ถ้าคุณเรียนทางด้านแพทย์ศาสตร์ก็คงจะคุ้นเคยกับชื่อของ
เซอร์วิลเลียม ออสเลอร์ อยู่บ้าง
เพราะเซอร์วิลเลียมได้ชื่อว่าเป็น “บิดาแห่งการแพทย์ยุคใหม่” และเขาก็เป็นบุคคลที่ทรงคุณค่าแห่งวิชาชีพแพทย์ เขาเป็นผู้อันเป็นที่รักยิ่งในวงการแพทย์ตะวันตก
ผู้เป็นแบบอย่างในทุกด้าน
วิลเลียม
ออสเลอร์เกิดในประเทศคานาดาซึ่งอยู่ในเครือจักรภพอังกฤษ บิดาของเขาเป็นพระสงฆ์มิชชันนารีนิกายแองกลีกันในศตวรรษที่
19 และบิดามารดาอยากให้วิลเลียมเป็นพระสงฆ์ด้วยเช่นกัน แต่วิลเลียมพบว่าตัวเองต้องการเป็นแพทย์และได้เลือกเส้นทางสายนี้
วิลเลียมเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยแพทย์
Toronto School of Medicine and McGill University และแสดงให้เห็นถึงความสามารถทางการแพทย์และความมีมนุษยสัมพันธ์กับคนทั่วไป หมอออสเลอร์ทำการวิจัยและเขียนบทความทางการแพทย์ไว้มากมาย
อาทิเช่น เยื่อบุหัวใจอักเสบ, โรคต่อมไทรอยด์และปอดของคนงานเหมืองถ่านหิน เขาเป็นแพทย์ที่ไม่ยอมเปิดคลินิกส่วนตัวตลอดชีวิต
แต่ทุ่มเทให้กับงานการศึกษาแพทย์
และค้นคว้าเกี่ยวกับโรคร้ายที่คร่าชีวิตคนไปจำนวนมากในยุคนั้น ทั้งมาลาเรีย ไทฟอยด์ วัณโรค โรคหัวใจ
จนสามารถทำให้หลายโรคหมดไปหรือป้องกันได้ เขาเป็นครูของแพทย์ที่ย้ำว่านักศึกษาแพทย์ต้องเรียนกับคนไข้
เริ่มจากคนไข้ อยู่กับคนไข้ จบที่คนไข้ ไม่ใช่ฟังแต่การบรรยายดังที่ทำกันก่อนหน้านั้น และเขาได้เขียนหนังสือ The Principles and
Practice of Medicine (หลักการและข้อปฏิบัติทางการแพทย์) ซึ่งเป็นคำแนะนำเกี่ยวกับการดูแลคนไข้ เป็นหนังสือที่ถูกตีพิมพ์มานานนับร้อยปี
หมอออสเลอร์มีความสนใจกว้างมาก
ไม่จำกัดเฉพาะด้านการแพทย์ แต่รักการอ่าน เขาจะย้ำกับนักศึกษาและเพื่อนร่วมงานตลอดว่าต้องอ่านหนังสือ
อ่านวรรณกรรม
เพื่อเสริมสร้างภูมิรู้ที่ลึกซึ้ง เขาย้ำเสมอว่า นักศึกษาแพทย์และแพทย์ต้องรักษา
"คนที่ป่วยเป็นโรค" ไม่ใช่รักษา "โรค" โดยไม่ดูคนไข้ เป็นแพทย์ที่ย้ำว่า "การทำเวชปฏิบัติเป็นศิลปะ
ไม่ใช่การค้า เป็นเสียงเพรียกจากด้านใน ไม่ใช่ธุรกิจ เป็นเสียงเพรียกที่ต้องทำด้วย ”หัวใจ”เท่ากับด้วย”สมอง"
ออสเลอร์จึงได้สมญานามว่า "บิดาแห่งการแพทย์ยุคใหม่"
- Father of the Modern Medicine (บิดาแห่งการแพทย์ในสมัยโบราณคือฮิปโปเครตีส)
ความรู้และทัศนะคติของวิลเลียม ออสเลอร์มีผลต่อวิธีการทำงานของแพทย์ในทุกวันนี้
แต่ยิ่งไปกว่านั้น วิลเลียม
ออสเลอร์ ยังเป็นสามีที่ดีของภรรยาและพ่อที่ดีของลูกๆด้วย เขาดูแลรักษาคนไข้ด้วยใจเมตตากรุณา ทำงานอย่างหนัก แต่ก็ให้เวลากับครอบครัวและญาติพี่น้องและมิตรสหาย รวมทั้งคนยากจน ในระหว่างที่มีโรคทรพิษระบาด
เขาเดินทางไปรักษาผู้ป่วยตามโรงพยาบาลที่อยู่ห่างไกลในช่วงวันหยุดยาวของเขา เขายังเคยไปดูแลผู้ป่วยในนิคมคนโรคเรื้อนด้วย
เหมาะสมแล้วที่เซอร์
วิลเลียม ออสเลอร์
จะถูกเรียกว่าเป็นนายแพทย์ผู้ยิ่งใหญ่
ด้วยการทำงานอย่างไม่เหน็ดเหนื่อย ด้วยความรอบรู้และความเห็นอกเห็นใจผู้อื่น
แล้วทำไมจึงพูดถึงความผิดพลาดอันยิ่งใหญ่ของเขาล่ะ
ชีวิตของวิลเลียม ออสเลอร์ ได้รู้เห็นและมีส่วนร่วมในการปฏิวัติทางการแพทย์ มีส่วนในการเป็นผู้บุกเบิกความก้าวหน้าด้านการวางยาสลบและการผ่าดัด ให้ทัศนะคติใหม่ในทฤษฏีจุลินทรีย์และยาระงับเชื้อ
