Did Not Believe...
ไม่ยอมเชื่อ
By Fr. Eugenio La Barbera
ข้อความต่อไปนี้เป็นคำบอกเล่าของคุณพ่อ ยูจีโน ลาบาร์เบรา ให้ไว้ที่เมดจูกอเรจ์ในเดือนมกราคม 2008
**************
ทุกครั้งที่ผมมาที่เมดจูกอเรจ์
ผมรู้สึกว่าเป็นหน้าที่ของผมที่จะต้องเล่าเรื่องที่แม่พระทรงเรียกผมให้จัดตั้งอารามในบราซิล
เวลานี้เรามีอารามอยู่สามแห่งแล้วในบราซิลล
ผมไม่เชื่อเรื่องเมดจูกอเรจ์เลย และในเดือนพฤษภาคม 1987
ผมกำลังอยู่ในวิกฤตร้ายแรงของสถานะพระสงฆ์ของผม เพื่อนพระสงฆ์ของผม Don Valdemaro Boggiano
Pico ใช้วิธีการบังคับให้ผมมาที่เมดจูกอเรจ์
ดังนั้นผมจึงมาที่เมดจูกอเรจ์พร้อมกับเพื่อนสองคน
พวกเขาเชื่อว่าแม่พระประจักษ์มาที่นี่ แต่ผมไม่เชื่อ
เมื่อเรามาถึงเมดจูกอเรจ์ มีฝนตกหนัก และจะมีการประจักษ์ต่ออีวาน
แต่ในวันนั้นมีคนบอกเราในตอนที่เราเพิ่งมาถึงและยังนั่งอยู่ในรถโค๊ช
เขาบอกว่าการประจักษ์มีเฉพาะอีวานและกลุ่มสวดภาวนาเท่านั้น
ดังนั้นพวกเราจึงไปร่วมด้วยไม่ได้
ทุกคนที่อยู่บนรถโค๊ชเสียใจมาก
แต่ในทางตรงข้าม ผมกลับรู้สึกดีใจและเริ่มพูดตลกให้ทุกคนฟังโดยพูดว่า
“เห็นไหม พวกคุณมาที่นี่ แต่แม่พระไม่ต้องการพบกับพวกคุณ”
ในตอนนั้นที่เมดจูกอเรจ์ยังไม่มีโรงแรม เราจึงต้องพักในบ้านของชาวบ้านที่นั่น
ผมจำได้ว่าพวกเราต้องปิดหน้าต่างเพราะที่ชั้นล่างมีคอกม้าและมีกลิ่นเหม็นลอยขึ้นมา...และเราเปิดประตูทิ้งไว้ ประตูเปิดไปทางเนินเขาครีเซวัค
Krizevac.
ตอนหนึ่ง เพื่อนของผมซึ่งเราอยู่ห้องเดียวกันพูดกับผมว่า “ยูจีโน
ให้เราไปสวดภาวนาและเดินรูปสิบสี่ภาคกันไหม?” ผมตอบว่า “เดินรูปสิบสี่ภาคหรือ?
ฝนกำลังตกอยู่นะ และพวกเขาบอกเราไม่ใช่หรือว่าการประจักษ์มีเฉพาะกลุ่มสวดภาวนาเท่านั้นที่บนภูเขานั่น
แล้วเราจะไปทำอะไรที่นั่นล่ะ? นอนพักเถอะ แม่พระไม่อยู่ที่นั่นหรอก”
ต่อมา เจ้าของบ้านนำน้ำซุปมาให้ ผมไม่รู้ว่าเป็นอะไร
ขณะที่เรากำลังกินอยู่เพื่อนของผมก็พูดว่า “ดูซิ ยูจีโน
มีดวงดาวบนไม้กางเขนที่ครีเซวัคด้วย
เห็นไหม นั่นเป็นเครื่องหมายที่คุณต้องการไม่ใช่หรือ แม่พระกำลังเรียกเราอยู่” แต่ผมยังคงยืนยันอย่างหนักแน่น “เพื่อนรัก
ดวงดาวไม่ได้บอกว่าแม่พระปรากฏอยู่ มีดวงดาวมากมายอยู่บนท้องฟ้า” แต่เพื่อนผมพูดโต้แย้ง ดังนั้นผมจึงพูดว่า”
ก็ได้ ถ้าคุณต้องการไปเดินรูปสิบสี่ภาค ก็ไปกัน” แต่ในใจผมคิดว่า
“คืนนี้ฉันจะทำให้พวกเขาเบื่อไปเลย
