วันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2561

ซาตานประจญล่อลวงพระเยซูเจ้า


ซาตานไม่เข้าใจเกี่ยวกับความอ่อนน้อมถ่อมตน

ในสวนเอเดน ซาตานล่อหลอกให้มนุษย์ชายหญิงคู่แรกกินผลไม้ต้องห้ามโดยหลอกว่า กินผลไม้นี้แล้วจะทำให้พวกเขาเป็นเหมือนพระเจ้า “พระเจ้าทราบดีว่าเมื่อเจ้ากินผลไม้นี้แล้ว ตาของเจ้าเปิดและเจ้าจะเป็นเหมือนพระเจ้า รู้ดีและรู้ชั่ว” ปฐมกาล 3:5

ในอดีตซาตานมีตำแหน่งสูงสุดในบรรดาอัครเทวดา  มันจึงหยิ่งจองหองในอำนาจที่มันมีและยกตัวเองขึ้นเหมือนพระเจ้า  มันไม่เข้าใจว่าในสภาพที่ต่ำต้อยของมนุษย์นั้น จะมีคุณธรรมใดที่อาจดำรงอยู่ได้ และคุณธรรมนั้นเราเรียกว่า ความอ่อนน้อมถ่อมตน ดังที่อิสยาห์ 14 กล่าวไว้เกี่ยวกับซาตานว่า –

“ความหยิ่งจองหองของเจ้าทำให้เจ้าร่วงลงสู่นรก ร่างเน่าเปื่อยของเจ้าตกลงไป  แมลงจะกัดกินเนื้อของเจ้า และหนอนจะปกคลุมร่างของเจ้า เจ้าตกจากสวรรค์ได้อย่างไรกัน โอ ลูซีเฟอร์ ผู้ที่ขึ้นมาดุจรุ่งอรุน? เจ้าตกลงมาสู่โลก เพื่อทำร้ายชนชาติทั้งหลายกระนั้นหรือ?  เจ้าครุ่นคิดอยู่ในใจว่า – ข้าจะขึ้นไปสู่สวรรค์ ข้าจะตั้งบัลลังก์ของข้าไว้เหนือดวงดาราของพระเจ้า  ข้าจะนั่งบนภูเขา ณ.อุดรไกลที่ปวงเทพมาชุมนุมกัน  ข้าจะขึ้นไปเหนือเมฆเพื่อเป็นเหมือนพระผู้ทรงฤทธิ์  แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้นเจ้ากลับถูกนำตัวลงไปสู่แดนนรก เจ้าไปอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของอเวจี” (11-15)

เมื่อซาตานเผชิญหน้ากับพระคริสต์ในทะเลทราย ซาตานพยายามล่อลวงพระองค์ผู้ทรงอยู่ในสภาพมนุษย์ มันล่อหลอกให้พระองค์แสดงพระฤทธานุภาพด้วยการประจญสามครั้ง

การประจญครั้งแรก ซาตานพูดกับพระเยซูเจ้าว่า “ถ้าท่านเป็นบุตรของพระเจ้าจริงแล้ว.....” ซาตานใช้วิธีเดียวกันกับในสวนเอเดนที่มนุษย์ชายหญิงคู่แรกถูกประจญให้กินผลไม้  พระเยซูเจ้าทรงอดอาหารเป็นเวลานานแล้วจึงทำให้หิวยิ่งนัก  ซาตานแนะนำให้พระองค์ระงับความหิวด้วยการแสดงฤทธานุภาพเปลี่ยนก้อนหินให้เป็นขนมปัง  ช่างแตกต่างกันมากระหว่างชายหญิงคู่แรก กับ พระเยซูเจ้า  - ในสวนเอเดนมีความอุดมสมบูรณ์มีอาหารมากมายทำให้อาดัมและเอวาไม่มีความหิวเลย  แต่พระเยซูเจ้าอยู่ในทะเลทรายที่แห้งแล้งไม่มีทั้งอาหารและน้ำ  ชายหญิงคู่แรกพ่ายแพ้เพราะความผิดของเขาเองที่ไม่นบนอบเชื่อฟังคำสั่งของพระเจ้า  แต่พระเยซูเจ้าทรงได้รับชัยชนะเพราะความเชื่อฟังในพระเจ้า  พระองค์ทรงอ้างพระวาจาจากพระคัมภีร์ว่า “มนุษย์ไม่ได้เลี้ยงชีวิตด้วยขนมปังแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น  แต่ด้วยพระวาจาทุกคำที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า”

ในความเชื่อฟังต่อพระเป็นเจ้า พระเยซูเจ้าทรงถ่อมพระองค์ต่อพระบิดาสวรรค์ในสภาพมนุษย์ของพระองค์ และด้วยเหตุนี้พระองค์ทรงยกระดับธรรมชาติมนุษย์ให้สูงขึ้น มนุษย์ไม่จำเป็นต้องเป็นทาสของวัตถุอีกต่อไป แต่มนุษย์ต้องดำรงชีวิตด้วยพระวาจาของพระเจ้า

แน่นอนว่า พระคริสต์คือพระวาจาของพระเจ้าโดยพระองค์เอง  พระองค์เป็นมานนาที่แท้จริง – เป็นปังจากสวรรค์  อย่างไรก็ตาม โดยการถือกำเนิดเป็นมนุษย์  พระเยซูเจ้าได้กลายมามีสภาวะมนุษย์โดยสมบูรณ์  มิใช่แต่เพียงมีร่างกายปกคลุมสภาวะพระเจ้าของพระองค์เท่านั้น  พระองค์มีความหิว มีความทุกข์ยาก มีการประจญ ฯลฯ เช่นเดียวกับมนุษย์ทั่วไป มีทุกอย่างเหมือนมนุษย์ยกเว้นบาป

