไร
ทั้งนี้เพื่อทำกิจใช้โทษบาปของท่านเองและเพื่อทุกคนจะได้รับความรอด
บัดนี้ให้เราพิจารณาคำสั่งสอนของปิตาจารย์ละตินบ้าง ท่านจะได้ยินนักบุญเกรโกรี่กล่าวอย่างชัดเจนว่า
“มีหลายคนที่มารับความเชื่อ
แต่มีคนจำนวนน้อยที่ได้เข้าสู่อาณาจักรสวรรค์”
นักบุญอังแซล์มประกาศว่า “มีคนจำนวนน้อยที่ได้รับความรอด” นักบุญออกุสตินกล่าวชัดเจนยิ่งกว่า “เพราะฉะนั้น
จึงมีคนจำนวนน้อยที่ได้รับความรอดเมื่อเปรียบเทียบกับจำนวนของคนที่ถูกสาปแช่ง”
และยังมีคำกล่าวที่น่าหวาดหวั่นที่สุดจากนักบุญเจโรม
ในบั้นปลายชีวิตของท่าน ต่อหน้าบรรดาศิษย์ที่มารวมตัวกัน ท่านกล่าวคำพูดที่น่าหวาดหวั่นว่า “ในจำนวนคนหนึ่งหมื่นคนที่ดำเนินชีวิตในทางไม่ดี ท่านจะพบเพียงคนเดียวเท่านั้นที่สมควรจะได้รับพระคุณการุณย์”
และพระวาจาจากพระคัมภีร์
ลองค้นดูในพระคัมภีร์พระธรรมเก่าและพระธรรมใหม่ ท่านจะพบทั้งรูปแบบ สัญลักษณ์ และพระวาจาจำนวนมากที่กล่าวอย่างชัดเจนถึงความจริงข้อนี้
– มีคนจำนวนน้อยที่ได้รับความรอด
ในยุคสมัยของโนอาห์ มนุษย์ทั้งหมดถูกน้ำท่วม
มีเพียงคนเพียงแปดคนที่รอดชีวิตในเรือสำเภา นักบุญเปโตรกล่าวว่า “สำเภานี้เป็นรูปแบบของพระศาสนจักร”
นักบุญออกัสตินกล่าวว่า “คนแปดคนที่รอดชีวิตนี้ เป็นสิ่งบ่งชี้ว่ามีคริสตชนจำนวนน้อยที่ได้รับความรอด
เพราะมีคนจำนวนน้อยที่ปฏิเสธโลกอย่างจริงใจ
และในจำนวนคนที่บอกว่าปฏิเสธโลกนั้นก็พูดแต่ปาก แต่ไม่ได้ปฏิบัติตามที่ตนพูด พวกเขาไม่ขึ้นไปในเรือสำเภาซึ่งก็คือพระศาสนจักร”
พระคัมภีร์ไบเบิลยังได้บอกพวกเราว่ามีชาวฮีบรูเพียงสองคนเท่านั้นจากจำนวนสองล้านคนที่ได้เข้าสู่ดินแดนแห่งพันธะสัญญาหลังจากที่ออกมาจากอิยิปต์
และมีเพียงสี่คนที่หลบหนีออกมาจากไฟที่เผาเมืองโซดม ส่วนคนอื่นถูกลงโทษในไฟที่เผาเมืองจนมอดไหม้
(หมายเหตุ –
พระเจ้าทรงช่วยชาวยิวใก้พ้นจากการเป็นทาสออกมาจากอิยิปต์ แต่พวกเขาต้องเร่ร่อนอยู่ในทะเลทรายเพราะพวกเขาเป็นกบฏต่อพระเจ้า พวกเขาอยู่ในทะเลทราย 40 ปีจนผู้ใหญ่ที่ออกมาจากอิยิปต์ตายหมดเหลือแต่
โยชัวกับครอบครัวเท่านั้นที่ได้เข้าแผ่นดินแห่งพันธสัญญาพร้อมกับลูกหลานของชาวยิวที่ตายไปแล้ว)
ข้าพเจ้าจะยังไม่จบการเทศน์ ถ้าข้าพเจ้าไม่แสดงหลักฐานทั้งหมดที่พระคัมภีร์ได้กล่าวถึงความจริงข้อนี้ เราจงตั้งใจฟังเสียงจากองค์ปรีชาญาณดูเถิด
พระเยซูเจ้าทรงตอบว่าอะไรต่อคำถามของชายคนหนึ่งซึ่งถามพระองค์ว่า
“พระอาจารย์ มีน้อยคนที่ได้รอดหรือ?”
