Our Lady of Marlboro
and Divine Mercy: The Healing of Childhood Abuse
แม่พระแห่งมารล์โบโรและพระเมตตา
– การเยียวยารักษาการถูกละเมิดในวัยเด็ก
by Marjory Bicki
มาร์โจรี่และแจ๊กกี้ผู้เป็นมารดาทั้งสองได้คืนดีกัน
นี่เป็นเรื่องราวชีวิตของมาร์โจรี่
(Marjory Bicki) ผู้ได้รับการเยียวยารักษาจิตใจจากความเจ็บปวดของการถูกล่วงละเมิดในวัยเด็ก
****************
ทุกอย่างเริ่มต้นขึ้นเมื่อบาร์บาราและฉันไปที่อาสนวิหารแม่พระในเมืองมารล์โบโร
รัฐนิวเจอร์ซี่ เมื่อต้นเดือนมิถุนายน 1993
บาร์บาราเป็นผู้ที่นำฉันไปที่อาสนวิหารเพราะฉันเดินได้อย่างยากลำบาก การไปครั้งนี้ไม่ได้มีความพิเศษอะไรสำหรับฉัน
เพราะครอบครัวของฉันไม่เชื่อในพระเจ้าและไม่เคยนับถือศาสนาอะไรเลย
ขณะที่ฉันเดินไปทางด้านหลังบ้าน
ฉันเห็นคนกลุ่มหนึ่งกำลังนั่นอยู่ที่มานั่งยาว ฉันถามบาร์บารา “ทำไมเธอพาฉันมาปิกนิคล่ะ?”
เธอบอกให้ฉันนั่งลงและเงียบ ขณะที่ฉันกำลังนั่ง
ฉันสังเกตุเห็นพระรูปและฉันพูดกับเธอว่า
“ฉันรู้ว่านี่คือพระรูปของพระเยซูบนไม้กางเขน แต่รูปปั้นของผู้หญิงผู้นั้นคือใคร?”
เธอกระซิบว่า
“นั่นคือพระนางพรหมจารีย์มารีย์ พระมารดาของพระเจ้า”
ฉันพูดว่า
“ฉันไม่สนใจหรอก พาฉันออกไปจากที่นี่เถอะ”
เธอพูดว่า
“เงียบและนั่งลง”
หลังจากที่คนส่วนใหญ่จากไปแล้ว เธอได้ไปที่พระรูปพระเยซูบนไม้กางเขน และก็ไปที่พระรูปแม่พระ
สุดท้ายเธอก็ยืนขึ้นและตรงไปที่รถยนต์
ฉันถามเธอว่า
“ฉันควรจะทำอะไร?”
เธอตอบว่า “ทำสิ่งที่เธอต้องการทำ”
ฉันลุกขึ้นและไปที่พระรูปพระเยซูบนไม้กางเขน
ฉันคุกเข่าลงและพูดกับพระรูป “ฉันรู้ว่าการถูกตรึงบนไม้กางเขนเป็นอย่างไร
เพราะฉันก็รู้สึกเจ็บปวด เมื่อตอนที่ฉันเป็นเด็ก
ฉันถูกมัดมือและถูกแขวนอยู่กับตะปูที่บนเพดานห้อง
ฉันถูกเฆี่ยนด้วยเข็มขัด
และนั่นคือทุกสิ่งที่ฉันต้องการจะพูด” แล้วฉันก็ยืนขึ้นและตรงไปที่รถยนต์
บาร์บาราและฉันขับรถไปที่ภัตตราคารจีนแห่งหนึ่ง
เธอถามฉันว่ามีอะไรเกิดขึ้นกับฉันบ้างไหม
ฉันตอบว่า “ไม่”
เธอพูดอีก
“เธอไม่รู้สึกถึงสันติสุขบ้างเลยหรือ?”
ฉันตอบ
“มีนิดหน่อย” ต่อมาเธอก็ขับรถไปส่งฉันที่บ้าน
สามสัปดาห์ต่อมา
ใกล้ถึงสิ้นเดือนมิถุนายน 1993 บาร์บาราขับรถพาฉันไปที่มารล์โบโรอีก
ซึ่งฉันไม่ต้องการไป ฉันเดินอย่างยากลำบาก และเจ็บปวดมากที่สันหลัง
ฉันค่อยๆนั่งบนม้านั่งยาวด้วยความลำบาก
บาร์บาราคุกเข่าและเริ่มสวดภาวนาใกล้กับกางเขนของพระเยซู เธอสวดภาวนาอย่างเอาจริงเอาจัง ใบหน้าของเธอดูอ่อนหวาน และฉันพูดกับตัวเองว่า
“โปรดประทานสิ่งที่เธอต้องการด้วยเถิด”
ต่อมาเธอยืนขึ้นและไปที่พระรูปแม่พระ ขณะที่เธอเดินไปที่รถยนต์ ฉันถามขึ้นว่า
“ฉันต้องทำอะไรในคราวนี้?”