ในการประจญครั้งที่สอง  ซาตานนำพระเยซูเจ้าขึ้นไปบนยอดพระวิหารและชักชวนให้พระองค์กระโดดลงไปเบื้องล่าง (มัททิว 4) มันยกคำพูดจากบทสดุดีที่ 91 : 11-12 ว่า

พระเจ้าทรงสั่งให้ทูตสวรรค์ของพระองค์มาคุ้มครองท่าน

ให้คอยพยุงท่านไว้

ไม่ให้เท้ากระทบหิน

            ในครั้งนี้ มารซาตานพยายามให้พระเยซูเจ้าแสดงตัวว่าเป็นพระเมสสิยาห์  ดังที่บทสดุดีที่ซาตานยกมาอ้างนี้  พระเมสสิยาห์จะได้รับการคุ้มครองจากภัยอันตรายทั้งปวง เพราะทูตสวรรค์ของพระเจ้าจะมาปกป้องพระองค์ไว้  ซาตานต้องการให้พระเยซูเจ้าแสดงฤทธานุภาพเพื่อที่มันจะรู้แน่ชัดว่าพระองค์ทรงถูกเลือกเป็นพิเศษจากพระเป็นเจ้าให้เป็นพระเมสสิยาห์ใช่หรือไม่?  ซึ่งถ้าพระองค์ทรงทำตามมัน  ภารกิจของพระองค์จะต้องล้มเหลวไป  พระองค์จะไม่ถูกตรึงกางเขนและไม่มีการกลับคืนชีพ  ถึงแม้ว่าซาตานจะไม่รู้ว่าภารกิจของพระเยซูเจ้าคืออะไรก็ตาม  แต่พระเยซูเจ้าทรงทราบถึงความเจ้าเล่ห์ของซาตานดี  พระองค์จึงตอบมันไปว่า “พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า อย่าล่อลวงพระเจ้าของเจ้าเลย”

ในการประจญครั้งสุดท้าย ซาตานนำพระเยซูเจ้าขึ้นไปบนยอดเขาสูง  มันแสดงให้พระองค์เห็นอาณาจักรทั้งหลายของโลกและสัญญาว่ามันจะมอบสิ่งเหล่านั้นแก่พระองค์ ถ้าพระองค์ยอมก้มกราบนมัสการมัน

อีกครั้งหนึ่งที่ซาตานแสดงถึงความหยิ่งผยองของมัน  มันหลอกว่ามันเป็นเจ้าของอาณาจักรทั้งปวงในโลก  มันยกตัวเองขึ้นเหนือพระเยซูเจ้าโดยสัญญาว่าจะมอบอาณาจักรทั้งหมดนี้ ถ้าพระองค์ยอมกราบนมัสการมัน มันต้องการให้พระเยซูเจ้าเป็นเจ้านายของโลกนี้โดยอยู่ใต้อำนาจของมัน

แต่พระเยซูเจ้าเสด็จมาในโลกนี้มิใช่เพื่อเป็นเจ้านายหรือเป็นกษัตริย์ของอาณาจักรใดๆในโลก  พระองค์เสด็จมาเพื่อประกาศพระอาณาจักรแห่งสวรรค์  อาณาจักรของพระเจ้า

ตามข้อคิดเห็นของปิตาจารย์ของพระศาสนจักรเกี่ยวกับเรื่องการประจญนี้  ซาตานพยายามล่อลวงพระเยซูเจ้าเพื่อที่จะรู้ให้แน่ชัดว่าพระองค์เป็นใครกันแน่  ดังนั้นมันจึงประจญพระองค์ซ้ำแล้วซ้ำอีก  โดยมีเป้าหมายเพื่อให้รู้แน่ชัดถึงธรรมชาติที่แท้จริงของพระเยซูเจ้า  มันดูถูกธรรมชาติมนุษย์ว่าต่ำต้อยไม่มีอำนาจ  มันจึงไม่เข้าใจว่าเหตุใดพระเจ้าจึงประสงค์มากลายเป็นมนุษย์  หรือไม่เข้าใจว่าพระเจ้าจะเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์ทั้งๆที่ยังมีสภาวะพระเจ้าในเวลาเดียวกันได้อย่างไรกัน

พระเยซูเจ้าทรงปฏิเสธสิ่งที่ซาตานนำมาล่อใจพระองค์อย่างสิ้นเชิง  ทรงแสดงถึงพระอำนาจแห่งความอ่อนน้อมถ่อมตนของพระองค์ให้ซาตานได้ประจักษ์และทรงขับไล่มันไป

ตามที่นักบุญออกุสตินกล่าวไว้  หนทางที่แน่นอนที่สุดในการไปสู่สวรรค์คือความอ่อนน้อมถ่อมตน พระเยซูเจ้าทรงแสดงให้พวกเราเห็นแล้วว่าความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงนั้นคือการมีความอ่อนน้อมถ่อมตนซึ่งจะเป็นหนทางทำให้เราได้พบกับพระเป็นเจ้าและได้อยู่กับพระองค์ตลอดไป

**********************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น