ฉันจะเทศน์อย่างยืดยาว เทศน์แล้วเทศน์อีกให้ยาวกว่าเดิม”
Fr. Eugeni
ทุกคนกำลังคุกเข่า
ผมยืนขึ้น และผมก็เริ่มเทศน์เป็นเวลานาน
“เข่าของพวกคุณจะมีเลือดออกในคืนนี้” แต่เมื่อถึงเวลาหนึ่ง ผมเริ่มตระหนักวาเสื้อแจ๊กเก็ตของผมแห้งสนิท เวลานั้นฝนกำลังตก ผมเริ่มรู้สึกกลัวมาก ผมไม่รู้อะไรเลย
ก่อนหน้านี้ผมคิดว่าผมรู้เทววิทยาดี ผมคิดว่าผมรู้ทุกอย่าง
และตอนนี้ผมกำลังเผชิญหน้ากับปรากฏการณ์ที่ผมควบคุมไมได้ ดังนั้นผมจึงเริ่มสัมผัสกับพื้นดินให้แน่ใจและปรากฏว่ามันเปียกเพราะฝนกำลังตก
ผมพูดกับเพื่อนว่า “ให้เราไปที่ภาคอื่นต่อเถอะ” ผมแตะเนื้อตัวของพวกเขา ปรากฏว่าพวกเขาตัวเปียก
ผมแตะที่เสื้อแจ๊กเก็ตของผม มันแห้ง!
ผมจำได้ว่ามันเป็นการเดินรูปสิบสี่ภาคที่รวดเร็วมาก เพราะรู้สึกกลัวและเมื่อเราถึงที่ครีเซวัค
จากดวงดาวหนึ่งดวงปรากฏดวงดาวหลายดวงจัดรูปร่างเป็นวงกลม และบริเวณที่พวกเรายืนอยู่ ฝนหยุดตก
แต่บริเวณที่อยู่ข้างนอกวงกลม ฝนยังคงตก
ผมไม่มีความกล้าที่จะพูดอะไรกับพวกเขา และพวกเขาก็ไม่ได้พูดอะไรกับผม ดังนั้นจึงพูดว่า “ให้เราสวดภาวนาอย่างเงียบๆ”
ผมจำได้ว่าในวันนั้น
ผมมอบความขมขื่นทั้งสิ้นของผมให้แก่แม่พระ
ผมทูลพระนางว่า “ผมไม่ทราบว่าพระแม่ทรงอยู่ ทรงปรากฏที่นี่
แต่ผมอยากจะบอกอะไรบางอย่างแก่พระแม่ ประการแรก ผมไม่ใช่พระสงฆ์ที่ดีนัก
แต่ผมก็เป็นพระสงฆ์ที่เยี่ยม เพราะผมสวดสายประคำ ผมสวดทำวัตร ผมฟังสารภาพบาป”
ผมพูดแต่เรื่องดีๆที่ผมทำ
แต่ไม่ได้บอกบาปของผม บอกแต่เรื่องดีเท่านั้น ผมพูดกับแม่พระว่า
“แล้วผมได้รางวัลอะไรบ้างเล่า? ดูเถอะ พ่อของผมตายด้วยโรคมะเร็งในกระดูก
หุ้นส่วนธุรกิจของพี่ชายต้องติดคุก พี่ชายของผมก็ติดคุก และผมมาอยู่ที่นี่...และคนในชุมชนของผมคิดถึงผมในทางไม่ดี”
ผมจะพูดอะไรได้เล่า? ผมระบายสิ่งอัดอั้นตันใจทั้งหมด แล้วผมก็พูดว่า
“ถ้าหากพระแม่ทรงประทานหมายสำคัญให้แก่ทุกคนแล้ว
ขอพระแม่โปรดประทานหมายสำคัญแก่คุณพ่อยูจีโน คนนี้บ้างเถิด
หมายสำคัญแห่งการปรากฏยู่ของพระแม่”
ในวันต่อมา เพื่อนของผม Don Valdemaro Boggiano Pico
ผู้ซึ่งกำลังเขียนเรื่องราวของเมดจูกอเรจ์อยู่ในเวลานั้น
ได้ขอให้ผมเป็นผู้นำสวดสายประคำบนเนินเขาแห่งการประจักณ์ ดังนั้นพวกเราจึงไปที่เนินเขา
