โดย - Robert Kurland| Oct 01, 2017
นักวิทยาศาสตร์จะเชื่อเรื่องอัศจรรย์ได้หรือ? แต่นักฟิสิกส์ผู้นี้เชื่อ
Ralph M. McInerny
เป็นนักฟิสิกส์และผู้เขียนหนังสือ Miracles—a Catholic View
เขากล่าวว่า “อัศจรรย์เป็นสิ่งที่เชื่อมโยงกับความเชื่อเสมอ เพราะเหตุนี้ความเชื่อในอัศจรรย์จึงไม่ใช่เรื่องที่ไร้เหตุผลไปเสียทีเดียว
มีเหตุผลที่จะเชื่อว่าอัศจรรย์สามารถเกิดขึ้นได้และได้เกิดขึ้น และเป็นเรื่องไร้เหตุผลที่คิดว่าอัศจรรย์ไม่สามารถเกิดขึ้นและไม่เคยเกิดขึ้น"
ในฐานะที่ผมเป็นคาทอลิก
ผมยอมรับว่าพระเจ้าทรงฤทธานุภาพ พระองค์สามารถเบี่ยงเบนหรือเปลี่ยนแปลงกฏทางฟิสิกส์ได้ตามพระประสงค์
แต่ผมก็เชื่อว่าพระองค์ทรงประสงค์ให้จักรวาลอยู่ในระเบียบแบบแผนมากกว่า พระองค์จึงทรงเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้นตามความจำเป็น
ด้วยความอยากรู้อยากเห็นและความเชื่อมั่นในความรู้ของผม
ผมต้องการเข้าใจวิธีที่พระเจ้าทรงกระทำถึงแม้ว่าจะมีประกาศกท่านหนึ่งได้บอกว่ามันจะไร้ผลก็ตาม
“ข้าพเจ้าเพ่งพิจารณาผลงานทั้งหลายของพระเจ้า ซึ่งไม่มีมนุษย์คนใดเคยทำภายใต้ดวงอาทิตย์
แต่ถึงแม้เขาจะใช้ความพยายามสักเท่าไรก็ไม่พบคำตอบ
ดังนั้นข้าพเจ้าจึงละความพยายามเสีย แม้แต่ผู้เฉลียวฉลาดที่สุดพยายามใช้ความคิดไตร่ตรองดูแล้ว
ก็ยังไม่สามารถค้นพบได้” ปัญญาจารย์ 8 : 14(KJV)
อย่างไรก็ตาม ผมก็จะใช้ความพยายามต่อไป
ก่อนที่จะพิจารณาเหตุการณ์ตัวอย่างสองเหตุการณ์ซึ่งอาจวิเคราะห์ได้ยากสักหน่อย
นั่นคือ อัศจรรย์ดวงอาทิตย์ที่ฟาติมา และอัศจรรย์ศีลมหาสนิท – ให้เรามาคิดพิจารณาเกี่ยวกับชนิดของเหตุการณ์ซึ่งปกติจะเกิดขึ้นในอัศจรรย์
ประการแรก
อัศจรรย์จะไม่เกิดซ้ำ มันไม่ใช่การทดลองทางวิทยาศาสตร์หรือการสังเกตการณ์
แต่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว ดังนั้นเราจึงต้องพึ่งพาผู้ที่เห็นเป็นพยานและรายงานจากการสังเกตุการณ์ในอัศจรรย์หลายๆอย่าง
อัศจรรย์บางอย่างเช่น การหายจากโรคทางการแพทย์ อัศจรรย์ศีลมหาสนิท
ร่างกายไม่เน่าเปื่อย พระธาตุ (อาทิเช่น ผ้าห่อพระศพแห่งตูริน) –
สามารถเป็นหลักฐานที่ใช้ในการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์ได้
เพื่อช่วยในการทำความเข้าใจ
ประการที่สอง
พระศาสนจักรมีมาตรฐานที่เข้มงวดมากในการที่จะรับรองความน่าเชื่อถือและความเป็นจริงของเหตุการณ์ที่อ้างว่าเป็นอัศจรรย์ เพื่อที่ไม่ให้กลับกลายเป็นว่าเหตุการณ์อัศจรรย์ที่รับรองไปแล้วนั้น
แท้จริงเป็นเรื่องตามธรรมชาติหาใช่อัศจรรย์ไม่
หรือมิฉะนั้นอาจเลวร้ายกว่านั้นอีก