เธอให้คำตอบแบบเดิม
“ทำสิ่งที่เธอต้องการทำ”
ฉันไปที่พระรูปพระนางพรหมจารีย์มารีย์
ตอนนี้ฉันพร้อมที่จะจากไปแล้ว แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง ฉันตรงไปคุกเขาที่เชิงกางเขน
จิตใจของฉันว่างเปล่า
และฉันเงยหน้ามองดูที่พระเยซูเจ้า
ในทันใดนั้น ฉันเพ่งมองไม่กระพริบตาที่ตะปูตรงเท้าของพระองค์ ตาและศีรษะของฉันเย็นยะเยือก
ฉันได้ยินเสียงหนึ่งกระซิบว่า “จงสัมผัสซิ
สัมผัสซิ”
ฉันยกแขนขวาไปสัมผัสตะปูที่ตอกตรึงเท้าของพระเยซูเจ้าด้วยนิ้วชี้
แล้วทันใดฉันก็พูดกับตัวเอง
“ฉันทำอะไรนี่?” ฉันดึงมือกลับ
และเสียงเดิมก็กระซิบอย่างอ่อนโยนอีก
“สัมผัสซิ สัมผัสซิ” พลังหนึ่งที่แรงจับมือฉันไปสัมผัสตะปูที่เท้าของพระเยซูเจ้า
ฉันรู้สึกถึงความอบอุ่นที่เต็มเปี่ยมบริเวณท้องและแล่นอย่างรวดเร็วไปที่ศีรษะ เมื่อความรู้สึกนั้นมาถึงดวงตาของฉัน น้ำตาของฉัยก็เริ่มหลั่งรินออกมา
ความรู้สึกนั้นยังมุ่งต่อไปที่ศีรษะของฉัน
แล้วฉันก็ได้ยินเสียงของผู้ชาย
เสียงนั้นอ่อนโยนแต่เข้มแข็ง อยู่ภายในศีรษะของฉัน เสียงนั้นพูดว่า “จงไปหาพระนางพรหมจารีย์มารีย์”
ฉันเช็ดน้ำตาแล้วลุกขึ้น
ฉันสามารถเดินได้อย่างรวดเร็วและง่ายดายโดยไม่เจ็บปวดอีกต่อไป
ฉันไปที่พระรูปพระนางพรหมจารีย์มารีย์
ฉันยืนอยู่เบื้องหน้าพระรูปและพูด
“ฉันจำเป็นต้องรู้จักท่าน” แล้วฉันก็จากไป
หลังจากนั้น
บาร์บาราและฉันก็ไปที่ภัตตราคารจีนที่เดิม
ขณะที่เรากำลังเดินไป
ฉันพูดโพล่งขึ้นมาว่า “ฉันต้องการรู้จักพระนางพรหมจารีย์มารีย์”
เธอพูดว่า
“อะไรนะ? บอกซิว่าเกิดอะไรขึ้น?” ฉันเล่าให้เธอฟังว่าที่เชิงกางเขนนั้น
มีบางอย่างเกิดขึ้นกับฉันเวลาที่ฉันสัมผัสตะปู และมีเสียงหนึ่งพูดว่า
“จงไปหาพระนางพรหมจารีย์มารีย์”
บาร์บาราพูดว่า
“เรื่องนี้ อย่าเล่าให้ใครฟัง พวกเขาจะคิดว่าเธอบ้า” แล้วเธอก็พาฉันไปส่งที่บ้าน
ความรักอันลึกซึ้งและสันติสุข
ความรักอันลึกซึ้งและสันติสุข
ในวันต่อมา ฉันเริ่มมีความรู้สึกถึงความรักอันลึกซึ้งและสันติสุขภายในจิตใจ
เมื่อไรก็ตามที่ฉันได้ยินเสียงเพลงของโบสถ์จากวิทยุ ฉันรู้สึกประทับใจในเสียงเพลงนั้น
ฉันอยากฟังเพลงนั้นเป็นชั่วโมงๆ และพยายามร้องตาม เมื่อเพลงจบลง
