วันอาทิตย์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2560

เด็กน้อยผู้มอบสาส์นให้แก่พระสันตปาปา


กิลเลส โบวฮาวส์ (1944-1960) เด็กชายอายุ 5 ขวบได้รับสาส์นจากสวรรค์เพื่อส่งมอบให้แก่พระสันตะปาปาปีโอที่ 12 เพื่อใช้ในการออกสมณสาส์นข้อความเชื่อการเสด็จสู่สวรรค์ทั้งกายและวิญญาณของแม่พระในปี 1950

สาส์นนั้นคือ “พระนางพรหมจารีย์มารีย์มิได้สิ้นพระชนม์  พระนางเสด็จเข้าสู่สวรรค์ทั้งกายและวิญญาณ”

ในปี 1950 ขณะที่พระสันตะปาปา ปีโอที่ 12 กำลังเตรียมที่จะประกาศข้อความเชื่อเรื่องการเสด็จสู่สวรรค์ทั้งกายและวิญญาณของแม่พระ  พระองค์ทรงสวดภาวนาเพื่อขอพระเป็นเจ้าทรงประทานหมายสำคัญที่ทำให้พระองค์มั่นพระทัยว่าการประกาศข้อความเชื่อนี้เป็นน้ำพระทัยของพระเป็นเจ้าอย่างแท้จริง นี่เป็นเรื่องราวที่เชื่อว่าสวรรค์ได้ประทานหมายสำคัญนี้แก่พระสันตะปาปา

เด็กน้อยกิลเลส ได้รับการรักษาอย่างอัศจรรย์ขณะที่มีอายุ 9 เดือนโดยความช่วยเหลือจากนักบุญเทเรซาแห่งลิซีเออร์

กิลเลส โบวฮาวส์เกิดที่เมือง Mayenne, France เมื่อวันที่ 27 พ.ย. 1944 ในวันฉลองแม่พระแห่งเหรียญอัศจรรย์ เขาเป็นลูกคนที่สามในบรรดาลูกห้าคน  บิดาชื่อ Gabriel Bouhours เป็นช่างประปา  ส่วนมารดา Madeleine เป็นแม่บ้าน  เมื่อกิลเลสอายุเพียง 9 เดือน เขามีอาการของโรคเยื่อหุ้มสมองอักเสบ ซึ่งเป็นโรคที่ร้ายแรงอาจทำให้เสียชีวิตได้  นายแพทย์ Dr. Dives ได้แนะนำให้ส่งเขาไปรักษากับผู้เชี่ยวชาญพิเศษที่เมืองบอร์โดวซ์  แต่อาการก็ไม่ดีขึ้น  เวลานั้นเพิ่งมีการค้นพบยาเพนนิซิลินเป็นครั้งแรก  และเริ่มทดลองกับคนไข้หลายคนที่เป็นโรคนี้ในเยอรมนีและในอเมริกาเท่านั้น สำหรับกิลเลสแล้วยังไม่มีตัวยาใดที่จะต่อสู้กับโรคร้ายนี้ได้

ซิสเตอร์ผู้หนึ่งเป็นเพื่อนกับครอบครัวของกิลเลสได้มอบพระธาตุนักบุญสององค์เป็นการ์ดสองใบแก่พวกเขาพร้อมบทภาวนาในการ์ดนั้น  และมารดาได้นำการ์ดทั้งสองไปไว้ใต้หมอนของกิลเลส  การ์ดใบหนึ่งเป็นพระธาตุของนักบุญเทเรซาแห่งพระกุมารเยซู  ส่วนอีกใบหนึ่งเป็นพระธาตุของคุณพ่อดาเนียล บรอทตีเอร์แห่งคณะนักบุญเอสพริต (มิชชันนารีในอัฟริกาและผู้อำนวยการบ้านเด็กกำพร้า)ในปารีส)  คืนหนึ่งผ่านไปโดยไม่มีอะไรดีขึ้น

คืนวันที่สี่ พ่อแม่ที่เหน็ดเหนื่อยงีบหลับไป  และเมื่อพวกเขาตื่นขึ้นมาก็พบว่ากิลเลสไม่มีอาการเจ็บปวดแล้ว  สามารถหายใจได้เป็นปกติ และไข้ก็ลดลง

ต่อมาพ่อแม่ของกิลเลสเล่าว่า “ที่แก้มทั้งสองข้างของกิลเลสมีสีแดงปรากฏขึ้นมาเป็นอักษร “T” (กางเขน)