พระองค์ทรงเงียบหรือ? พระองค์ทรงลังเลที่จะตอบหรือ? พระองค์ทรงปิดบังไว้เพราะกลัวว่าฝูงชนจะตกใจกลัวหรือ?
เปล่าเลย ชายคนหนึ่งได้ถาม
และพระองค์ตรัสกับประชาชนทุกคนซึ่งอยู่ที่นั่น พระองค์ตรัสว่า
“ท่านถามเราว่ามีน้อยคนที่ได้รับความรอดหรือ?
เราขอบอกท่านว่า ‘จงพยายามเข้าไปในประตูที่แคบเถิด เพราะหลายคนที่พยายามเข้าไปแต่ก็เข้าไม่ได้”
ใครเล่าเป็นผู้พูด ?
คือองค์พระบุตรของพระเจ้า
องค์ความจริงนิรันดร
พระผู้ตรัสในอย่างชัดเจน (ในเวลาอื่น) ว่า “ผู้ถูกเรียกมีมาก แต่ผู้ได้รับเลือกมีน้อย”
พระองค์มิได้ตรัสว่า มนุษย์ทุกคนถูกเรียก และมนุษย์ทุกคนนั้น
มีน้อยคนที่ได้รับเลือก แต่ตรัสว่า
หลายคนถูกเรียก ซึ่งมีความหมาย ตามคำอธิบายของนักบุญเกรโกรี่ ว่า
จากมนุษย์ทุกคน
มีหลายคนที่ถูกเรียกให้มาสู่ความเชื่อที่แท้จริง แต่จากคนเหล่านี้มีน้อยคนที่ได้รอด
พี่น้องทั้งหลาย นี่เป็นพระวาจาของพระอาจารย์เจ้าของเรา
องค์พระคริสตเยซู มันชัดเจนไหม? มันเป็นความจริง จงบอกกับข้าพเจ้าเถิด
เป็นไปได้หรือที่ในเวลานี้จะไม่มีความเชื่อในหัวใจของพวกท่านและมันไม่สั่นสะท้านจิตใจของท่านเลย
จงมองขึ้นไปและมองดูพระสังฆราชของพระศาสนจักรศักดิ์สิทธิ์ ผู้อภิบาลซึ่งมีหน้าที่ดูแลวิญญาณทั้งหลาย
จำนวนของผู้ที่ได้รับความรอดในท่ามกลางมนุษย์ทุกคนนั้น
มากกว่าจำนวนของผู้ที่ถูกสาปแช่งหรือไม่?
จงฟังคำพูดของแคนทิมเปรอเถิด เขาจะเล่าเหตุการณ์หนึ่งให้ท่านฟัง และท่านก็จงสรุปเอาเอง มีการจัดประชุมพระสังฆราชขึ้นในปารีส
มีพระสังฆราชและพระสงฆ์จำนวนมากมาร่วมประชุม
พระมหากษัตริย์และเจ้าชายก็เสด็จมาร่วมฟังการประชุมนี้ด้วย
นักเทศน์ผู้มีชื่อเสียงท่านหนึ่งได้รับเชิญให้มาเทศน์ ในขณะที่เขากำลังเตรียมบทเทศน์อยู่นั้น
ปีศาจร้ายน่ากลัวตนหนึ่งได้ปรากฏแก่ท่านและพูดว่า -
“ถ้าท่านต้องการเทศน์สิ่งที่มีประโยชน์ต่อพวกเขาแล้วละก็ จงนำคำพูดของข้าไปบอกพวกเขาเถอะ ‘เราซึ่งเป็นเจ้าชายแห่งความมืด ขอขอบคุณ บรรดาเจ้าชาย พระสังฆราช และพระสงฆ์ผู้ดูแลวิญญาณ เพราะโดยอาศัยการละเลยหน้าที่ของพวกเจ้า ผู้มีความเชื่อจำนวนมากจึงถูกสาปแช่งให้ตกนรก และพวกข้าได้เตรียมรางวัลไว้ให้พวกเจ้าแล้วสำหรับการกระทำนี้ของพวกเจ้า เมื่อพวกเจ้าจะมาอยู่กับพวกข้าในนรก’"
คำอธิบายของนักบุญ วินเซนต์
เฟอร์เรอร์ต่อไปนี้จะช่วยให้พวกท่านพิจารณาไตร่ตรองได้ดียิ่งขึ้น
ท่านนักบุญเล่าว่า มีพระสงฆ์ท่านหนึ่งที่อาศัยอยู่ในเมืองลิยอง ท่านรู้สึกท้อใจในการเทศน์สอนประชาชนที่นั่นเพื่อทำให้พวกเขาสำนึกผิดกลับใจและทำกิจใช้โทษบาปของพวกเขา เพราะพวกเขาไม่มีความศรัทธา