ฉันจะโทรไปขอให้ทางสถานีเปิดเพลงนั้นและเพลงอื่นๆอีก
ฉันเริ่มขับรถไปที่ชายทะเล
การอดอาหารของฉันก็เปลี่ยนไปด้วย
ฉันเริ่มทานปลา ขนมปังและน้ำ สิ่งนี้เป็นเรื่องไม่ปกติสำหรับฉัน
เพราะฉันเกลียดปลา ระหว่างทางไปชายทะเล
ฉันจะหยุดทานลูกพลัม องุ่นและน้ำ ฉันเริ่มลดน้ำหนักตัว ฉันอดอาหาร
แต่ฉันไม่เคยรู้เรื่องเหล่านี้มาก่อนในตอนนั้น
หนึ่งสัปดาห์ต่อมา
ฉันได้เชิญคาร์รอล เพื่อนของฉันให้มาที่บ้านฉัน
ฉันเล่าให้เธอฟังอย่างตื่นเต้นถึงสิ่งทีเกิดขึ้นกับฉันที่มารล์โบโร เธอไม่ได้พูดอะไร แต่เธอได้มอบสายประคำให้แก่ฉันและบอกว่า
“ฉันรู้สึกว่าสิ่งนี้จะเหมาะสำหรับเธอ”
ฉันนำสายประคำมาสวมใส่ที่คอเพราะฉันคิดว่าสิ่งนี้คือสร้อยคอ แล้วเธอก็มอบหนังสือเล็กๆเล่มหนึ่งให้ฉัน มันเป็นหนังสือวิธีการสวดสายประคำ ฉันใช้เวลาทั้งคืนในการเรียนรู้วิธีการสวด
“บทวันทามารีย์”
เวลาผ่านไป
ฉันเริ่มใช้เวลาตลอดคืนในการสวดภาวนาและจะนอนหลับในตอนกลางวัน วันที่ 4 กรกฏาคม
ฉันขับรถไปที่ชายทะเลและอยู่ที่นั่นสองชั่วโมง ในตอนกลับบ้าน
ฉันมีความปรารถนาอย่างแรงกล้าที่จะไปที่มารล์โบโร แต่ด้วยความประหลาดใจ ตำรวจได้ปิดถนน
ด้วยความผิดหวังฉันรู้สึกสับสน
ฉันขับรถกลับบ้านและโทรหาบาร์บารา
ฉันบอกเธอว่า ฉันต้องการไปที่มารล์โบโร
แต่ตำรวจได้ปิดถนน
เธอตอบว่าแม่พระทรงประจักษ์มาแก่คนหนึ่งชื่อ โจเซฟ จานูศกีวิคส์ Joseph Januszkiewicz
ในวันนี้
ผู้คนต้องจอดรถไว้ห่างจากอาสนวิหารแล้วเดินประมาณสองไมล์ไปที่นั่น
ฉันโทรหาคาร์รอลและขอร้องให้เธอไปที่มารล์โบโรกับฉัน
แต่คาร์รอลพูดตลกโดยบอกว่า แม่พระทรงอยู่บนก้อนเมฆและดื่มกาแฟอยู่
ฉันพูดว่า
“ฉันรู้ว่าพระนางทรงอยู่ที่นั่น
และถ้าฉันได้อ่านเรื่องของพระนางจากหนังสือพิมพ์แล้ว ฉันจะไม่เป็นเพื่อนกับเธออีก”
ฉันสัญญากับคาร์รอลว่าจะไปดูการแสดงพลุที่ใกล้บ้านของเธอ มันน่าเบื่อมาก ขณะที่ดูการแสดงพลุบนท้องฟ้า
ฉันสวดภาวนาต่อแม่พระว่าฉันสัญญาจะไปยังสถานที่ประจักษ์ในเดือนสิงหาคม
ฉันเริ่มต้นการเดินทางไปที่มารล์โบโร ขณะที่ฉันสวดภาวนาและอดอาหาร
มีความรู้สึกประหลาดหลายอย่างเกิดขึ้น ฉันเริ่มคิดถึงอดีตของฉัน