ด้วยความเข้าใจมากขึ้นโดยใช้เครื่องฟังหัวใจและการชันสูตรศพทำให้ออสเลอร์มีความเชื่อว่า
“ไม่มีสิ่งท้าทายใดๆที่มนุษย์ไม่อาจพิชิตได้” เพราะความรู้ทางการแพทย์และทางเทคโนโลยีได้พัฒนาอย่างก้าวกระโดด และนี่เป็นความหวังของผู้ป่วยและตัวของออสเลอร์เองซึ่งทำให้เกิดความผิดพลาดขึ้น
เมื่อมองไปยังอนุสาวรีย์ที่สร้างเพื่อนายแพทย์ในฝรั่งเศส อนุสาวรีย์ซึ่งฝรั่งเศสสร้างขึ้นเพื่อประกาศว่า
“เกียรติอันรุ่งโรจน์จงมีแด่มนุษย์ในที่สูงสุด
เพราะมนุษย์เป็นเจ้านายของทุกสรรพสิ่ง” ออสเลอร์รู้สึกว่าอังกฤษและอเมริกาควรพอใจกับจิตวิญญาณและความชาญฉลาดที่ให้ความบันดาลใจกับฝรั่งเศสแบบนี้เช่นกัน
แต่แล้วก็มีบางสิ่งเกิดขึ้น
ฝรั่งเศสและอังกฤษได้ต่อสู้ทำสงครามใหญ่กันนานหกปี สงครามทำให้เกิดความเสียหายมากมาย มีการสังหารด้วยแก๊สพิษ ปูนขาวและปืนกลที่ประดิษฐ์ขึ้นด้วยวิทยาศาสตร์ด้วยเทคโนโลยี และด้วย “มนุษย์ผู้เป็นเจ้านายของสรรพสิ่ง” บุตรชายของวิลเลียม ออสเลอร์ก็เข้าร่วมในสงครามและถูกฆ่าตายด้วยฝีมือของทหาร และเขารู้สึกเศร้าสลดในเรื่องนี้
ไม่ต้องสงสัย วิลเลียม
ออสเลอร์เป็นนายแพทย์ผู้ยิ่งใหญ่และเป็นคนดีมาก “แต่ข้อผิดพลาดที่ยิ่งใหญ่ของนายแพทย์ผู้ยิ่งใหญ่ก็คือ
เขาลืมไปว่ามนุษย์สามารถทำสิ่งที่ชั่วร้ายได้”
ทัศนคติของเขานั้น
บริสุทธิ์
เปี่ยมด้วยความหวังและต้องการหลุดพ้นความทุกข์
พวกเราหลายคนในยุคสมัยนี้ เมื่อเห็นความเจริญก้าวหน้าในด้านเทคโนโลยีและวิทยาศาสตร์ ก็มีความคิดแบบเดียวกับเซอร์วิลเลียม ออสเลอร์ นายแพทย์ผู้ยิ่งใหญ่ เราคิดว่าเทคโนโลยีจะแก้ปัญหาทุกอย่างในโลกนี้ได้ จะทำให้มนุษย์มีความสุขสบาย แต่พวกเราลืมคิดไปว่า ความเจริญทั้งหลายก็มีแง่มุมทางด้านมืดด้วย
ทั้งนี้ขี้นอยู่กับจิตใจของผู้ที่ใช้เทคโนโลยี่เหล่านั้น และมีความจริงอีกประการหนึ่งคือ ปัญหาใหม่ๆมักเกิดขึ้นเสมอ
และเทคโนโลยี่ก็ยังก้าวหน้าไม่ทันกับปัญหาใหม่ที่เกิดขึ้น ตัวอย่างเช่น
มีโรคใหม่ๆเกิดขึ้นซึ่งทางแพทย์ยังไม่สามารถรักษาได้ หรือยังไม่มียาที่จะรักษาให้หายได้
ความจริงพื้นฐานสามประการซึ่งเป็นหัวใจของคำสอนที่พระศาสนจักรสอน นั่นคือ
มนุษย์ถูกสร้างให้มีศักดิ์ศรี
มนุษย์ตกต่ำลงในบาป
มนุษย์ได้รับการไถ่กู้ให้รอด
และตามที่ Aleksandr Solzhenitsyn ชาวโซเวียตกล่าวไว้ว่า
“เส้นบางๆที่แบ่งแยกระหว่างความดีและความชั่ว
ไม่ได้อยู่ที่รัฐ หรือ ชนชั้น หรือ
กลุ่มคนกลุ่มใด แต่อยู่ที่หัวใจของมนุษย์เอง”
พระคัมภีร์กล่าวไว้ชัดเจนว่า
“วิบัติแก่ผู้ที่วางใจในมนุษย์
เขาเชื่อในพละกำลังของมนุษย์และจิตใจของเขาหันเหออกไปจากพระเจ้า เขาเป็นเหมือนพุ่มไม้ที่ขึ้นในทะเลทราย”
ส่วนผู้ที่วางใจในพระเจ้า “เขาจะเป็นเหมือนที่ต้นไม้ที่ขึ้นอยู่ริมน้ำ ซึ่งรากของมันหยั่งลงไปในน้ำ เมื่อแดดส่องมาก็ไม่กลัว ใบของมันจะเขียวอยู่เสมอ ในปีที่แห้งแล้งก็ไม่เหี่ยวเฉา มันไม่หยุดที่จะให้ผล”
เยเรมีย์ 17:5-8
ผู้ที่วางใจในพระเจ้า ถึงแม้จะประสบความทุกข์ยากลำบากใดๆ เขาก็ไม่สิ้นหวัง และสามารถดำเนินชีวิตต่อไปได้จนถึงที่สุด
--------------------------
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น