พระสันตะปาปายอห์นปอลที่ 2 ตรัสว่า “อาจเป็นเช่นนั้น”
เมื่อ 21
ปีที่แล้วพระสันตะปาปาชาวโปแลนด์ตรัสว่า
พระนางมารีย์ทรงเป็นบุคคลแรกที่เห็นเป็นพยานการกลับคืนพระชนม์ชีพของพระคริสต์
ชาวฟิลิปปินส์ต่างมีความเชื่อว่าพระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับฟื้นคืนพระชนม์ทรงเลือกที่จะเสด็จไปพบกับพระมารดาของพระองค์เป็นคนแรก
ก่อนที่มารีย์ มักดาเลนาได้เห็นพระองค์ในถ้ำฝังพระศพ
พระสันตะปาปายอห์นปอลที่
2 ก็ตรัสถึงความเชื่อนี้ในการให้พระดำรัสทั่วไปเมื่อวันที่ 21 พ.ค. 1997 เราได้ลงพระดำรัสของพระองค์ในที่นี้ดังนี้
~ ~ ~ ~ ~ ~
1.
หลังจากที่พวกเขาได้วางพระศพของพระเยซูเจ้าไว้ในพระคูหา พระนางมารีย์เพียงผู้เดียว “ที่ยังคงดำรงอยู่ในเปลวไฟแห่งความเชื่อ
พระนางทรงเตรียมพร้อมที่จะต้อนรับการประกาศถึงการกลับฟื้นคืนพระชนม์ด้วยความยินดีและด้วยความประหลาดใจ”
(พระดำรัสวันที่ 3 เม.ย. 1996, L’Osservatore Romano English edition,
10 April 1996, p. 7) ในวันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์ พระนางมารีย์
พระมารดาของพระเจ้า ทรงรอคอยด้วยความหวังอันสูงส่งในความเชื่อ ในขณะที่ความมืดมิดครอบคลุมโลกทั้งมวล พระนางทรงมอบความวางใจทั้งหมดของพระนางในพระเจ้าผู้ทรงชีวิต
พระนางทรงครุ่นคิดถึงพระวาจาของพระบุตรของพระนาง
พระนางทรงหวังอย่างเต็มเปี่ยมในพระสัญญาแห่งสวรรค์
พระวรสารได้กล่าวถึงการปรากฏของพระคริสต์ผู้ทรงกลับฟื้นคืนพระชนม์หลายครั้ง
แต่ไม่เคยกล่าวถึงการพบกันระหว่างพระเยซูเจ้ากับพระมารดาของพระองค์เลย
การไม่ได้มีการกล่าวไว้นั้นไม่ได้หมายความว่าหลังจากการกลับคืนพระชนม์ของพระคริสต์แล้ว
พระองค์มิได้ปรากฏแก่พระนางมารีย์
นั่นน่าจะเป็นสาเหตุให้เราแสวงหาเหตุผลว่าทำไมผู้นิพนธ์พระวรสารจึงได้เลือกที่จะไม่กล่าวถึง
สมมุติฐานถึงเหตุผลในเรื่องนี้
อาจเป็นเพราะผู้นิพนธ์พระวรสารต้องการพุ่งความสนใจไปที่คำพูดการเป็นพยานของ
“ผู้ที่ถูกเลือกจากพระเจ้าให้เป็นพยาน” (กิจการอัครสาวก 10:41) นั่นคือ บรรดาอัครสาวกผู้ซึ่งได้กล่าวเป็นพยานถึงการกลับคืนพระชนม์ของพระเยซูเจ้า
องค์พระผู้เป็นเจ้า ด้วยพระฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ (กก. 4:33)