นั่นคือกลายเป็นเรื่องปลอมที่มีคนประดิษฐ์ขึ้นมาเอง และที่สุดพระศาสนจักรก็จะต้องเสียความน่าเชื่อถือไป เหตุการณ์อัศจรรย์ที่เกิดขึ้น ทางพระศาสนจักรจะตรวจสอบโดยให้ผู้ไม่มีความเชื่อในพระเจ้ามาพิจารณาร่วมด้วยเพื่อช่วยพิจารณาดูว่ามีสิ่งใดที่เป็นหลักฐานขัดแย้งกับความเชื่อทางเทววิทยาและผิดต่อจริยธรรมทางคำสอนของพระศาสนจักรหรือไม่ ดังนั้นเราจึงควรตระหนักว่าหลักฐานของอัศจรรย์ที่พระศาสนจักรรับรองแล้วนั้นมั่นคงแข็งแรงมากจริงๆ
อัศจรรย์ดวงอาทิตย์ที่ฟาติมา
เด็กชาวโปรตุเกสสามคนที่แม่พระแห่งสายประคำเสด็จมาเยี่ยมนั้น
ได้บอกว่าแม่พระจะทรงประทานหมายสำคัญเพื่อเป็นเครื่องพิสูจน์ว่าพระนางเสด็จมาจริง
และแม่พระก็ทรงกระทำตาม ในวันที่ 13 ต.ค. 1917 เกิดปรากฏการณ์ประหลาด
ดวงอาทิตย์แสดงลักษณะที่ไม่ปกติ มีการเต้นขึ้นลง ส่องแสงเป็นสีต่างๆ และมืดสลัว
ปรากฏการณ์นี้เกิดขึ้นต่อหน้าประชาชนประมาณ 70,000
คนมีทั้งผู้ที่มีความเชื่อและไม่มีความเชื่อ และเกิดขึ้นในอาณาบริเวณที่จำเพาะซึ่งจากรายงานมีผู้สังเกตุเห็นได้ในระยะรัศมี
11 – 25 ไมล์ รวมทั้งพระสันตะปาปาปีโอที่
12 ที่ทรงเห็นปรากฏการณ์ดวงอาทิตย์นี้ด้วยขณะที่พระองค์กำลังเดินอยู่ในสวนที่วาติกัน
จากรายงานของผู้ที่เห็นอัศจรรย์ดวงอาทิตย์
พบว่าแทบทุกคนเห็นเหมือนกัน แต่มีบางคนที่เห็นแตกต่างจากคนอื่นบ้าง ผู้ที่ไม่มีความเชื่อบางคนเห็นสิ่งที่แปลกประหลาด
และผู้มีความเชื่อบางคนไม่เห็น
จะอธิบายเรื่องนี้ได้อย่างไร?
กลไกทางวิทยาศาสตร์ให้ความเห็นในเรื่องนี้
ตัวอย่างเช่น Fr. Stanley Jakiให้ความเห็นว่า อุณหภูมิอาจทำให้เกิดการหักเหของแสงและผลึกน้ำแข็งบนก้อนเมฆส่งผลต่อการมองเห็น
บางคนบอกว่านี่เป็นการเห็นภาพหลอนหมู่
แต่ถ้าเราพิจารณาเรื่อง “ภาพหลอน” เราสามารถอธิบายในลักษณะอื่นได้
พระจิตเจ้าสามารถที่จะมาสู่เราและประทานนิมิตให้แก่เราได้ นิมิตนั้นเป็นสิ่งที่เป็นจริงสำหรับเรา แม้ว่าจะไม่สามารถใช้กล้องถ่ายรูปบันทึกไว้ได้ก็ตาม นี่เป็นคำอธิบายที่ผมคิดได้ และมันไม่ได้เป็นสิ่งที่รบกวนกฎของธรรมชาติ
แต่เป็น "สิ่งเหนือธรรมชาติ”
เพราะจิตวิญญาณของเราก็เป็นสิ่งเหนือธรรมชาติเช่นเดียวกัน
อัศจรรย์ศีลมหาสนิท
ย้อนกลับไปศตวรรษที่ 8
มีรายงานว่าแผ่นศีลมหาสนิทที่เสกแล้วได้เปลี่ยนไปกลายเป็นเนื้อเยื่อของมนุษย์
บางครั้งมีโลหิตไหลออกมาจากแผ่นศีลด้วย
และเมื่อนำแผ่นศีลนั้นไปทำการวิเคราะห์ทางวิทยาศาสตร์โดยผู้เชี่ยวชาญในห้องทดลอง
พวกเขาพบว่าเป็นเนื้อเยื่อหัวใจของมนุษย์ที่ได้รับการทรมาน
อย่างรุนแรงและยังพบว่าเลือดอยู่ในกรุ๊ป AB+
ที่เราเรียกว่า เป็น ”กรุ๊ปเลือดที่รับได้จากทุกกรุ๊ป” สอดคล้องกับที่มีกล่าวไว้ในพระคัมภีร์ว่า “สำหรับผู้ที่ยอมรับพระองค์”
โดยอาศัยพระโลหิตของพระองค์ที่หลั่งบนกางเขน (คร. 1:20)
มีคำถามที่ผมตั้งขึ้นในฐานะที่เป็นนักวิทยาศาสตร์
1) มวลสารของแผ่นศีลส่วนที่เปลี่ยนแปลงไปนั้น
น้อยกว่า หรือเท่าเดิม หรือมากกว่าในตอนเริ่มแรก?