พระสงฆ์ท่านนี้เสียชีวิตในวันเดียวกันและชั่วโมงเดียวกันกับนักบุญเบอร์นาร์ด
ต่อมาวิญญาณของพระสงฆ์ได้ไปปรากฏต่อพระสังฆราชของเขา
และพระสงฆ์พูดกับพระสังฆราชว่า
“พระคุณเจ้าครับ ขอให้รู้ไว้เถิดว่า ในเวลาที่ผมเสียชีวิตนั้น มีคนเสียชีวิตในเวลาเดียวกับผมจำนวน 33,000
คน ในจำนวนนี้ ท่านเบอร์นาร์ดและผมได้เข้าสู่สวรรค์โดยตรง มีสามคนที่ไปไฟชำระ และคนอื่นๆที่เหลือไปสู่นรก”
พระสงฆ์ร่วมคณะของข้าพเจ้าคนหนึ่งซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีในความศักดิ์สิทธิ์และคำเทศน์สอนของท่าน ท่านได้ไปเทศน์สอนในเยอรมนี ท่านพูดถึงความน่าขยะแขยงของบาปความไม่บริสุทธิ์
คำเทศน์สอนนั้นมีพลังอำนาจมากจนทำให้สตรีผู้หนึ่งเสียชีวิตด้วยความเศร้าเสียใจอย่างยิ่งต่อหน้าผู้คนทั้งหมด และต่อมาสตรีผู้นี้ได้กลับฟื้นขึ้นมา เธอเล่าให้คนที่นั่นฟังว่า
“เมื่อฉันไปอยู่เบื้องพระพักตร์พระตรีเอกภาพ มีคน 6,000
คนจากทุกส่วนของโลกได้ไปถึงที่นั่นด้วย
ในจำนวนนี้
มีสามคนที่ได้รอดโดยไปสู่ไฟชำระ
และคนที่เหลือถูกสาปแช่งไปสู่นรกทั้งหมด”
ไม่เป็นความจริงหรอกหรือที่ว่ามีถนนสองสายที่นำไปสู่สวรรค์ นั่นคือ
ถนนแห่งความบริสุทธิ์
และถนนแห่งการสำนึกผิดกลับใจ ?
บัดนี้
ข้าพเจ้าขอบอกท่านว่ามีคนจำนวนน้อยมากที่เลือกเดินในถนนสายใดสายหนึ่งในสองสายนี้ สำหรับประชาชนทั่วไป ท่านสามารถสรุปได้ว่ามีน้อยคนที่ได้รับความรอด
ข้าพเจ้าสังเกตเห็นว่าพวกท่านเกือบทุกคนต่างก้มหน้า รู้สึกประหลาดใจและตระหนกตกใจ แต่ให้เราทิ้งความงุนงงนั้นไปเสียเถิด และปลอบประโลมใจเราเอง ให้เราพยายามดึงประโยชน์จากความกลัวของเรา
เพื่อให้กำลังใจแก่พวกท่าน ข้าพเจ้าขอบอกว่า คนทั้งหลายไม่ว่าอยู่ในวัยใด มีฐานะอะไรหรือมีสถานภาพอะไรก็ตาม
ท่านจะพบว่าจำนวนคนชั่วนั้นไม่ได้มีมากเป็นร้อยเท่าของคนดีเลย ถึงแม้จะมีคนบางคนพูดว่า ‘คนดีนั้นหายาก ส่วนคนชั่วมีมากกว่า’? ก็ตาม
เราอาจพูดแบบเดียวกับคำพูดของซาล์เวียนุส ว่า เป็นการง่ายที่จะพบคนบาปเพราะมีจำนวนนับไม่ถ้วนและทำบาปทุกชนิด ยิ่งเสียกว่าการจะพบคนที่ดีบริสุทธิ์ซึ่งมีน้อยนิด
แต่ท่านอาจจะแย้งว่า ‘การทำกิจใช้โทษบาปจะไม่สามารถชดเชยความบริสุทธิ์ที่สูญเสียไปได้หรือ? นั่นเป็นความจริง ข้าพเจ้ายอมรับ แต่ข้าพเจ้าก็รู้ด้วยว่า การทำกิจใช้โทษบาปนั้นเป็นสิ่งที่ทำได้ยากมาก เพราะเราได้สูญเสียอุปนิสัยนี้ไปแล้ว
และพวกคนบาปก็มักจะดูถูกเยาะเย้ยผู้ที่กระทำสิ่งนี้ว่า การกระทำเพียงเท่านี้จะเพียงพอที่จะทำให้มั่นใจว่าจะช่วยให้ได้รับความรอดได้หรือ?