และยังมีสิ่งแปลกประหลาดเกิดขึ้นอีกอย่างหนึ่ง  พวกเขาพบการ์ดของคุณพ่อดาเนียลยังคงอยู่ใต้หมอน  แต่การ์ดของนักบุญเทเรซาแห่งลิซิเออร์หายไป  มีแต่เพียงเส้นด้ายสีแดงสองเส้นที่ผูกติดอยู่กับการ์ดเท่านั้นที่ยังอยู่บนพื้น  สำหรับพ่อแม่ของกิลเลสแล้ว สิ่งนี้เป็นเครื่องหมายยืนยันว่า นักบุญเทเรซาเป็นผู้ที่ช่วยวิงวอนพระเจ้าให้ทรงรักษาลูกชายของพวกเขา  และในช่วงชีวิตต่อมาของกิลเลสเองก็มีสิ่งที่ยืนยันในเรื่องนี้ด้วย

เริ่มต้นการประจักษ์ – แม่พระประจักษ์แก่กิลเลส

ในเดือนกันยายน 1947 ครอบครัวโบวฮาวส์อาศัยอยู่ที่ Arcachon, France กิลเลสมีอายุ 2 ขวบ 10 เดือน เขาดูเป็นปกติเหมือนเด็กทั่วไปในวัยเดียวกัน  วันที่ 30 ก.ย. 1947 มีรายงานว่าแม่พระทรงประจักษ์แก่กิลเลสเป็นครั้งแรก และยังทรงประจักษ์อีกหลายครั้งตามมา  กิลเลสเล่าว่าแม่พระทรงขอให้เขาไปที่สถานที่แห่งหนึ่งที่เรียกว่า Espis, (France) ที่มีข่าวว่ามีเด็กสามคนและชายอายุ 40 ปีอีกคนได้เห็นแม่พระประจักษ์มาเมื่อหนึ่งปีก่อนหน้านี้ (1946) บิดามารดาของกิลเลสยังไม่ค่อยเชื่อในนิมิตของกิลเลส  แต่บิดาได้ลองหาที่อยู่ของสถานที่นั้นในแผนที่และตัดสินใจที่จะไปที่นั่นโดยลำพังก่อน
ผู้เห็นแม่พระใน Espis

Espis อยู่ในเขตเมือง Tarn-et-Garonne อยู่ในสังฆมณฑล Montauban เป็นที่ซึ่งมีรายงานว่าแม่พระประจักษ์มาในปี 1946  เหตุการณ์นี้ได้รับการตรวจสอบจากทางสังฆมณฑล และในวันที่ 12 ธ.ค. 1946 พระสังฆราชท้องถิ่นก็ประกาศเป็นครั้งแรกว่าการประจักษ์นั้น “ไม่เป็นความจริง”

วันที่ 22 ส.ค. 1946 Claudine และ Nadine Combalbert สองพี่น้องได้ไปเฝ้าฝูงห่านที่ Bois d'Espis ในทันใดนั้นพวกเขาก็เห็น “สตรีสวมอาภรณ์สีดำ” บนอาภรณ์ประดับด้วยดอกเดซี่  วันต่อมา “สตรี” ผู้นั้นปรากฏอีก  ครั้งนี้มีเด็กคนที่สามอยู่ด้วย  ข่าวนี้ได้แพร่กระจายไปอย่างรวดเร็ว

ต่อมาวันที่ 31 ส.ค. ชายอายุ 40 ปีก็ได้เห็นนิมิตของสตรีผู้นั้นพร้อมกับเด็ก และพระนางตรัสว่า

“ฉันคือการปฏิสนธินิรมล”

ซิสเตอร์กลุ่มหนึ่งได้มาร่วมด้วย  และสถานที่แห่งนั้นก็กลายเป็นที่ผู้คนหลั่งไหลมาแสวงบุญ

กลับมาที่เรื่องราวของเรา  บิดาของกิลเลส ได้ไปที่ Espis เขาขอให้หนึ่งในผู้เห็นแม่พระไปกับเขาเพื่อยืนยันหรือพิสูจน์คำพูดของลูกชายของเขา  และในตอนเย็นของวันที่ 30 ก.ย. 1947 เด็กหญิงที่เห็นแม่พระคนหนึ่งก็มาที่บ้านของครอบครัวโบวฮาวส์เพื่อมาพบกับกิลเลส

ตามคำบอกเล่าของเด็กหญิงผู้นั้น  ที่สวนของครอบครัวโบวฮาวส์ เธอได้เห็นแม่พระในลักษณะของแม่พระแห่งลูรดส์  และเมื่อบิดาของกิลเลสรวมทั้งลูกสามคนและกิลเลสมาถึง  กิลเลสก็ได้เห็นสุภาพสตรีที่สวยงาม  เขาพูดว่า “แม่พระทรงอยู่บนน้ำ  พระนางทรงพรมน้ำด้วยท่อนไม้  ผมเห็นท่อนไม้สองท่อนบนท้องฟ้า”