ประสบการณ์อันสวยงามของสันติสุขและความรักที่ฉันรู้สึกเวลาที่อยู่ที่อาสนวิหารซึ่งแตกต่างอย่างสิ้นเชิงกับความทรงจำในวัยเด็กของการถูกล่วงละเมิดในครอบครัวของฉัน ฉันรู้ว่าพระเยซูเจ้าและแม่พระทรงประสงค์จะเยียวยารักษาจิตใจของฉัน
และฉันถูกขอร้องให้ไปยังสถานที่บางแห่งที่ความทรงจำของฉันถูกบล็อกเอาไว้
ประตูสู่อดีตได้เปิดออกสำหรับฉันแล้วในตอนนี้ ฉันร้องไห้จนสุดหัวใจจนฉันไม่มีน้ำตาเหลืออีก
วัยเด็กจากนรก
เมื่อเวลาที่ฉันยังเป็นเด็ก ฉันจำได้ว่าเมื่อเวลาที่แม่ของฉันจะออกจากบ้าน เธอจะทิ้งฉันให้อยู่กับคุณยายและเธอออกไปโดยไม่ได้บอกให้ฉันรู้ เธอทิ้งฉันให้อยู่กับคนแปลกหน้า บางคนดูน่ากลัวมาก และฉันรู้สึกกลัวอยู่ตลอดเวลา เวลาที่ฉันอยู่กับแม่ ฉันจำได้ว่ามีผู้ชายหลายคนมาอยู่บนเตียงของธอ แต่ฉันนอนอยู่บนเตียงเด็ก
เมื่อเวลาที่ฉันยังเป็นเด็ก ฉันจำได้ว่าเมื่อเวลาที่แม่ของฉันจะออกจากบ้าน เธอจะทิ้งฉันให้อยู่กับคุณยายและเธอออกไปโดยไม่ได้บอกให้ฉันรู้ เธอทิ้งฉันให้อยู่กับคนแปลกหน้า บางคนดูน่ากลัวมาก และฉันรู้สึกกลัวอยู่ตลอดเวลา เวลาที่ฉันอยู่กับแม่ ฉันจำได้ว่ามีผู้ชายหลายคนมาอยู่บนเตียงของธอ แต่ฉันนอนอยู่บนเตียงเด็ก
วันหนึ่งฉันรู้สึกหิวและไม่มีอาหารในบ้านเลย ฉันได้พบกับเพื่อนบนหัวมุมถนน
และเราได้ขโมยอาหารจากร้านขายของชำของเพื่อนบ้าน ทุกครั้งที่แม่ออกจากบ้าน ฉันไม่รู้ว่าจะได้พบกับแม่อีกหรือเปล่า ฉันปลีกตัวออกจากทุกคน เมื่อแม่ของฉันแต่งงานครั้งที่สาม
เราได้ย้ายไปอยู่ชนบท ฉันอายุห้าขวบ
ทั้งแม่ของฉันและพ่อเลี้ยงดื่มเหล้าอย่างหนัก เขามักเฆี่ยนตีแม่บ่อยๆ ถ้าแม่พยายามหนีไปจากเขา เขาจะตามหาเธอและลากเธอกลับบ้านด้วยความโกรธ
ครั้งหนึ่งเราไปซ่อนตัวอยู่ที่บ้านของป้า
ฉันจำได้ว่าป้าบอกฉันและน้องชายให้ซ่อนตัวที่ใต้เตียงเพราะพ่อเลี้ยงมีปืนและเขาจะฆ่าพวกเรา เมื่อพ่อเลี้ยงเข้ามาในบ้าน
เขากระชากผมของแม่และเริ่มลากตัวแม่ออกจากประตู ป้าโทรเรียกตำรวจ เมื่อตำรวจมา
พ่อเลี้ยงก็วิ่งหนีไปที่ป่าพร้อมกับปืนไรเฟิลของเขา ตำรวจวิ่งไล่และจับตัวเขาได้ สิ่งที่ตำรวจพูดกับพ่อเลี้ยงคือ
“คุณไม่ควรขู่ใครก็ตามด้วยปืน” แล้วตำรวจก็ปล่อยตัวเขา ไม่น่าเชื่อใช่ไหม?