เมื่อผมดูในรูปภาพของแผ่นศีลที่เปลี่ยนแปลงไปที่อยู่ในรัศมี ดูเหมือนมวลจะน้อยกว่าเดิม ดังนั้นกฎทรงมวลของสสารจึงไม่ได้ถูกรบกวน (วิชาเคมี - มวลของสารก่อนทำปฏิกิริยาจะเท่ากับมวลของสารหลังทำปฏิกิริยา)
2) พบ DNA
ของมนุษย์ในหลายส่วนของแผ่นศีลที่เปลี่ยนเป็นเนื้อเยื่อมนุษย์ แล้ว DNA
เหล่านั้นเหมือนกันหมดหรือไม่?
บางคนอาจตั้งคำถามเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงด้านเทอร์โมไดนามิก (พลวัติของพลังงาน)ที่อาจเกิดขึ้นถ้าสสารในแผ่นศีลเปลี่ยนแปลงเป็นเนื้อเยื่อ และพลังงานที่จำเป็นในการทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงนั้นจะมาจากไหน
แน่นอนว่าไม่มีความจำเป็นที่ต้องเกิดอัศจรรย์นี้ก็ได้
เพราะเรามีความเชื่ออยู่แล้วถึงการปรากฏอยู่ของพระคริสตเจ้าอย่างแท้จริงในศีลมหาสนิท
นั่นคือ แผ่นศีลได้กลายเป็นพระกาย พระโลหิตของพระคริสตเยซู เราเห็นเพียงรูปปรากฏภายนอก แต่พระองค์ปรากฏอยู่จริงในแผ่นศีลนั้น
ดังที่กล่าวไว้ในเพลง Tantum Ergo
“Præstet fides supplementum
Sensuum defectui.”
“ให้ความเชื่อความศรัทธาทำให้ประสาทสัมผัสหมดประสิทธิภาพไป”Sensuum defectui.”