กิลเลสอธิบายว่าแม่พระทรงสวมผ้าคลุมศีรษะ  เมื่อขอให้อธิบายเกี่ยวกับ “ท่อนไม้”  เขาพูดว่า “ท่อนไม้เป็นอย่างนี้” เขาแสดงท่าทางประกอบด้วยมือตามประสาเด็กซึ่งอันที่จริงเป็นกางเขน  ต่อมาเขาอธิบายถึงสิ่งน่ากลัว “มีควันสีเหลือง” พุ่งขึ้นมาในท้องฟ้าและแม่พระทรง”กรรแสง”

ต่อมา ในวันที่ 2 ต.ค. 1947 กิลเลสได้เล่าว่าเขาเห็นแม่พระทรง “หลั่งโลหิต”อย่างมากมาย

กิลเลสถามแม่พระด้วยคำพูดแบบเด็กว่า “คุณถูกทำร้ายมหรือ?” ...”คุณหกล้มไปโดนกิ่งไม้หรือ?  นี่ไง ผ้าเช็ดหน้าของผม (....)  แม่พระครับ  เข้ามาใกล้ๆผมสิ  เอามือมาให้ผม (...)  คุณพ่อและคุณแม่ก็อยู่ที่นี่ด้วย”  (ตามคำบอกเล่าของพ่อแม่) 

ในวันที่ 4 และ 6 ต.ค. 1947 มีรายงานว่าแม่พระประจักษ์แก่กิลเลสอีก  วันที่ 13 ต.ค. (วันฉลองแม่พระประจักษ์ที่ฟาติมา) ประมาณห้าโมงเย็น แม่พระประจักษ์มาพร้อมกับตรัสเกี่ยวกับเรื่องที่ Espis  แม่พระขอให้กิลเลสไปสวดภาวนาที่ป่า (ใน Espis) สถานที่ต่อมาจะมี “น้ำพุ” ไหลออกมา  เวลา 18.30 น. แม่พระทรงปรากฏมาอีกเป็นครั้งที่สอง  เวลานั้นมีคนอยู่ประมาณสามสิบคน แม่พระขอให้กิลเลสนำสายประคำมาให้พระนาง มีบางคนนำสายประคำมาให้กิลเลสเพื่อให้พระนางอวยพรให้  และแม่พระขอให้ประชาชนที่อยู่ที่นั่นสวดสายประคำพร้อมกันเพื่อความประสงค์ของดวงพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้า
มีรายงานว่านักบุญเทเรซาก็ประจักษ์มาด้วย

วันที่ 8 ธ.ค. 1947 กิลเลสเห็น “กางเขนใหญ่” ในสวรรค์  สองวันต่อมาคือวันที่ 10 ธ,ค, นักบุญเทเรซาแห่งลิซิเออร์ก็ปรากฏแก่กิลเลสพร้อมด้วยรอยยิ้มและโอบกอดกิลเลส นักบุญเทเรซามอบ “ช่อดอกไม้ให้แก่กิลเลส” ซึ่งทำให้คิดถึงคำสัญญาของนักบุญก่อนที่จะเสียชีวิตว่า เธอจะทำให้ฝนดอกกุหลาบตกลงมาจากสวรรค์

กิลเลสไป Espis เป็นครั้งแรก

วันที่ 13 ต.ค. 1947 กิลเลสไปที่ Espis เป็นครั้งแรก และแม่พระทรงนำทางเขาไปยังป่าไม้ที่มีน้ำพุเริ่มไหลออกมา  วันที่ 13 ม.ค. 1948 แม่พระปรากฏแก่กิลเลสสองครั้งในวันเดียว และทรงขอให้กิลเลสสวดภาวนาต่อดวงพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้า  วันที่ 8 ก.พ. กิลเลสเห็นกางเขนหลายอันบนท้องฟ้า

วันที่ 10 ก.พ. 1948 ครอบครัวโบวฮาวส์ไปแสวงบุญที่ลูรดส์  กิลเลสไม่ได้เห็นนิมิตใดเลยเมื่ออยู่ที่นั่น ระหว่างที่เยี่ยมชมสถานที่ในลูรดส์ กิลเลสบอกว่ารูปปั้นทั้งหมดของแม่พระนั้นสวยงามมาก แต่...”ไม่มีรูปปั้นอันไหนเลยที่สวยงามเหมือนกับที่ผมเห็น”

วันที่ 13 ก.พ. ที่สถานที่จะมีน้ำพุไหลออกมา กิลเลสได้เห็นแม่พระทรงกรรแสงเป็น “เลือด”  กิลเลสจึงขอให้บิดานำน้ำมาให้  บิดารดน้ำลงบนมือน้อยๆของกิลเลส  และกิลเลสก็ยื่นมือออกไป  ผู้คนที่อยู่ที่นั่นเห็นมือน้อยๆของกิลเลสเคลื่อนไหวเหมือนกำลังล้างบางอย่าง  กิลเลสขอน้ำอีก  แล้วก็ทำแบบเดิมอีกเหมือนกิลเลสกำลังล้างแก้มอีกข้างหนึ่งของแม่พระ   การประจักษ์สิ้นสุดเมื่อกิลเลสบอกว่าได้ล้างน้ำตาของแม่พระหมดแล้ว  วันต่อมา แม่พระประจักษ์มาและทรงจูบแก้มของกิลเลสอย่างอ่อนโยน