ก่อนที่พระเยซูเจ้าจะทรงปรากฏพระองค์ต่อพวกท่าน พระองค์ทรงปรากฏพระองค์หลายครั้งต่อสตรีผู้มีความเชื่อหลายคน เพราะพวกเขามีหน้าที่สำคัญ “จงไปและบอกพี่น้องของเราให้ไปที่กาลิลี
และพวกเขาจะพบเราที่นั่น” (มธ. 28:10)
ผู้นิพนธ์พระวรสารไม่ได้พูดถึงการที่พระมารดามิได้พบกับองค์พระบุตรของพระนางที่ทรงกลับคืนพระชนม์แล้ว อาจเป็นด้วยเหตุผลที่ว่า บรรดาผู้ที่ไม่เชื่อเรื่องการกลับคืนชีพของผู้ตายจะคิดว่าบรรดาอัครสาวกผู้ที่ถูกเลือกให้เป็นพยานมีการลำเอียงเข้าข้างพระนางมารีย์
เพราะฉะนั้นจึงไม่มีความน่าเชื่อถือในคำพยานของพวกเขา
2. นอกจากนั้น
พระวรสารยังรายงานการปรากฏพระองค์ของพระเยซูเจ้าผู้ทรงกลับคืนพระชนม์เพียงไม่กี่ครั้งในระหว่างระยะเวลา
40 วันหลังจากทรงคืนพระชนม์ แต่ น.เปาโลได้กล่าวว่า
พระคริสต์ทรงปรากฏพระองค์แก่ “บรรดาพี่น้องมากกว่า 500 คนในคราวเดียว” (1
คร. 15:6) แล้วเราจะอธิบายได้อย่างไรว่าทำไมเหตุการณ์เหล่านี้จึงไม่ได้กล่าวถึงในพระวรสาร?
และพระนางพรหมจารีย์มารีย์
ผู้ทรงประทับอยู่กับบรรดาศิษย์ด้วย (กก. 1:14) จะไม่ได้รับการเสด็จเยี่ยมจากพระบุตรของพระนางได้อย่างไรเล่า?
หลังจากที่พระองค์กลับฟื้นคืนพระชนม์แล้ว
3 อันที่จริงมีตรรกะอันหนึ่งที่อธิบายถึงการที่พระมารดาอาจเป็นคนแรกที่ได้พบกับพระเยซูเจ้า
พระบุตรของพระนาง นั่นก็คือ พระนางมารีย์
พระมารดามิได้ทรงอยู่ในกลุ่มของสตรีที่ไปพระคูหาในตอนย่ำรุ่ง (มก. 16:1 , มธ. 28:1) นั่นแสดงว่าพระนางได้พบกับพระเยซูเจ้าเรียบร้อยแล้วนั่นเอง? ตรรกะนี้บอกเราว่า ผู้ที่ได้รับเลือกให้พบกับพระคริสต์เป็นคนแรกหลังจากทรงกลับคืนพระชนม์แล้ว
โดยน้ำพระทัยของพระเยซูเจ้าเอง ก็คือผู้ที่ยังคงมีความเชื่อซึ่งอยู่แทบเชิงกางเขน
และเป็นผู้ที่มีความเชื่ออย่างมั่นคงในพระองค์
พระผู้ทรงกลับฟื้นคืนพระชนม์
ยังได้วางใจให้ มารีย์ มักดาเลนา เป็นผู้นำสาส์นไปแจ้งแก่บรรดาอัครสาวก (ยน. 20:17-18) ข้อความนี้อาจเป็นการบ่งชี้ให้เห็นว่าพระเยซูเจ้าทรงแสดงพระองค์เองแก่พระมารดาของพระองค์เป็นคนแรกด้วย
เพราะพระนางทรงเป็นผู้ที่มีความเชื่อมากที่สุดและยังทรงรักษาความเชื่อของพระนางไว้แม้จะถูกทดสอบอย่างหนัก
พระนางมารีย์ทรงมีคุณลักษณะพิเศษขณะที่ปรากฏอยู่