เราสวดสายประคำกัน และผมก็นั่งลงตรงนั้น ที่นั่นไม่มีสัญลักษณ์หรือเครื่องหมายใดที่เกี่ยวกับพระธรรมล้ำลึกของสายประคำ แต่มีบางคนที่ถือไม้กางเขนทำด้วยไม้เล็กๆไว้เป็นสิ่งแสดงความเชื่อของพวกเขา ผมนั่งอยู่ ไม่ได้คิดอะไร ผมมองลงไปทิ่เนินเขา
แล้วทันใดก็มีชายคนหนึ่งเข้ามาใกล้ผม ผมไม่รู้จักเขา เขาแต่งตัวดีผูกเน็คไท เขาถามผมว่า “ท่านคือคุณพ่อยูจีโน
ลา บาร์เบราใช่ไหมครับ?” เขาบอกทั้งชื่อและนามสกุลของผม
เพราะพวกเรากำลังอยู่ในประเทศที่เป็นคอมมิวนิสต์ในเวลานั้นซึ่งเป็นปี 1987
ผมจึงคิดว่าชายคนนั้นเป็นทหารการ์ดและเขาจะมาเอาผมไปเข้าคุก ผมจึงพูดกับตัวเองว่า
“พี่ชายของฉันติดคุกในอิตาลี
แต่ฉันต้องมาติดคุกคอมมิวนิสต์”
ดังนั้นผมจึงตอบไปว่า “ใช่แล้ว ผมเอง”
ชายคนนั้นตอบผมว่า “ผมมีเรื่องบางอย่างจะบอกท่านครับ
เกี่ยวกับที่ท่านถามแม่พระเมื่อคืนนี้ที่ครีเซวัค ท่านต้องการฟังไหม?”
และผมก็ตระหนักใจว่า ไม่ใช่มีแต่ผู้หญิงเท่านั้นที่อยากรู้อยากเห็น ผู้ชายก็เป็นด้วยเพราะผมเกิดความอยากรู้อยากเห็นขึ้นมา ผมมองไปรอบๆไม่เห็นมีใครสักคนอยู่แถวนั้น
ผมบอกกับเขาว่า “คุณพูดมาได้เลยครับ”
ชายคนนั้นจึงเริ่มพูดว่า “ประการแรก แม่พระต้องการบอกท่านว่า
ท่านเป็นพระสงฆ์ที่ดี และเป็นพระสงฆ์ที่เยี่ยม” (ในตอนนั้นผมรู้สึกอับอายมาก)
“บิดาของท่านอยู่ในสวรรค์แล้วกับมารดาของท่าน
และพี่ชายของท่านจะออกจากคุกในเร็วๆนี้
แต่เพราะท่านไม่เชื่อ
แม่พระจะทรงประทานหมายสำคัญแก่ท่านก่อนที่ท่านจะจากเมดจูกอเรจ์ไป”
ผมจำได้ว่า ผมรีบวิ่งหนีไปจากที่นั่น ผมไม่ยอมให้เขาพูดจนจบ
และวิ่งลงจากเนินเขา และได้พบกับ Don Valdemaro Boggiano Pico ผมพูดกับเขา
“ผมต้องไปสารภาพบาปเดี๋ยวนี้ เพราะผมคิดว่าผมกำลังจะตาย”
แล้วผมก็ได้ไปสารภาพบาปรวมในชีวิตทั้งหมดของผม Don Valdemaro บอกกับผมว่า “เปล่าหรอก เพราะคุณยังไม่เชื่อ
แม่พระจึงทรงต้องการประทานหมายสำคัญแก่คุณ” ผมพูดว่า “ใช่ ใช่ ผมมีหมายสำคัญมากเพียงพอแล้ว”
แล้วผมก็เล่าเรื่องเสื้อแจ็คเก็ตที่แห้งของผม “ฟังนะ ผมเชื่อคุณ ผมเชื่อ
แต่หมายสำคัญอื่นๆจะทำให้ผมต้องตายเพราะหัวใจวาย เพราะฉะนั้น ผมเชื่อแล้ว จบกันที”
มีกลุ่มผู้แสวงบุญกลุ่มหนึ่งมาจากเมือง Emilia Romagna และพวกเขาไม่มีพระสงฆ์มาด้วย ดังนั้นผมจึงถูกขอร้องให้ช่วยพวกเขาในการเดินรูปสิบสี่ภาค
ผมเตรียมตัวอย่างดีและเมื่อพวกเขามาถึง เราแนะนำตัวกันและเราก็เริ่มต้นเดินรูป
ที่ภาคที่สาม เมื่อพระเยซูเจ้าทรงหกล้มครั้งที่หนึ่ง วัยรุ่นชายคนหนึ่งอายุราว 18 –