วันที่ 13 มี.ค. 1948 กิลเลสบอกว่า “ผมกอดแม่พระ แต่ผมไม่ได้จูบพระนาง”  ในฤดูใบไม้ผลิของปี 1948 ใรเหตุการณ์ที่น่าสนใจเกิดขึ้น  วันที่ 13 เม.ย. กิลเลสบอกว่าเห็นแม่พระที่ Espis สามครั้ง และในเดือนพฤษภาคม  เขาบอกว่าเห็นแม่พระในอีกที่หนึ่ง  เวลานั้นกิลเลสอยู่ในสวนของครอบครัว  และเขาได้เห็น “ฝนกางเขน” ด้วย

วันที่ 4 มิ.ย. 1948 กิลเลสบอกคนในครอบครัวอย่างชัดเจนว่า พระนางคือ “พระนางมารีย์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ มารดาของพระเจ้า”  และในวันที่ 10 มิ.ย. เขาบอกว่าพระนางคือ “พระมารดาแห่งพระหรรษทาน”  ซึ่งโดยปกติแม่พระจะประจักษ์แก่กิลเลสในวันที่ 13 ของเดือน  แต่ในวันที่ 13 มิ.ย. นั้นไม่มีการประจักษ์  พ่อแม่ของกิลเลสมีความกังวลในเรื่องการเชื่อฟังคำสั่งของพระสังฆราชท้องถิ่นที่ออกในวันที่ 4 พ.ค.เกี่ยวกับการประจักษ์ที่ Espis (ว่าเป็นเรื่องไม่จริง)  ดังนั้นพวกเขาจึงตัดสินใจไม่ไปที่ Espis  และกิลเลสได้รับการยืนยันเกี่ยวกับการตัดสินใจนี้ด้วยเสียงจากภายใน

วันที่ 24 มิ.ย. กิลเลสพูดกับมารดาว่า “หลังจากวันอาทิตย์แม่พระจะมาหาผมที่สวนของเรา  ไม่ใช่ในวันนี้  พระนางไม่มีเวลาครับ”

แล้วพระนางทรงไปทำอะไรหรือ?  แม่ของกิลเลสถาม

“พระนางไม่ทำซุปหรอก (คงหมายถึงงานที่แม่ของกิลเลสทำในตอนนั้น ) พระนางทรงนำดอกไม้ไปไว้ในสวรรค์ครับ” (ดอกไม้อาจหมายถึงคำภาวนาของผู้ที่สวดสายประคำ)

ระหว่างการประจักษ์วันที่ 13 ส.ค. 1947 ผู้หญิงคนหนึ่งนำสายประคำสามสายมาให้กิลเลสเพื่อให้แม่พระทรงเสก  กิลเลสได้นำสายประคำคืนให้แก่ผู้หญิงคนนั้นและพูดว่า แม่พระไม่ทรงเสกสายประคำนี้เพราะสายประคำถูกเสกแล้ว  เมื่อบิดาของกิลเลสพบกับผู้หญิงคนนี้  เขาถามเธอว่าจริงหรือที่สายประคำเหล่านี้ได้รับการเสกแล้ว  เธอตอบว่าใช่ และเธอไม่ทราบว่าแม่พระจะไม่เสกสายประคำนั้นอีก

(หมายเหตุ –  มีรายงานว่า การเสกหรืออวยพรสายประคำโดยแม่พระเกิดขึ้นหลายครั้งในระหว่างการประจักษ์ในที่ต่างๆ  เคยมีบางคนที่โต้แย้งว่าแม่พระไม่มีอำนาจในการเสกหรืออวยพรศาสนภัณฑ์ในพระนามของพระเยซูเจ้า  เพราะมีแต่พระสงฆ์หรือสังฆานุกรเท่านั้นที่ทำได้ ผู้เขียนเรื่องนี้ได้อธิบายดังนี้ -  ถ้าหากว่าในสถานการณ์ฉุกเฉิน  พระศาสนจักรอนุญาติให้คาทอลิกทุกคนสามารถล้างบาปให้ใครก็ได้ตามเงื่อนไขที่วางไว้  เพราะฉะนั้นพระมารดาของพระเยซูเจ้าผู้ทรงปฏิสนธินิรมล ก็ย่อมสามารถ “เสกหรืออวยพร” ได้ในพระนามขององค์พระบุตรของพระนาง)