ณ. กาวารีโอ พระนางทรงร่วมจิตใจเป็นหนึ่งเดียวกับองค์พระบุตรของพระนางในความทุกข์แสนสาหัสที่องค์พระบุตรของพระนางทรงทนรับไว้เมื่ออยู่บนกางเขน
เพราะฉะนั้นพระนางจึงทรงมีส่วนร่วมในพระธรรมล้ำลึกแห่งการกลับฟื้นคืนพระชนม์ของพระคริสต์ด้วยอย่างแน่นอน
ในศตวรรษที่
5 Sedulius ผู้เขียนหนังสือ ได้กล่าวไว้ในหนังสือว่า “ในการกลับฟื้นคืนพระชนม์อย่างรุ่งเรืองของพระคริสต์นั้น
พระองค์ได้ทรงปรากฏพระองค์แก่พระมารดาของพระองค์เป็นคนแรก”
เพราะพระนางมารีย์ทรงเป็นหนทางที่นำพระคริสต์มายังโลก เพื่อที่พระนางจะได้เผยแพร่ข่าวอันน่ามหัศจรรย์ของการกลับฟื้นคืนพระชนม์
และเพื่อที่พระนางจะได้กลายเป็นผู้ประกาศข่าวแห่งเสด็จมาอย่างรุ่งเรืองของพระองค์ในวาระสุดท้าย”
(cf. Sedulius, Paschale carmen, 5, 357-364, CSEL 10, 140f).
4. เป็นสิ่งที่สมเหตุสมผลที่จะคิดว่า
พระนางมารีย์เป็นดังภาพลักษณ์ของพระศาสนจักรที่กำลังรอคอยองค์พระผู้ทรงกลับฟื้นคืนพระชนม์และได้พบกับพระองค์ในกลุ่มของศิษย์ในช่วงเทศกาลอิสเตอร์
พระนางทรงได้ติดต่อกับองค์พระบุตรผู้ทรงกลับคืนพระชนม์แล้วเป็นการส่วนตัว
เพื่อที่พระนางจะได้ทรงมีความชื่นชมยินดีในปาสกาอย่างเต็มเปี่ยมเช่นเดียวกัน
ณ.
กาวารีโอ ในวันศุกร์ศักดิ์สิทธิ์ (ยน. 19:25) และ ณ.
ห้องชั้นบนในวันพระจิตเสด็จลงมา( กก. 1:14) พระนางพรหมจารีย์มารีย์อาจได้รับสิทธิพิเศษได้พบกับพระคริสต์ด้วย พระนางจึงมีส่วนร่วมในพระธรรมล้ำลึกแห่งปาสกาในช่วงเวลาอันจำเป็นยิ่งนี้ ในการพบกับพระเยซูเจ้าผู้ทรงฟื้นคืนพระชนม์
พระนางมารีย์ยังได้เป็นเครื่องหมายของความสุภาพถ่อมตนซึ่งนำความหวังที่จะได้บรรลุถึงความบริบูรณ์ของการกลับคืนชีพของบรรดาผู้ตายอีกด้วย
ในวาระแห่งอิสเตอร์นี้ ชาวเราขออัญเชิญพระมารดาของพระเจ้ามาร่วมกับเราเปล่งเสียงแซ่ซ้องสรรเสริญ
“Regina Caeli, laetare. Alleluia!” “ราชินีแห่งสวรรค์
จงชื่นชมยินดีเถิด อัลเลลูยา” ดังนี้เป็นการระลึกถึงความชื่นชมยินดีของพระนางมารีย์
ที่มีต่อการกลับฟื้นคืนพระชนม์ขององค์พระบุตรของพระนาง ความชื่นชมยินดีซึ่งต่อเนื่องมาจากเวลาที่ทูตสวรรค์ได้มาแจ้งสาส์นแก่พระนาง เพื่อที่พระนางจะได้ทรงแบ่งปันความชื่นชมยินดีอันยิ่งใหญ่ของพระนางให้แก่ชาวเราทั้งหลายบนโลกนี้
***************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น