วันอาทิตย์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2561

ดวงพระทัยนิรมล พิชิต ความหยิ่งผยอง


BY MARK SHEA

ครั้งหนึ่งพระสันตะปาปายอห์นปอลที่ 2 ทรงตั้งข้อสังเกตุว่า "บาปกำเนิดได้ลบล้างสัมพันธภาพของมนุษย์กับพระเป็นเจ้าในลักษณะของบุตรกับบิดา....ทำให้ความสัมพันธ์ของมนุษย์กับพระเป็นเจ้ากลายเป็น นายกับทาส "

บรรดานักปรัชญาของศตวรรษที่ 19 ต่างประกาศเผยแพร่ความคิดที่หยิ่งผยองของตน. นับตั้งแต่

คาร์ล มาร์กซ --- (หลักการของคอมมิวนิสต์)
ฟริดดริก นิทเซ่    --- (พระเจ้าตายแล้ว)
ซิกมัน ฟรอยด์ --- (ทฤษฏีจิตวิทยาแรงกระตุ้นของมนุษย์)
ชาร์ล ดาร์วิน.--- (ทฤษฏีวิวัฒนาการ)

คนเหล่านี้ต่างนำเสนอความคิดที่ปฏิเสธพระเป็นเจ้าในฐานะพระบิดา และมองพระองค์ในฐานะที่เป็นเจ้านายที่คอยบังคับบัญชา    พวกเขาเสนอแนะให้มนุษย์ต้องเลือกว่าจะยอมเป็นทาสของพระเจ้าหรือจะเป็นกบฏต่อพระองค์.

ผลที่ตามมาของหลักความคิดเหล่านี้ ทำให้มนุษย์ถูกมองเป็นเสมือนวัตถุชิ้นหนึ่งและทำให้เกิดความคิดที่ตามมา นั่นคือ

1.        มนุษย์ไม่ใช่ภาพลักษณ์ของพระเจ้า เพราะพระเจ้าไม่มีอยู่จริง

2.        มนุษย์เกิดมาจากความสับสนอลหม่าน(chaos) และความประจวบเหมาะและเมื่อถึงวาระสุดท้ายก็จะกลับไปเป็นสภาพเดิม

3.        มนุษย์เป็นผลผลิตของกระบวนการที่ไร้เจตจำนง

4.        ถูกกำหนดด้วยพลังอำนาจหาใช่ความรัก

5.        มนุษย์ต้องเลือกอย่างใดอย่างหนึ่งในสองอย่างคือ เป็นผู้บังคับบัญชาหรือผู้ถูกบังคับบัญชา

6.        การกระทำของมนุษย์เป็นผลลัพท์ของแรงกระตุ้นจากส่วนลึกของจิตใจที่ถูกหลอกลวงด้วยมายาภาพและความปรารถนาที่ไร้เหตุผล

7.        จำเป็นต้องทำการลบล้างประวัติศาสตร์กำเนิดของมนุษย์และก่อสร้างตัวตนขึ้นมาใหม่.

8.        ความรัก, ความสงสารและจิตใจของการเป็นทาสเป็นการยอมสยบจำนนให้กับพระเจ้าทำให้มนุษย์ไม่สามารถยืนหยัดได้ด้วยตนเอง

9.        มนุษย์สามารถพัฒนาตนเองขึ้นได้ด้วยการแข่งขัน,การเป็นอริกันและการดิ้นรนขนขวาย เพื่อทำลายความอ่อนแอ

10.   มนุษย์ควรแสวงหาความสุขในโลกนี้เพราะโลกเป็นทุกอย่างที่มนุษย์มี

11.   ต้องเอาชนะและทำลายทุกสิ่งที่เป็นอุปสรรคต่อการได้มาซึ่งความสุขและอำนาจ....และ

12.   มนุษย์ควรทะนงในตนเองที่มีฐานะสูงส่งกว่าสิ่งมีชีวิตอื่น และตนมีภาพลักษณ์เป็นดั่งพระเจ้า

บทสรุป ของความคิดเหล่านี้เป็นดังนี้ เพราะทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ในธรรมชาติ และมนุษย์มีฐานะที่ขึ้นมาอยู่เหนือธรรมชาติโดยกระบวนการเลือกสรรตามธรรมชาติ จึงสามารถพูดได้ว่า มนุษย์เป็นศักดิ์ศรีเป็นหน้าตาของธรรมชาติ และความสำเร็จยิ่งใหญ่ที่สุดที่มนุษย์พึงกระทำด้วยวิธีการทุกอย่างที่จำเป็น คือการเข้าแทนที่พระเป็นเจ้า เพราะมนุษย์รู้ถึงความแตกต่างระหว่าง ความดีและความชั่ว. นอกจากนี้ความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี่ ทำให้มีการประดิษฐ์อุปกรณ์อำนวยความสะดวกหลายอย่าง การแพทย์ที่พบวิธีรักษาโรค ฯลฯ ทำให้มนุษย์เชื่อมั่นในความสามารถของตัวเองมากเกินไป และหันหลังให้กับพระเจ้า

ฟังดูแล้วก็คล้ายกับการประจญล่อลวงของปีศาจต่อเอวาใช่ไหม?  และในกลางศตวรรษที่ 19 นี้เอง พระจิตเจ้าได้ส่องสว่างและดลใจพระศาสนจักรให้ประกาศข้อความเชื่อที่ยิ่งใหญ่ประการหนึ่ง คือ แม่พระทรงเป็นผู้ปฏิสนธินิรมล (ทรงบริสุทธิ์ไร้มลทินใดๆตั้งแต่เกิด กำเนิดโดยไร้บาปกำเนิด)  แม่พระในฐานะเป็นเอวาที่สอง ทรงได้รับการยกฐานะเป็นผู้ที่ได้รับการไถ่กู้อย่างพิเศษแต่เพียงผู้เดียวในจักรวาล