พระสังฆราชวางหลักการทั่วไปเกี่ยวกับผู้เห็นแม่พระใน Espis

ทางสังฆมณฑล Espis ได้เข้ามาแทรกแซงในเรื่องการประจักษ์  เนื่องด้วยมีผู้เห็นแม่พระหลายคนและประชาชนที่รู้ข่าวมีความตื่นเต้น  ดังนั้นหลังจากตรวจสอบแล้ว พระสังฆราช Bishop Théas, the then Bishop of Montauban ได้ออกประกาศว่า การประจักษ์นี่ “ไม่เป็นความจริง” เป็นแต่เพียง”ภาพมายา” และหกเดือนต่อมาก็ได้ออกประกาศอย่างเป็นทางการ  ทำให้พระสงฆ์ไม่สามารถประกอบพิธีมิสซาที่นั่นได้  ในช่วงเวลานั้น แม่พระทรงยืนยันในการตัดสินใจของพระสังฆราช  โดยบอกกิลเลสว่า ไม่ควรประกอบพิธีมิสซาที่ Espis เพื่อเป็นการนบนอบเชื่อฟังต่อพระสังฆราช

พระสังฆราชต่อจากพระสังฆราช Theas ก็ยังคงยืนยันในลักษณะเดียวกันโดยออกเอกสารในวันที่ 1 ก.พ. 1950 ว่าสรุปว่าเหตุการณ์นั้นเป็น “ภาพหลอน” ไม่มีลักษณะที่เป็นไปได้ของ “สิ่งเหนือธรรมชาติ”

ถึงแม้กิลเลสจะไม่ใช่เป็นผู้เห็นแม่พระใน Espis  แต่เขาก็ถูกจับตามองเพราะการไปเยี่ยมหนึ่งในผู้ที่เห็นแม่พระใน Espis ถึงที่บ้าน  และยังได้ไปที่ Espis ภายหลังการตัดสินใจของพระสังฆราชด้วยอันเนื่องจากทำตามความประสงค์ของแม่พระ  จึงกลายเป็นความผิดที่ไปเกี่ยวข้อง

แต่การประกาศของพระสังฆราชที่ Espis ไม่ได้ครอบคลุมถึงการประจักษ์แก่กิลเลสด้วย  เป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจถึงแผนการณ์ของพระเจ้าในเรื่องเช่นนี้  แต่แม้จะเป็นเช่นนั้น  กิลเลสก็ยังได้รับอนุญาติให้พบกับพระสันตปาปาเป็นการส่วนตัวได้ถึงสองครั้ง 


การประจักษ์ของอัครเทวดามีคาแอล

วันที่ 15 ส.ค. 1948 กิลเลสอายุ 4 ขวบแล้ว  เขาได้เล่าเกี่ยวกับนิมิตว่า

“ผมเห็นเม็ดกระดุมใหญ่ (หมายถึงโลก)  และข้างบนมีสัตว์ร้ายตัวใหญ่ คล้ายกิ้งก่ามีหางใหญ่และขาใหญ่โอบล้อมมันไว้  ไม่ไกลนัก ผมเห็นสุภาพบุรุษคนหนึ่งมีปีกบนหลังของเขา”

บางทีกิลเลสคงไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน  เขาอธิบายถึงอัครเทวดามีคาแอล และซาตานที่กำลังทำงานในโลก  ในวันนั้น แม่พระประจักษ์มาในอาภรณ์สีน้ำเงินไม่มีผ้าคลุมศีรษะ พระนางทรงขอให้กิลเลสไปที่ Espis พร้อมกับผู้แสวงบุญและร้องเพลง "Chez nous que queen"ในสัปดาห์ที่จะมาถึง  พระนางยังขอให้กิลเลสสวดภาวนามากๆ

วันที่ 13 ต.ค. 1948 กิลเลสเห็น “การสู้รบ” นำโดยอัครเทวดามีคาแอลเพื่อช่วยเหลือวิญญาณ

วันที่ 13 ธ.ค. แม่พระทรงบอก “ความลับ” แก่กิลเลสเพื่อนำไปมอบให้แก่พระสันตะปาปาเท่านั้น  บิดาของกิลเลสขอให้เขาอธิบาย และเขาตอบว่า “พระนางทรงบอกให้ผมบอกบางอย่างกับพระสันตะปาปา และถ้าผมบอกพ่อมันจะเป็นบาปสองข้อ” (ความลับอาจมีสองข้อหรือสองส่วน)

ตอนนี้ก็มีเรื่องที่อยู่ในใจของกิลเลส  นั่นคือไปที่โรมเพื่อพบกับ “ผู้แทนของพระเยซูเจ้าบนแผ่นดิน”  ตอนต้นปี 1949 กิลเลสก็ได้เข้าร่วมในเทศกาลมหาพรตด้วยวิธีที่พิเศษ ในเวลานั้นเขามีอายุเพียง 4 ขวบ

