ซาตานไม่เข้าใจเกี่ยวกับความอ่อนน้อมถ่อมตน
ในสวนเอเดน
ซาตานล่อหลอกให้มนุษย์ชายหญิงคู่แรกกินผลไม้ต้องห้ามโดยหลอกว่า
กินผลไม้นี้แล้วจะทำให้พวกเขาเป็นเหมือนพระเจ้า “พระเจ้าทราบดีว่าเมื่อเจ้ากินผลไม้นี้แล้ว
ตาของเจ้าเปิดและเจ้าจะเป็นเหมือนพระเจ้า รู้ดีและรู้ชั่ว” ปฐมกาล 3:5
ในอดีตซาตานมีตำแหน่งสูงสุดในบรรดาอัครเทวดา
มันจึงหยิ่งจองหองในอำนาจที่มันมีและยกตัวเองขึ้นเหมือนพระเจ้า มันไม่เข้าใจว่าในสภาพที่ต่ำต้อยของมนุษย์นั้น
จะมีคุณธรรมใดที่อาจดำรงอยู่ได้ และคุณธรรมนั้นเราเรียกว่า ความอ่อนน้อมถ่อมตน
ดังที่อิสยาห์ 14 กล่าวไว้เกี่ยวกับซาตานว่า –
“ความหยิ่งจองหองของเจ้าทำให้เจ้าร่วงลงสู่นรก
ร่างเน่าเปื่อยของเจ้าตกลงไป
แมลงจะกัดกินเนื้อของเจ้า และหนอนจะปกคลุมร่างของเจ้า
เจ้าตกจากสวรรค์ได้อย่างไรกัน โอ ลูซีเฟอร์ ผู้ที่ขึ้นมาดุจรุ่งอรุน?
เจ้าตกลงมาสู่โลก เพื่อทำร้ายชนชาติทั้งหลายกระนั้นหรือ? เจ้าครุ่นคิดอยู่ในใจว่า –
ข้าจะขึ้นไปสู่สวรรค์ ข้าจะตั้งบัลลังก์ของข้าไว้เหนือดวงดาราของพระเจ้า ข้าจะนั่งบนภูเขา
ณ.อุดรไกลที่ปวงเทพมาชุมนุมกัน
ข้าจะขึ้นไปเหนือเมฆเพื่อเป็นเหมือนพระผู้ทรงฤทธิ์ แต่แทนที่จะเป็นเช่นนั้นเจ้ากลับถูกนำตัวลงไปสู่แดนนรก
เจ้าไปอยู่ในส่วนที่ลึกที่สุดของอเวจี” (11-15)
เมื่อซาตานเผชิญหน้ากับพระคริสต์ในทะเลทราย
ซาตานพยายามล่อลวงพระองค์ผู้ทรงอยู่ในสภาพมนุษย์
มันล่อหลอกให้พระองค์แสดงพระฤทธานุภาพด้วยการประจญสามครั้ง
การประจญครั้งแรก ซาตานพูดกับพระเยซูเจ้าว่า
“ถ้าท่านเป็นบุตรของพระเจ้าจริงแล้ว.....” ซาตานใช้วิธีเดียวกันกับในสวนเอเดนที่มนุษย์ชายหญิงคู่แรกถูกประจญให้กินผลไม้ พระเยซูเจ้าทรงอดอาหารเป็นเวลานานแล้วจึงทำให้หิวยิ่งนัก
ซาตานแนะนำให้พระองค์ระงับความหิวด้วยการแสดงฤทธานุภาพเปลี่ยนก้อนหินให้เป็นขนมปัง ช่างแตกต่างกันมากระหว่างชายหญิงคู่แรก กับ
พระเยซูเจ้า - ในสวนเอเดนมีความอุดมสมบูรณ์มีอาหารมากมายทำให้อาดัมและเอวาไม่มีความหิวเลย
แต่พระเยซูเจ้าอยู่ในทะเลทรายที่แห้งแล้งไม่มีทั้งอาหารและน้ำ ชายหญิงคู่แรกพ่ายแพ้เพราะความผิดของเขาเองที่ไม่นบนอบเชื่อฟังคำสั่งของพระเจ้า
แต่พระเยซูเจ้าทรงได้รับชัยชนะเพราะความเชื่อฟังในพระเจ้า พระองค์ทรงอ้างพระวาจาจากพระคัมภีร์ว่า “มนุษย์ไม่ได้เลี้ยงชีวิตด้วยขนมปังแต่เพียงอย่างเดียวเท่านั้น
แต่ด้วยพระวาจาทุกคำที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระเจ้า”
ในความเชื่อฟังต่อพระเป็นเจ้า
พระเยซูเจ้าทรงถ่อมพระองค์ต่อพระบิดาสวรรค์ในสภาพมนุษย์ของพระองค์ และด้วยเหตุนี้พระองค์ทรงยกระดับธรรมชาติมนุษย์ให้สูงขึ้น
มนุษย์ไม่จำเป็นต้องเป็นทาสของวัตถุอีกต่อไป
แต่มนุษย์ต้องดำรงชีวิตด้วยพระวาจาของพระเจ้า
แน่นอนว่า
พระคริสต์คือพระวาจาของพระเจ้าโดยพระองค์เอง
พระองค์เป็นมานนาที่แท้จริง – เป็นปังจากสวรรค์ อย่างไรก็ตาม โดยการถือกำเนิดเป็นมนุษย์
พระเยซูเจ้าได้กลายมามีสภาวะมนุษย์โดยสมบูรณ์