อัศจรรย์ศีลมหาสนิทเป็นหมายสำคัญที่ช่วยทำให้ความเชื่อของผู้มีความเชื่อรุกร้อนแรงขึ้น อัศจรรย์นี้เป็นสิ่งไม่จำเป็น
แต่เป็นสิ่งช่วยกระตุ้นเท่านั้นหรือ? เพราะ "ความเชื่อคือความมั่นใจในสิ่งที่เราหวังไว้ เป็นข้อพิสูจน์ถึงสิ่งที่มองไม่เห็น” (ฮบ. 11;1)
นักวิทยาศาสตร์ไม่ค่อยพูดถึงเรื่องอัศจรรย์มากนัก
เพราะมันเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติ ที่อยู่นอกเหนือความเข้าใจของเรา อยู่เหนือกฎเกณฑ์ทางธรรมชาติของโลก
และถึงแม้ผมจะเรียนทางด้านฟิสิกส์ แต่ผมก็เชื่อว่ายังมีสิ่งต่างๆในโลกมากมายที่ไม่สามารถอธิบายได้ด้วยวิทยาศาสตร์
ดังนั้นผมจึงใช้บทสุภาษิตที่ 131 เยียวยารักษาความเชื่อของผม
พระเจ้าข้า ข้าพเจ้าละทิ้งจิตใจที่เย่อหยิ่ง
สายตาข้าพเจ้าไม่ดูหมิ่น ไม่คิดกังวลในเรื่องใด
ข้าพเจ้าเลิกคุยโอ้อวด เลิกคิดว่าตนเองยิ่งใหญ่
และเลิกคิดถึงเรื่องที่เกินสติปัญญาของข้าพเจ้า
—Psalm 131:1 (KJV)
*******************
อัศจรรย์ดวงอาทิตย์ที่ฟาติมา จากคำพูดของผู้ที่เห็นเหตุการณ์ในวันนั้น
นายอเวลิโน (Avelino de Almeida) หัวหน้าบรรณาธิการของหนังสือพิมพ์
O Seculo ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์ที่แอนตี้พระสงฆ์และเป็นหนังสือพิมพ์ของกลุ่มเมซอนนิคแห่งลิสบอน เขาได้เขียนรายงานไว้ดังนี้
ท้องถนนเต็มไปด้วยผู้คนมากมายมารวมตัวกันด้วยความกล้าหาญเดินฝ่าพื้นดินที่เป็นโคลนตม
เราได้เห็นฝูงชนมหาศาลมุ่งหน้าไปทางที่พระอาทิตย์ขึ้น
ท้องฟ้ากระจ่างแจ้งไร้เมฆเหมือนสีจานเงิน มันสามารถมองดูได้โดยไม่ทำให้เคืองตา
ไม่ทำให้ตาบอด มันเหมือนกับมีสุริยุปราคา และแล้วก็มีเสียงร้องตะโกนดังขึ้น
ฝูงชนที่อยู่ใกล้กับเราร้องดังขึ้นมาว่า “อัศจรรย์ อัศจรรย์...ประหลาด ประหลาดมาก”
ต่อหน้าสายตาของประชาชนซึ่งทำให้เราคิดถึงเหตุการณ์ในพระคัมภีร์
พวกเขาเพ่งมองดูท้องฟ้า
ดวงอาทิตย์สั่นสะเทือน เคลื่อนไหวอย่างผิดปกติ ผิดกฏธรรมชาติ...”ดวงอาทิตย์เต้น”
อเวลิโน ได้รายงานข่าวในอีก 15 วันต่อมาในบทความของเขา Ilustração Portuguesa ครั้งนี้มีรูปภาพประกอบจำนวนมากของฝูงชนที่กำลังเพ่งมอง
เขาใช้ชื่อบทความว่า “ฉันเห็น...ฉันเห็น...ฉันเห็น” และได้สรุปว่า “อัศจรรย์เกิดขึ้น
ขณะที่ประชาชนร้องตะโกนหรือ? เป็นปรากฏการณ์ทางธรรมชาติตามที่ผู้เชี่ยวชาญบอกหรือ?
ในเวลานั้น ผมได้แต่พูดว่า
สิ่งที่ผมเห็นนั้น...อยู่นอกเหนือวิทยาศาสตร์และพระศาสนจักร”
วันเสาร์ที่ 13 ตุลาคม 1917 ผู้แสวงบุญเริ่มต้นเดิน
(เป็นการใช้โทษบาป) เพราะมีฝนตกตลอดทั้งคืน และ “ในทันทีทันใดอากาศก็เปลี่ยนไป
ถนนที่เป็นดินก็กลายเป็นโคลนด้วยฝนที่ตกลงมา เป็นอุปสรรคในการเดินทางตลอดวัน แม้กระนั้นประชาชนก็ไม่ท้อถอยหรือสิ้นหวัง”
มีพยานที่เห็นเหตุการณ์จำนวนมาก
และเราไม่สามารถสัมภาษณ์ทุกคนเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาได้เห็น นี่เป็นความจริงที่น่าประหลาดใจที่ได้รวบรวมโดย
ดร. อัลเมดา การ์เร็ต Dr. Almeida Garrett
มันเป็นเวลา 13.30 น.
เมื่อเด็กทั้งสามมาถึง
มีควันเบาบางละเอียดลอยขึ้นเหนือศีรษะพวกเขาและหายไป
ปรากฏการณ์นี้เห็นได้ด้วยตาเปล่าในเวลาไม่กี่วินาที
และไม่นานมันก็เกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง และครั้งที่สาม..