***************

ปรัชญาที่หยิ่งผยองได้ลวงเราให้เข้าใจว่า มนุษย์กำเนิดมาจากความสับสนอลหม่าน (choas) และหาได้มีจุดหมายใดๆในชีวิต  นอกจากการดิ้นรนเพื่อแสวงหาความสุขและอำนาจเท่านั้น จุดสุดท้ายของมนุษย์คือความตาย หลังจากตายแล้วก็ไม่เหลืออะไรอีกต่อไป

ส่วนการปฏิสนธินิรมลให้ความหมายแก่เราคือพระวจนาตผู้ทรงเป็นผู้สร้างมนุษยชาติ ได้ทรงรับเนื้อหนังเสด็จมาบังเกิดเป็นมนุษย์โดยทางพระมารดามารีย์   พระองค์ได้ทำให้เกิดและทรงเป็นผู้เริ่มต้นประวัติศาสตร์แห่งความรัก และจุดสุดท้ายของมนุษย์คือเกียรติศักดิ์อันรุ่งโรจน์.

โดยการสร้างสรรพระมารดามารีย์และการยกฐานะของพระนางขึ้น. โดยประทานพระหรรษทานอันยิ่งใหญ่แก่พระนางผ่านทางพระคริสตเจ้า. พระนางได้ทรงเปิดโปงความโป้ปดมดเท็จของปรัชญาที่เย่อหยิ่งเหล่านั้น และทรงเตือนเราว่าความรอดของมนุษย์นั้นไม่ใช่กระทำตามคำพูดของมารซาตานที่บอกว่า "เป็นใหญ่ในนรกยังดีกว่าเป็นผู้รับใช้ในสวรรค์" แต่เป็นการกระทำตามคำพูดของพระมารดาพรหมจารีย์มารีย์ "ขอให้เป็นไปแก่ข้าพเจ้าตามวาทะของท่านเถิด" เพราะพระมารดามารีย์ทรงเป็นสัญลักษณ์ของพระศาสนจักรและอยู่ในฐานะสูงสุดของบรรดาสิ่งสร้างของพระเป็นเจ้า    อาศัยแบบอย่างของพระนาง,พระนางได้ทรงกำจัดความผิดพลาดของหลักปรัชญาที่หยิ่งผยองเหล่านั้น. นั่นคือ

1.        มนุษย์เป็นภาพลักษณ์ของพระเป็นเจ้า

2.        มนุษย์มาจากพระเป็นเจ้าและถูกสร้างมาเพื่อให้เป็นหนึ่งเดียวกับพระองค์

3.        พระสรรพานุภาพขององค์พระคริสตเจ้าในการช่วยให้พ้นจากบาปนั้นได้แสดงให้ประจักษ์ชัดในพระนางมารีย์    ดังนั้นเราจึงได้รับการช่วยให้รอดด้วยพระสรรพานุภาพเช่นเดียวกัน ถึงแม้นว่าบาปของเราจะร้ายแรงเพียงใดก็ตาม.

4.        มนุษย์เป็นผลผลิตของความรักอันศักดิ์สิทธิ์ของพระเป็นเจ้า

5.        บาปไม่ใช่เป็นหลักพื้นฐานหรือจุดสุดท้ายของมนุษย์ พระคริสตเจ้าต่างหากที่เป็น

6.        มนุษย์ถูกกำหนดด้วยความรัก ไม่ใช่ความเกลียดชัง

7.        มนุษย์ถูกเรียกให้รักพระเป็นเจ้าและเพื่อนมนุษย์

8.        มนุษย์เป็นภาพสะท้อนของเหตุผล, ระเบียบแบบแผนและความรักของพระเป็นเจ้า

9.        มนุษย์จะได้รับชีวิตด้วยการละทิ้งตนเอง และรับความรักของพระเป็นเจ้า

10.   มนุษย์จะเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ยิ่งขึ้นด้วยความรัก, ความเมตตาและความสุภาพถ่อมตน

11.   มนุษย์จะเจริญเติบโตในความรักได้ด้วยการใส่ใจต่อ "บรรดาผู้ต่ำต้อยเหล่านี้" เพราะพวกเขามีค่าสำหรับพระคริสตเจ้า ผู้ทรงถ่อมพระองค์ลงมาบังเกิดในถ้ำเลี้ยงสัตว์

12.   มนุษย์ควรอุทิศตนเองเพื่อความรักในโลกนี้ เพื่อจะได้รับรางวัลในสวรรค์ เพราะชีวิตในโลกนี้มิได้เป็นทุกสิ่งทุกอย่าง

13.   เป็นความสุภาพถ่อมตนที่คิดว่า "มนุษย์ถูกสร้างให้เป็นภาพลักษณ์ของพระเป็นเจ้า" เพราะนั่นคือสิ่งที่เราเป็น    ความสุภาพถ่อมตนเกิดขึ้นเมื่อเรารู้ตัวว่าเราจำเป็นต้องได้รับพระหรรษทานจากพระเป็นเจ้า

14.   เพราะพระเป็นเจ้าทรงเป็นผู้สร้างและควบคุมธรรมชาติ    มนุษย์เป็นผู้ร่วมงานของพระองค์    เราจะรู้จักตนเอง มิใช่จากการนมัสการธรรมชาติหรือตัวเอง    แต่โดยการนมัสการพระเป็นเจ้าผู้ทรงสร้างและทรงไถ่กู้เราโดยทางพระเยซูคริสตเจ้า

**************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น