มิใช่แต่เพียงมีร่างกายปกคลุมสภาวะพระเจ้าของพระองค์เท่านั้น พระองค์มีความหิว มีความทุกข์ยาก มีการประจญ
ฯลฯ เช่นเดียวกับมนุษย์ทั่วไป มีทุกอย่างเหมือนมนุษย์ยกเว้นบาป
ในการประจญครั้งที่สอง
ซาตานนำพระเยซูเจ้าขึ้นไปบนยอดพระวิหารและชักชวนให้พระองค์กระโดดลงไปเบื้องล่าง
(มัททิว 4) มันยกคำพูดจากบทสดุดีที่ 91 : 11-12 ว่า
พระเจ้าทรงสั่งให้ทูตสวรรค์ของพระองค์มาคุ้มครองท่าน
ให้คอยพยุงท่านไว้
ไม่ให้เท้ากระทบหิน
ในครั้งนี้
มารซาตานพยายามให้พระเยซูเจ้าแสดงตัวว่าเป็นพระเมสสิยาห์ ดังที่บทสดุดีที่ซาตานยกมาอ้างนี้
พระเมสสิยาห์จะได้รับการคุ้มครองจากภัยอันตรายทั้งปวง เพราะทูตสวรรค์ของพระเจ้าจะมาปกป้องพระองค์ไว้
ซาตานต้องการให้พระเยซูเจ้าแสดงฤทธานุภาพเพื่อที่มันจะรู้แน่ชัดว่าพระองค์ทรงถูกเลือกเป็นพิเศษจากพระเป็นเจ้าให้เป็นพระเมสสิยาห์ใช่หรือไม่? ซึ่งถ้าพระองค์ทรงทำตามมัน ภารกิจของพระองค์จะต้องล้มเหลวไป พระองค์จะไม่ถูกตรึงกางเขนและไม่มีการกลับคืนชีพ
ถึงแม้ว่าซาตานจะไม่รู้ว่าภารกิจของพระเยซูเจ้าคืออะไรก็ตาม
แต่พระเยซูเจ้าทรงทราบถึงความเจ้าเล่ห์ของซาตานดี พระองค์จึงตอบมันไปว่า “พระคัมภีร์มีเขียนไว้ว่า
อย่าล่อลวงพระเจ้าของเจ้าเลย”
ในการประจญครั้งสุดท้าย
ซาตานนำพระเยซูเจ้าขึ้นไปบนยอดเขาสูง
มันแสดงให้พระองค์เห็นอาณาจักรทั้งหลายของโลกและสัญญาว่ามันจะมอบสิ่งเหล่านั้นแก่พระองค์
ถ้าพระองค์ยอมก้มกราบนมัสการมัน
อีกครั้งหนึ่งที่ซาตานแสดงถึงความหยิ่งผยองของมัน มันหลอกว่ามันเป็นเจ้าของอาณาจักรทั้งปวงในโลก มันยกตัวเองขึ้นเหนือพระเยซูเจ้าโดยสัญญาว่าจะมอบอาณาจักรทั้งหมดนี้
ถ้าพระองค์ยอมกราบนมัสการมัน
มันต้องการให้พระเยซูเจ้าเป็นเจ้านายของโลกนี้โดยอยู่ใต้อำนาจของมัน
แต่พระเยซูเจ้าเสด็จมาในโลกนี้มิใช่เพื่อเป็นเจ้านายหรือเป็นกษัตริย์ของอาณาจักรใดๆในโลก พระองค์เสด็จมาเพื่อประกาศพระอาณาจักรแห่งสวรรค์ อาณาจักรของพระเจ้า
ตามข้อคิดเห็นของปิตาจารย์ของพระศาสนจักรเกี่ยวกับเรื่องการประจญนี้ ซาตานพยายามล่อลวงพระเยซูเจ้าเพื่อที่จะรู้ให้แน่ชัดว่าพระองค์เป็นใครกันแน่ ดังนั้นมันจึงประจญพระองค์ซ้ำแล้วซ้ำอีก โดยมีเป้าหมายเพื่อให้รู้แน่ชัดถึงธรรมชาติที่แท้จริงของพระเยซูเจ้า มันดูถูกธรรมชาติมนุษย์ว่าต่ำต้อยไม่มีอำนาจ มันจึงไม่เข้าใจว่าเหตุใดพระเจ้าจึงประสงค์มากลายเป็นมนุษย์ หรือไม่เข้าใจว่าพระเจ้าจะเป็นมนุษย์อย่างสมบูรณ์ทั้งๆที่ยังมีสภาวะพระเจ้าในเวลาเดียวกันได้อย่างไรกัน
พระเยซูเจ้าทรงปฏิเสธสิ่งที่ซาตานนำมาล่อใจพระองค์อย่างสิ้นเชิง
ทรงแสดงถึงพระอำนาจแห่งความอ่อนน้อมถ่อมตนของพระองค์ให้ซาตานได้ประจักษ์และทรงขับไล่มันไป
ตามที่นักบุญออกุสตินกล่าวไว้
หนทางที่แน่นอนที่สุดในการไปสู่สวรรค์คือความอ่อนน้อมถ่อมตน
พระเยซูเจ้าทรงแสดงให้พวกเราเห็นแล้วว่าความเป็นมนุษย์ที่แท้จริงนั้นคือการมีความอ่อนน้อมถ่อมตนซึ่งจะเป็นหนทางทำให้เราได้พบกับพระเป็นเจ้าและได้อยู่กับพระองค์ตลอดไป
**********************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น