ขณะนั้น “ท้องฟ้าเริ่มมืดลง
ความชื้นที่เกิดจากฝนที่ตกลงมาเป็นเวลานานค่อยลดลง” ในระหว่างที่มีการประจักษ์
ฝนได้หยุดลงอย่างสิ้นเชิง และท้องฟ้าก็กระจ่างแจ้ง “ดวงอาทิตย์ส่องแสงลอดกลุ่มเมฆที่เคยปิดบังไว้ แสงส่องสว่างเจิดจ้า” (Dr. Almeida
Garrett) การเปลี่ยนแปลงของสภาวะอากาศเป็นที่ประหลาดใจของประชาชนทั่วไป
“มันเป็นวันที่ฝนตกอย่างหนักและต่อเนื่อง
แต่ไม่กี่นาทีก่อนที่จะเกิดอัศจรรย์ ฝนก็หยุดตก” (Alfredo da Silva
Santos)
นี่เป็นคำพยานของนายแพทย์
บุคคลที่รู้วิทยาศาสตร์เป็นอย่างดี
เขาได้บรรยายปรากฏการณ์ของดวงอาทิตย์ที่ไม่อาจอธิบายถึงสาเหตุได้ซึ่งเกิดต่อสายตาประชาชนโดยไม่ทำให้สายตาเสีย
“ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้นจากประชาชนนับพัน
ผมได้เห็นปรากฏการณ์ที่ใหญ่ไพศาลจากบริเวณที่ผมยืนอยู่...ประชาชนพากันมองไปที่ดวงอาทิตย์..ผมมองดูไปรอบๆและก็มองไปตรงจุดที่ประชาชนกำลังมองอยู่ ผมมองเห็นดวงอาทิตย์เหมือนจานที่มีขอบคม
มันสว่างแต่ไม่ทำร้ายสายตา...มันไม่เหมือนกับการเห็นดวงอาทิตย์ผ่านสายหมอก
(ไม่มีหมอกลงในเวลานั้น) และมันไม่ได้ถูกบังหรือมืดสลัวลง
ที่ฟาติมายังคงสว่างและอบอุ่น
สิ่งที่น่าประหลาดใจก็คือเราสามารถมองดูดวงอาทิตย์ได้เป็นเวลานาน ดวงอาทิตย์ที่สว่างเจิดจ้าและอบอุ่น
โดยไม่ทำร้ายสายตา หรือทำร้ายเรตินา” (Dr. Almeida Garrett)
หนังสือพิมพ์ O Seculo บทความวันที่
15 ต.ค. 1917 เขียนว่า “แล้วนั้นเราได้เห็นเป็นพยานเหตุการณ์ที่น่าประหลาดใจ
เหลือเชื่อ และแทบไม่น่าเชื่อถ้าคุณไม่ได้เห็นด้วยตาของคุณเอง บนถนนนั้น...เราเห็นฝูงชนจำนวนมหาศาลมองไปที่ดวงอาทิตย์ที่ขึ้นอยู่เบื้องบนท้องฟ้า
ไร้เมฆ มันดูเหมือนจานที่ทำด้วยเงิน
และสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่าโดยไม่ทำให้ระคายเคืองตาเลย มันไม่เผาดวงตา ไม่ทำให้ตาบอด
เหมือนเกิดสุริยุปราคา”
“ประชาชนสามารถมองดูดวงอาทิตย์เหมือนกับมองดูดวงจันทร์”
(Maria
do Carmo)
“ดวงอาทิตย์สั่นสะเทือน
มันเหมือนกงล้อแห่งไฟ” (Maria da Capelinha)
“ดวงอาทิตย์เปลี่ยนไปเหมือนกงล้อแห่งไฟ
เปล่งแสงสีรุ้งออกมา” (Maria do Carmo)
“ดวงอาทิตย์เหมือนลูกกลมหิมะที่หมุนรอบตัวเอง”