วันที่ 13 พ.ค. 1949 เขาเห็นแม่พระปรากฏในระหว่างพิธีมรรคาแห่งกางเขน และรู้สึกเจ็บปวดจากพระมหาทรมานบางประการด้วย  วันที่ 12 มิ.ย. กิลเลสได้รับศีลมหาสนิทครั้งแรก
อัศจรรย์เล็กๆเกี่ยวกับนกเขาสองตัว

วันที่ 13 มิ.ย. 1949 ในระหว่างการประจักษ์ของแม่พระ  กิลเลสได้มอบนกเขาสองตัวซึ่งมีหญิงผู้หนึ่งได้นำมาเพื่อมอบให้แก่แม่พระ  กิลเลสได้มอบแก่แม่พระโดยปล่อยนกเขา  แต่นกเขาไม่บินหนี  แต่กลับบินมาอยู่บริเวณเบื้องล่างของพระแท่น (อยู่ในโบสถ์) และมันได้คาบกิ่งดอกไม้ซึ่งยาวประมาณ 20 – 25 เซนติเมตร (มีดอกไม้ประดับบริเวณนั้น)  นกเขาคาบกิ่งไม้ไว้ในปากและบินกลับไปหากิลเลส และวางกิ่งไม้ไว้ข้างหน้าเขาและส่งเสียงขัน  คนที่อยู่ที่นั่นพากันประหลาดใจมาก

วันที่ 13 พฤศจิกายน 1949 หลังจากแม่พระทรงขอให้กิลเลสสวดภาวนาเพื่อผู้ป่วยแล้ว พระนางตรัสว่า“กิลเลสลูกต้องไปที่โรมเพื่อพบกับพระสันตะปาปา”
ไปที่โรม – พบพระสันตะปาปาปีโอที่ 12 ครั้งแรก

การเดินทางไปโรมถูกเตรียมขึ้น แม้ว่ามีความยากลำบากเรื่องค่าใช้จ่ายในการเดินทาง เพราะครอบครัวไม่ได้มีฐานะที่ดีนัก  ดังนั้นจึงมีแต่เพียงกิลเลสกับบิดาเท่านั้นที่เดินทางไปโรม  วันที่ 12 ธ.ค. 1949 กิลเลสและบิดาก็สามารถพบกับพระสันตะปาปาปีโอที่ 12 ได้สำเร็จ แต่ไม่ได้เป็นการพบแบบส่วนตัว มีบางคนร่วมอยู่ในที่นั้นด้วย  กิลเลสจึงไม่สามารถบอกความลับของแม่พระแก่พระสันตะปาปาได้ เพราะเขาไม่ได้อยู่เพียงลำพังกับพระสันตะปาปา ตามที่แม่พระทรงสั่งกำชับไว้ กิลเลสรู้สึกผิดหวัง แต่ก็ยืนยันว่าเขาจะต้องส่งมอบสาส์นแก่พระสันตะปาปาให้ได้

ดังนั้น  การเดินทางครั้งที่สองจึงถูกเตรียมขึ้นอีก  แต่ก็มีข่าวร้ายส่งมายังครอบครัวทางไปรษณีย์  เนื่องจากพระสังฆราชท้องถิ่นทำการตัดสินใจเกี่ยวกับการอ้างว่ามีการประจักษ์ที่ Espis แก่คนหลายคน  พระสังฆราชจึงบอกว่าพระสันตะปาปาไม่ทรงอนุญาตให้กิลเลสพบอีกเป็นครั้งที่สอง  แปดวันต่อมา  แม่พระทรงประจักษ์อีกครั้งและทรงขอให้กิลเลสไปที่วาติกันเพื่อแจ้ง “ความลับ” แก่พระสันตะปาปา  และไม่กี่วันต่อมาอุปสรรคต่างๆที่ขัดขวางไม่ให้กิลเลสไปวาติกันก็หมดสิ้นไปอย่างอัศจรรย์  แต่อาจมีอุปสรรค์เพียงอย่างเดียวคือจากผู้ใหญ่ในวาติกันเท่านั้น
พบพระสันตะปาปาครั้งที่สอง

กิลเลสกับบิดาไปถึงโรมในปลายเดือนเมษายน  และในวันที่ 1 พฤษภาคม 1950 พระสันตะปาปาปีโอที่ 12 ก็ต้อนรับกิลเลสเป็นการส่วนตัว  มีเพียงกิลเลสซึ่งอายุ 5 ขวบ กับพระสันตะปาปาเท่านั้น  โดยพระคาร์ดินัล มอนตินีเป็นผู้จัดการ (พระคาร์ดินัลมอนตินีคือผู้ที่จะเป็นพระสันตะปาปาองค์ต่อไป - พระสันตะปาปาเปาโลที่ 6)   บิดาของกิลเลสได้เล่าถึงสถานการณ์ในเวลานั้นว่า

“เวลาประมาณ 10:30 น. เราได้เข้าไปที่วาติกัน มีพระคาร์ดินัลเป็นผู้นำเราทั้งสองเข้าไปในห้อง  พระสังฆราชพูดว่า “ให้เด็กนั่งที่เก้าอี้  เราจะทิ้งให้เขาอยู่เพียงลำพังกับพระสันตะปาปา...”