ถ้าพูดถึงศีลอภัยบาปแล้ว จะพบว่ามีการสารภาพบาปอย่างไม่ถูกต้องมากมาย หลายคนพิจารณาบาปไม่ครบถ้วน หลายคนไม่ได้สำนึกผิดด้วยจริงใจ หลายคนให้คำสัญญาเลื่อนลอย หลายคนไม่มีความเสียใจในบาปอย่างสมบูรณ์ ดังนั้นจึงไม่ได้รับการอภัยบาป
ท่านจะเชื่อถือหรือ คนที่ได้สารภาพบาปความไม่บริสุทธิ์ และยังคงทำบาปในบางโอกาส? หรือบางคนที่สารภาพบาปการขาดความยุติธรรม
แต่ไม่มีความตั้งใจที่จะเปลี่ยนแปลงตนเองเสียใหม่?
หรือบางคนที่กลับไปทำบาปเดิมอีก
หลังจากที่ได้ไปสารภาพบาปแล้ว? โอ ช่างเป็นการดูหมิ่นศีลศักดิ์สิทธิ์อันยิ่งใหญ่นี้ยิ่งนัก
คาทอลิกที่เป็นผู้ใหญ่แล้วส่วนใหญ่สารภาพบาปอย่างไม่ดีในเวลาใกล้ตาย พวกเขาส่วนมากถูกสาปแช่ง ข้าพเจ้าขอบอกว่า ‘แน่ยิ่งกว่าแน่เสียอีก’
เพราะคนใกล้ตายที่สารภาพบาปอย่างไม่ดีในเวลาที่มีสุขภาพดี ย่อมเป็นการยากที่เขาจะสารภาพบาปอย่างดีได้ในเวลาใกล้ตาย
ในเวลานั้น
เขาจะอยู่ในสภาพที่มึนงง
จิตใจสับสน
มีอุปสรรคหลายอย่างสำหรับเขา
จากวัตถุสิ่งของที่เขามี
จากความลุ่มหลงในเนื้อหนัง
จากอุปนิสัยส่วนตัว
และเหนือสิ่งใด จากปีศาจที่ทำทุกวิถีทางที่จะดึงเขาไปสู่นรก
ดังนั้น ถ้าท่านรวบรวมการสารภาพบาปที่ไม่ดี และสิ่งต่างๆที่กล่าวไปแล้วเหล่านี้เข้าด้วยกัน ท่านจะสรุปไม่ได้หรือว่า
คริสตชนส่วนใหญ่ที่เป็นผู้ใหญ่ถูกสาปแช่งให้อยู่ในนรก คนบาปหลายคนที่ตายอย่างคาดไม่ถึงในบาป
สาเหตุจากการไม่ดูแลของหมอหรือญาติพี่น้องก็ตาม หรือตายในแผ่นดินไหว จากการตกจากที่สูง จากสงคราม
จากการต่อสู้ จากการถูกฟ้าผ่า
ถูกไฟเผาหรือจมน้ำ
และนั่นเป็นเหตุผลของนักบุญคริสซอสโตม นักบุญผู้นี้กล่าวว่า
คริสตชนส่วนใหญ่กำลังเดินไปตามถนนสู่นรกตลอดชีวิตของพวกเขา
พวกท่านอาจบอกข้าพเจ้าว่า‘พระเมตตาของพระเจ้านั้นยิ่งใหญ่’
ถูกแล้ว แต่นั่นสำหรับผู้ที่ยำเกรงพระเป็นเจ้า นี่เป็นคำพูดของประกาศก “พระยุติธรรมของพระองค์น่าสะพรึงกลัวสำหรับผู้ที่ไม่ยำเกรงพระองค์ และพระยุติธรรมจะกล่าวโทษทุกคนที่ดื้อรั้นทำบาป”
มีข้อความในพระคัมภีร์นับร้อยๆแห่ง ที่พระเจ้าตรัสกับพวกเราว่า พระองค์ปรารถนาที่จะช่วยมนุษย์ให้ได้รับความรอด
พระคัมภีร์เขียนว่า – “เป็นความปรารถนาของเราหรือที่จะให้คนบาปต้องตายโดยไม่สำนึกผิดกลับใจ? พระเจ้าผู้ทรงชีวิตตรัสว่า เราไม่ปรารถนาความตายของคนบาป แต่เราต้องการให้เขาสำนึกผิดกลับใจและมีชีวิตอยู่?”
จงสำนึกผิดกลับใจ
สำนึกผิดกลับใจอย่างแท้จริง
จงหันหลังให้บาป
และมารับความรอด
**********************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น