(Father
Lourenco)
“จานสีไข่มุกเคลื่อนที่เหวี่ยงไปมา
นี่ไม่เหมือนกับดวงดาวที่กระพริบ
มันหมุนรอบตัวเองด้วยความเร็วสูงยิ่ง” (Dr. Almeida Garrett)
“ในช่วงเวลาหนึ่ง ดวงอาทิตย์หยุดหมุนและเริ่มเต้น หมุน และก็หยุด และก็เต้น” (Ti Marto)
“ดวงอาทิตย์สาดแสงเป็นสีรุ้ง
และทุกสิ่งบนพื้นโลกก็มีสีตามสีที่สาดนั้นด้วย บนใบหน้า บนเสื้อผ้า และบนพื้นดิน” (Maria do
Carmo)
“แสงซึ่งมีสีเปลี่ยนไปในแต่ละช่วงเวลา
ได้สะท้อนไปบนประชาชนและสิ่งต่างๆ” (Dr. Pereira Gens)
สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาซึ่งเป็นอัศจรรย์นั้นน่าหวาดกลัวเป็นอย่างยิ่ง
เป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดขึ้นในยุคสมัยของเราเลย
มันสามารถทำลายมนุษย์และโลกได้อย่างหมดสิ้นด้วยไฟจากท้องฟ้า
ดวงอาทิตย์ดูเหมือนจะหลุดจากท้องฟ้าและตกลงมาบนโลกของเรา
“ทันใดนั้นเราได้ยินเสียงโห่ร้อง
เหมือนเสียงร้องของความปวดร้าวออกมาจากฝูงชน
ดวงอาทิตย์ที่กำลังหมุนอย่างรวดเร็วดูเหมือนจะหลุดจากตำแหน่งที่มั่นคงของมันและมีสีแดงเหมือนเลือด
มันตกลงมายังโลกและบดขยี้พวกเราด้วยมวลมหึมาของมัน ความน่ากลัวนี้เกิดขึ้นภายในไม่กี่วินาที” (Dr. Almeida
Garrett)
“ผมเห็นดวงอาทิตย์หมุนรอบตัวเองและดูเหมือนจะตกลงมา
มันเหมือนกับล้อรถจักรยาน” (John Carreira)
“ดวงอาทิตย์เริ่มเต้น และในเวลาหนึ่ง
มันหลุดออกมาจากตำแหน่งของมันและมุ่งมาที่พวกเรา เหมือนกับล้อไฟ” (Alfredo da
Silva Santos)
“ฉันเห็นมันตกลงมาราวกับจะชนโลกให้แหลก มันเหมือนกับหลุดจากท้องฟามุ่งมาที่พวกเรา
มันมาหยุดที่ตำแหน่งระยะทางสั้นเหนือศีรษะพวกเรา
เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเป็นระยะเวลาสั้นๆ...มันเหมือนใกล้ประชาชนมากและมันหมุนต่อไปในทิศตรงข้าม”
(Maria
do Carmo)
“ทันใดนั้น
ดวงอาทิตย์ปรากฏคล้ายหลุดจากท้องฟ้า มันตกลงมาในระยะประมาณเมฆและเริ่มหมุนรอบตัวเองเหมือนลูกบอลไฟ เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นประมาณ 8 นาที” (Father
Pereira da Silva)
“ทันใดนั้นมันตกลงมายังโลกอย่างซิกแซก”
(Father
Lourenço)
“ผมเห็นดวงอาทิตย์ตกลงบนพวกเรา...”