ในทันทีที่พระสันตะปาปาเข้ามา  พระสังฆราชก็ออกจากห้อง  และกิลเลสก็อยู่เพียงลำพังกับพระสันตะปาปาปีโอที่ 12  หลังจากนั้นไม่นานพระสันตะปาปาก็ออกมาจากห้องพร้อมกับกิลเลส  กิลเลสดีใจมากเขาตบมือและร้องว่า “พระสันตะปาปาจงเจริญ”  และบัดนี้เขามีอิสระจากภาระผูกพันแล้ว  เขาจึงได้เปิดเผยความลับให้การคนหลายคน”

วันที่ 10 มิ.ย. 1950 หนังสือพิมพ์ 'Giornale d'Italia' ได้พิมพ์หัวข้อข่าวว่า

“เด็กน้อยชาวฝรั่งเศสอายุห้าขวบได้พูดกับพระสันตะปาปา”

และยังได้รายงานข่าว “ความลับ” ของกิลเลสดังนี้ “พระนางพรหมจารีย์มารีย์มิได้ทรงสิ้นพระชนม์  พระนางเสด็จสู่สวรรค์ทั้งกายและวิญญาณ”



บุคคลผู้มีชื่อเสียงอีกท่านหนึ่งที่ได้พบกับกิลเลสในโอกาสการเดินทางมาโรมครั้งนี้ก็คือ Fr. Gabrielle Roschini ท่านมีชื่อเสียงในฐานะนักเทววิทยาเกี่ยวกับแม่พระและเป็นอาจารย์ในมหาวิทยาลัย Lateran University เป็นผู้เชี่ยวชาญของสังคายนาวาติกันครั้งที่สอง  การพบกับกิลเลสทำให้ท่านเป็นหนึ่งในผู้ที่ตระเตรียมเรียบเรียงข้อความของคำประกาศข้อความเชื่อ  ท่านได้อธิบายเกี่ยวกับการพบกับกิลเลสดังนี้ “ผมไม่รู้ว่าพระสันตะปาปาทรงมีความรู้สึกอย่างไรต่อ “ความลับ” ของแม่พระในการพบกับเด็กน้อยนี้  ผมได้พบกับกิลเลสและถามเขาเกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาตอบว่า  แม่พระทรงกำชับให้บอกความลับต่อพระสันตะปาปาให้ทรงทราบก่อนคนอื่น  และกิลเลสน้อยก็ได้ทำเช่นนั้น  หลังจากพบกับพระสันตะปาปาเป็นการส่วนตัวแล้ว  เขาก็เปิดเผยให้แก่ผมและแก่คนอื่นอีกหลายคน”

ผลจากการพบกับพระสันตะปาปาเป็นการส่วนตัว  ทำให้มีข่าวในหน้าหนังสือพิมพ์หลายฉบับ  กิลเลสกลายเป็นที่รู้จักไปทั่ว รวมทั้งข้อความที่กิลเลสได้มอบแก่พระสันตะปาปาและการประกาศข้อความเชื่อการเสด็จสู่สวรรค์ทั้งกายและวิญญาณของแม่พระ  การพบกับพระสันตะปาปาในวันที่ 1 พ.ค. 1950 และการประกาศข้อความเชื่อในวันที่ 15 ส.ค. 1950 เป็นเรื่องที่อยู่ในความคิดจิตใจของคนจำนวนมาก

มีรายงานจากแหล่งข่าวหลายแห่งว่า พระสันตะปาปาปีโอที่ 12 ทรงสวดภาวนาวอนขอหมายสำคัญจากพระเจ้าที่ยืนยันกับพระองค์ว่า ข้อความเชื่อการเสด็จสู่สวรรค์ทั้งกายและวิญญาณของแม่พระนี้เป็นพระประสงค์ของพระเจ้า  ผู้ร่วมงานใกล้ชิดของพระองค์ในวาติกันและประชาชนมากมายนอกวาติกัน  ต่างเชื่อว่า “หมายสำคัญ” นี้ก็คือเด็กน้อยกิลเลสซึ่งนำสาส์นจากแม่พระมามอบแก่พระสันตะปาปานั่นเอง
การประจักษ์ที่น่าสนใจครั้งหนึ่ง