20 เริ่มร้องไห้ เขาร้องไห้เสียงดังมากๆ จนผมไม่สามารถพูดได้เพราะผู้แสวงบุญทุกคนมองไปที่เขา
และผมก็ไม่กล้าที่จะไปห้ามเขาเพราะ ผมพูดกับตัวเองว่า
“เป็นไปไม่ได้ที่แม่พระจะประจักษ์มาและฉันก็ไม่ต้องการให้พระแม่ประจักษ์แก่ฉันด้วย”
เพราะเหตุนี้การเดินรูปสิบสี่ภาคจึงเป็นไปอย่างรวดเร็ว
เมื่อเรามาถึงที่ครีเซวัค ผมหยุดพูดและวัยรุ่นชายคนนี้ก็หยุดร้องไห้
เขาเข้ามาใกล้ผมและพูดกับผมว่า “คุณพ่อครับ ผมรู้สึกเสียใจมาก
แต่มีบางสิ่งเกิดขึ้นกับผมครับ”
ผมตอบว่า ”เกิดอะไรขึ้นหรือ? เป็นความจริงที่พ่อไม่ใช่พระสงฆ์ทีดีนัก
แต่คงจะดีไม่มากพอที่เธอจะร้องไห้มากมายขนาดนั้นหรอก” เขาตอบว่า “คุณพ่อครับ
ผมมองเห็นบาปทั้งหมดของผม เหมือนกับดูภาพยนตร์ และผมก็ร้องไห้สำนึกความผิด
ยิ่งผมเห็นบาปมากเท่าไร ผมยิ่งร้องไห้มากขึ้นเท่านั้น
ผมเห็นบาปมากขึ้นเรื่อยๆครับ”
ผมคิดในใจว่า “เขาทำบาปมากมายเพียงไรหรือ?
ตั้งแต่เดินจากภาคที่สามมาถึงภาคที่สิบห้า” วัยรุ่นคนนั้นพูดต่อว่า
“ตอนที่คุณพ่อหยุดพูด
ผมได้ยินเสียงหนึ่งพูดกับผมว่า ‘บาปของลูกได้รับการอภัยแล้ว แต่ลูกต้องได้รับการอภัยจากพระศาสนจักรด้วย
จงไปสารภาพบาปกับคุณพ่อยูจีโน’ ผมจึงได้มาที่นี่ครับ
ผมต้องการสารภาพบาปครับ”
และดังนั้นผมจึงฟังสารภาพบาปของเขา....
ตอนหนึ่งวัยรุ่นชายได้ม้วนแขนเสื้อของเขาขึ้น แขนของเขาเป็นสีดำทั้งหมด เขาติดยาเสพติด
แล้วเขาก็หยิบเอาขวดบางอย่างออกมาจากกระเป๋าและกระแทกมันก็ก้อนหิน ผมพูดกับเขาว่า “ฟังนะ พ่อหนุ่ม
แม่พระได้อวยพรแก่เธอแล้ว
บาปของเธอได้รับการอภัยแล้ว แต่เธอติดยาเสพติด เธอฉีดยาด้วยยาเสพติดพวกนี้ เธอจะไม่สามารถหยุดมันได้นานหรอก”
Third Station on Mt.
Krizevac
เขาตอบกับผมว่า “คุณพ่อยูจีโนครับ ผมได้รับการรักษาให้หายแล้ว
ผมคือหมายสำคัญที่แม่พระทรงสัญญาไว้ว่าจะประทานแก่คุณพ่อก่อนที่คุณพ่อจะจากเมดจูกอเรจ์ไปครับ”
ตั้งแต่ปีนั้น ผมก็จะมาที่เมดจูกอเรจ์เสมอ เพื่อขอบพระคุณแม่พระ
ในปีต่อมา อีกหลายๆปีต่อมา
ที่เมดจูกอเรจ์
แม่พระทรงเรียกผมโดยผ่านทางวิคก้า ผู้เห็นแม่พระ ให้ผมจัดตั้งคณะนักบวชขึ้น
ผมไม่ต้องการทำและผมก็พูดหยาบคายต่อวิคก้า
ผมพูดอย่างกระด้างกับวิคก้า “แม่พระบอกเธอเช่นนั้นหรือ? อย่าบอกพ่อเลย ไปบอกแม่พระซิว่า พ่อจะต้องไปที่ธนาคารสวิสแห่งไหนที่จะให้เงินกับพ่อ!”