(Father John Gomes)
“ในที่สุด
ดวงอาทิตย์ก็หยุดและทุกคนก็ถอนหายใจโล่งอก...” (Maria da Capelinha)
“จากปากของประชาชนนับพัน ฉันได้ยินเสียงร้องตะโกนด้วยความยินดีและด้วยความรักต่อพระนางพรหมจารีย์ผู้ศักดิ์สิทธิ์ยิ่ง
และฉันเชื่อว่า ไม่ได้ถูกหลอกลวงด้วยภาพมายาอย่างแน่นอน ฉันได้เห็นดวงอาทิตย์อย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน”
(Mario
Godinho, an engineer)
สิ่งน่าประหลาดใจอีกอย่างหนึ่งคือ
ประชาชนซึ่งก่อนหน้านี้เปียกโชกไปทั้งตัว พากันประหลาดใจและยินดีที่พบว่าเสื้อผ้าและร่างกายได้แห้งแล้ว
“สิ่งที่คาดไม่ถึงก็คือเสื้อผ้าของเราได้แห้งหมด”
(Maria
do Carmo)
“เสื้อผ้าของผมแห้งในทันที”
(John Carreira)
ขุนนางชั้นสูง Marques
da Cruz ได้กล่าวยืนยันดังนี้ – “ฝูงชนทั้งหมดต่างตัวเปียกปอน
เพราะมีฝนตกไม่หยุดตั้งแต่เช้า
แต่หลังจากอัศจรรย์ยิ่งใหญ่เกิดขึ้น
ทุกคนรู้สึกสบายและพบว่าอาภรณ์ที่สวมใส่ได้แห้งลงอย่างสิ้นเชิง
ทำให้มีความประหลาดใจมาก...นี่เป็นความจริงที่ผู้คนจำนวนมากได้รับรอง”
**********
และสุดท้ายมีอัศจรรย์ของการที่คนจำนวนมากได้กลับใจ ในหนังสือของ จอห์น
ฮัฟเฟริท์ Meet
the Witnesses ได้เขียนไว้ว่า
หัวหน้านายทหารที่ควบคุมดูแลที่นั่นในเวลานั้นได้รับคำสั่งยับยั้งไม่ให้ประชาชนมารวมตัวกัน ได้กลับใจอย่างทันทีทันใด
แม้แต่คนที่นั่นก็แทบไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้
พวกเขาได้ให้การเป็นพยานว่า “มีคนจำนวนมากที่ไม่เชื่อได้มาอยู่ที่นั่นและใช้เวลาตลอดทั้งเช้าเยาะเย้ยผู้คนที่เดินทางมาว่า
เป็นคน “โง่เง่า” ที่ไปดูเด็กธรรมดาในฟาติมา
เวลานั้นพวกเขาตกตะลึงขณะที่มองดูดวงอาทิตย์ เขาเริ่มตัวสั่นตั้งหัวจรดเท้า
และยกแขนขึ้นทรุดลงคุกเข่าอยู่ในโคลน ร้องเรียกหาพระเจ้า “.” (Father
Lourenço)
“ผมอาศัยอยู่ห่างจากฟาติมา 18
ไมล์ และในเดือนพฤษภาคม 1917
เราได้รับการบอกเล่าเกี่ยวกับเหตุการณ์พิเศษของการประจักษ์ แต่ข่าวที่เราได้รับสับสนปนเปกับเรื่องนิยายของผู้คนต่างๆ
ปกติแล้วเราย่อมไม่เชื่อ
ผมเองคิดว่านี่เป็นแค่จินตนาการของคนบางคนเท่านั้น...ตามคำขอร้องของแม่ของผม ผมได้ไปที่โควา ดา อีเรีย
มากกว่าหนึ่งครั้งในเดือนสิงหาคมในตอนที่มีการประจักษ์ ผมกลับบ้านด้วยความผิดหวังและท้อใจมากกว่าหนึ่งครั้ง แต่ในเวลานั้นเหตุการณ์ที่พิเศษก็เกิดขึ้น
แม่ของผมที่มีเนื้องอกก้อนใหญ่ที่ตาข้างหนึ่งเป็นเวลานานหลายปีแล้ว บัดนี้ได้หายขาด หมอที่ดูแลแม่ของผมบอกว่า
เขาไม่สามารถอธิบายได้ว่าทำไมถึงหาย
แต่ผมก็ยังไม่เชื่อเรื่องการประจักษ์อยู่ดี
ดังนั้นในเวลาที่ผมนั่งอยู่บนรถของผม ผมสังเกตเห็นทุกคนมองไปบนท้องฟ้า ด้วยความอยากรู้อยากเห็น ผมลงจากรถและมองขึ้นไป่บนท้องฟ้าด้วย....ผมได้ยินเสียงจากผู้คนนับพันแสดงความเชื่อและความรักในพระแม่มารีย์ และผมก็เชื่อ” (Mario Godinho, an engineer)
มีเอกสารที่รายงานถึงการหายจากโรคอย่างอัศจรรย์และการกลับใจจำนวนมากซึ่งสามารถค้นหาได้ในหนังสือ
Documentação
Crítica de Fátima and Fatima from the Beginning
*************
มีผู้อุ้มยาชินทาไปยังสถานที่ประจักษ์ในวันที่ 13 ต.ค. 1917 เพราะมีคนจำนวนมาก
มีผู้อุ้มยาชินทาไปยังสถานที่ประจักษ์ในวันที่ 13 ต.ค. 1917 เพราะมีคนจำนวนมาก
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น