เมื่อปฏิบัติภารกิจในการมอบสาส์นจากสวรรค์ให้แก่พระสันตะปาปาสำเร็จสมบูรณ์แล้ว  กิลเลสยังคงได้รับการประจักษ์จากแม่พระตั้งแต่ปี 1950 ถึง 1958 (แม่พระประจักษ์ในวันที่ 13 ของทุกเดือน)  การประจักษ์วันที่ 13 พ.ค. 1950 กิลเลสประกาศว่า “วันที่ 1 มิถุนายน  ผมจะต้องสวมชุด alb สีขาว และผมจะต้องเดินเท้าเปล่าเหมือนกับพระกุมารเยซู  เพื่อการกลับใจของคนบาป"

(หมายเหตุ  ชุด alb เป็นเสื้อยาวถึงเท้า)

หนังสือพิมพ์ได้ลงรูปของกิลเลสที่สวมชุด alb นี้ไว้ด้วย (ดูในรูปข้างบน)

พี่น้องของกิลเลสได้เล่าสั้นๆเกี่ยวกับกิลเลสในขณะที่เป็นเด็กไว้ว่า “เขาพร้อมเสมอที่จะเสียสละ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเล็กน้อยหรือเรื่องใหญ่  เพื่อทำให้แม่พระหรือพระกุมารเยซูทรงพอพระทัย  บ่อยครั้งเขายอมเสียสละขนมหวานของเขา  และเขาช่วยทำงานบ้านถึงแม้เขาอยากจะมาเล่นกับพวกเรา กิลเลสเป็นตัวอย่างแก่พวกเราทั้งทางด้านฝ่ายจิตและด้านการดำเนินชีวิตประจำวัน  เขายอมรับทุกสิ่งและมอบถวายความทุกข์ของเขาแด่พระเจ้าและแด่แม่พระ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูหนาว เมื่อมือและเท้าของเขาเจ็บปวดจากความหนาว แต่เขาก็ไม่เคยบ่นเลย”

วันที่ 5 พ.ย. 1954 ในระหว่างพิธีมิสซาถวายเกียรติแด่ดวงพระหฤทัยศักดิ์สิทธิ์ของพระเยซูเจ้า  กิลเลสเห็นแม่พระทรงหมอบกราบในระหว่างที่พระสงฆ์ชูศีล  ภาพนี้เหมือนกับที่ Father John Lamy ได้เห็นเช่นกัน  ในการประจักษ์ของวันที่ 13 ม.ค. , ก.พ. และ มี.ค. 1955 กิลเลสได้เห็นเป็นครั้งแรก มีแสงสีทองเจิดจ้าส่องเป็นรังสีออกมาจากพระหัตถ์ของแม่พระที่ประสานกันอยู่”  วันที่ 20 มีนาคม 1957 กิลเลสมีความเศร้าเพราะแม่พระบอกกับเขาว่า
“กิลเลส  ในไม่ช้า แม่จะไม่มาหาลูกอีกต่อไปแล้ว”

บทความนี้ได้เล่ารายละเอียดของการประจักษ์ไว้เพียงสั้นๆ  แม่พระทรงประจักษ์แก่กิลเลสบ่อยมาก  มีบางครั้งพระนางทรงอุ้มพระกุมารเยซูไว้ในอ้อมแขน  และกิลเลสเรียกพระกุมารว่า “เยซูน้อย”  เขายังได้เห็นนักบุญโยเซฟ ,นักบุญเทเรซาแห่งลิซิเออร์ และนักบุญแบร์นาแด๊ตด้วย  นักบุญมาพร้อมกับแม่พระ เมื่อกิลเลสเห็นเทวดา เขาบรรยายว่าเทวดาสวมอาภรณ์สีขาว  น้ำเงิน หรือ สีชมพู



วันที่ 15 ส.ค. 1958 แม่พระทรงประจักษ์แก่กิลเลสเป็นครั้งสุดท้าย  อีกปีครึ่งต่อมา  กิลเลสก็จากโลกนี้ไปสู่ชีวิตนิรันดรในสวรรค์ในวันที่ 26 ก.พ. 1960  มีอายุ 15 ปี  เขาเสียชีวิตภายใน 48 ชั่วโมงหลังจากเป็นโรค  แพทย์บางคนบอกว่าเขาเสียชีวิตจากไตวายและบางคนบอกว่าเสียชีวิตจากอาการหอบหืดเฉียบพลัน จึงไม่ทราบสาเหตุการเสียชีวิตที่แน่ชัด  มีเหตุการณ์ที่น่าสนใจอย่างหนึ่งเกิดขึ้นก่อนเวลาที่กิลเลสเสียชีวิตเล็กน้อย มีฝูงนกหลายชนิดมารวมตัวกันบริเวณหน้าต่างของห้องและส่งเสียงร้องประสานเป็นทำนอง ทำให้คนที่อยู่ที่นั่นพากันประหลาดใจ

************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น