ต้องใช้เงินจำนวนมากทีเดียวในการจัดตั้งคณะนักบวช
และผมจำได้ว่าวิคก้า ยังคงยิ้มเสมอ ไม่รู้สึกโกรธเลย เธอพูดกับผมว่า “โอเคค่ะ ดิฉันจะถามพระนาง”
ผมตอบว่า “โอเค ถามพระนาง”
ในวันต่อมา ผมเดินผ่านบริเวณที่วิคก้ามักจะไปพูดเสมอ
ผมไม่รู้ว่าวิคก้ายังคงปฏิบัติเช่นนั้นอยู่ แต่เธอพูดที่หน้าบ้านคุณย่าของเธอ ผมเดินผ่านหน้าเธอและเธอเรียกผม “แม่พระตรัสว่ามรดกที่คุณพ่อจะได้รับจากครอบครัวไม่ใช่เป็นของคุณพ่อ แต่เป็นของพระเจ้า ดังนั้นแม่พระจะทรงใช้มรดกของคุณพ่อและพระนางจะทรงช่วยคุณพ่อค่ะ”
ผมต้องการแน่ใจในเรื่องนี้
เพราะเวลานั้นเมดจูกอเรจ์ยังไม่ได้รับการรับรองใดๆ ดังนั้นผมจึงไปพบกับพระสันตะปาปา
(เวลานั้นคือพระสันตะปาปายอห์นปอลที่ 2) และผมได้เล่าเรื่องทั้งหมดให้พระองค์ฟัง “พระสันตะปาปาครับ
นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้น ผมเป็นมิชชันนารี
ผมอยู่ที่บราซิล ผมมีหลายสิ่งที่ต้องทำ...” (ในตอนนั้นผมเป็นอธิการของกลุ่มพระจิต Charismatic Renewal)
พระสันตะปาปาตรัสกับผมว่า “เอาล่ะ ถึงแม้การประจักษ์ยังไม่ได้รับการรับรอง
แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าท่านไม่สามารถจัดตั้งคณะนักบวช”
และดังนั้นผมจึงเดินหน้าต่อ
ทุกวันนี้เรามีอาราม "sui juris",
ซึ่งเป็นอารามที่ได้รับการรับรองอย่างเป็นทางการจากพระศาสนจักร และผมก็เป็นอธิการ ให้เราขอบพระคุณพระเจ้า
เพราะด้วยหมายสำคัญมากมาย ด้วยหลายสิ่ง...พระศาสนจักรบอกเราว่า เมื่อเราแสวงหาความจริง
เมื่อนั้นพระเจ้าจะทรงช่วยให้เราตระหนักว่าไม่มีสิ่งใดที่ขวางกั้นเราจากพระประสงค์ของพระเจ้าได้
ผมจำได้ว่าเมื่อเวลาที่คณะได้รับการรับรอง ผมไม่รู้ว่าทำไม
แต่ระเบียบกฎเกณฑ์ของคณะของเราไปสิ้นสุดลงที่โต๊ะทำงานของพระคาร์ดินัลรัธซิงเกอร์
และท่านได้ตีตราประทับ “รับรอง” ผมยังจำได้ถึงผู้แทนพูดกับผม “ดูซิ
พระคาร์ดินัลรัธซิงเกอร์เมาหรือเปล่านี่...หรือท่านไม่ได้อ่าน...เพราะเราอยู่ในโลกที่สาม
ในบราซิล...หรือว่าแม่พระทรงปิดตาทั้งสองข้างของท่านคาร์ดินัล...เพราะคณะของคุณพ่อได้รับการรับรองแล้ว”
พร้อมกับพวกคุณ ผมขอสรรเสริญพระเจ้า
ให้เราขอบพระคุณพระองค์เถิด
และผมขอขอบพระคุณแม่พระที่ทรงเรียกผมในภารกิจใหม่นี้ ทุกวันนี้เรามีอารามสามแห่งในบราซิล
และดำเนินชีวิตตามแบบอย่างฝ่ายจิตใจของเบเนดิกติน- มาเรียน
ตามที่แม่พระทรงขอให้ผมทำให้สำเร็จเป็นรูปธรรม
...อาแมน
*********************
นำมาจาก The Medjugorje Message, UK, February 2008 issue
นำมาจาก The Medjugorje Message, UK, February 2008 issue
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น