น้องชายของฉันและตัวฉันเองถูกล่วงละเมิดแทบทุกวัน เราเริ่มปัสสาวะรดที่นอนในตอนกลางคืน
วันหนึ่งพ่อเลี้ยงตะคอกใส่เราในเรื่องปัสสาวะรดที่นอนและขี้เกียจตื่นนอน เขาบอกว่าจะจัดการเราถ้าเรายังทำสิ่งนี้อีก
วันต่อมาเราปัสสาวะรดที่นอน เขาบอกให้เราออกมา
แล้วพ่อเลี้ยงก็มัดมือทั้งสองของน้องชายฉันด้วยเชือก และมัดฉันแบบเดียวกันด้วย
เขาให้เรายืนบนเก้าอี้
มีตะปูตัวใหญ่อยู่บนคานเหนือศีรษะของเรา
เขาแขวนเราที่ตะปูนั้น
เราถูกแขวนอยู่บนอากาศ แล้วเขาใช้เข็มขัดเฆี่ยนที่หลังของเรา
ฉันร้องไห้วิงวอน
“โปรดอย่าแขวนฉันเลย แด็ดดี้
หนูสัญญาว่าจะไม่ปัสสาวะรดที่นอนอีก”
ที่โรงเรียน ฉันระบายสีกระดาษเป็นสีดำ ฉันบอกกับครูว่าพ่อเลี้ยงจะแขวนเรา เฆี่ยนตีเรา ไม่มีใครเชื่อฉันเลย ทุกวันนี้
ฉันจะรู้สึกโมโหเมื่อผู้คนไม่เชื่อฉัน ในเมื่อฉันพูดความจริง
แม่ของฉันกลายเป็นคนติดเหล้า
พ่อเลี้ยงนำตัวเธอไปอยู่ที่โรงพยาบาลฟื้นฟูจิตใจ เขาจะพาเราไปเยี่ยมเธอและพูดว่า “ดูไว้นะ
แม่ของพวกแกอยู่ในห้องนั้น เธอเป็นบ้า”
เมื่อฉันอายุได้สิบสามปี
ฉันเครียดมากจนทนไม่ไหวอีกต่อไป
ฉันทรุดตัวลงคุกเข่าแล้วร้องไห้ วิงวอน “ถ้ามีสิ่งใดสามารถช่วยฉันได้...จะเป็นก้อนหิน
พระเจ้า พลังอำนาจ อะไรก็ได้...ช่วยนำฉันออกไปจากที่นี่ด้วยเถิด” ประมาณห้าหรือหกเดือนต่อมา ในฤดูร้อน คุณยายของฉันขอให้ฉันไปเยี่ยมเธอ ฉันได้อยู่กับคุณยายตลอดฤดูร้อน
เมื่อแม่ของฉันและพ่อเลี้ยงมานำตัวของฉันกลับ ฉันวิงวอนคุณยายขอให้ฉันอยู่ต่อ คุณยายพูดว่า “ไปขอคุณตาซิ” และท่านตอบว่าได้
ฉันอยู่กับคุณยายจนถึงอายุสิบหกปี
ฉันไม่รู้เลยว่าคำภาวนาของฉันทำให้ฉันได้อยู่ที่นั่นเพราะฉันไม่เชื่อในพระเจ้า ฉันคิดว่าเป็นเพียงความโชคดีเท่านั้น
ช่วงวัยรุ่นแห่งการกบฏ
เมื่ออายุสิบหกปี
ฉันเริ่มหนีโรงเรียน
และฉันถูกส่งตัวกลับไปอยู่กับแม่และพ่อเลี้ยง
ฉันออกจากโรงเรียนและไปทำงานเป็นสาวใช้ในโรงแรม ฉันได้พบกับบางคนที่นั่นที่แนะนำฉันให้เสพยา ฉันเริ่มติดยาเสพติด
วันหนึ่งพวกเขาจับตัวฉันไว้และแทงเข็มฉีดยาที่แขนของฉัน ฉันออกจากบ้านของแม่และไปอยู่กับพวกเขา พวกเขาให้เฮโรอีนกับฉันจนฉันติดมัน
ฉันเริ่มผอมแห้ง ฉันไม่รู้สึกอยากมีชีวิตอีกต่อไป
ไม่มีใครในครอบครัวมาช่วยฉันเลย
ฉันไม่เหลืออะไรอีกแล้ว
วันหนึ่งคุณตามารับตัวฉันไปอยู่กับแม่ที่ชนบท ฉันตัวผอมกะหร่อง แม่พาฉันไปหาหมอเพราะฉันอาเจียน ตาขาวของฉันกลายเป็นสีเหลือง ผิวกายก็เป็นสีเหลือง
ปัสสาวะเป็นสีน้ำตาลคำเหมือนโคคาโคล่า
หมอบอกว่าฉันเป็นโรคตับอักเสบชนิด B
เมื่อพ่อเลี้ยงเห็นฉัน
เขาร้องไห้บอกแม่ของฉันว่า ฉันกำลังจะตายและบอกฉันเช่นเดียวกัน
ฉันมีอาการของการถอนตัวจากเฮโรอีน
ฉันท้องร่วงและเจ็บปวดไปทั่วร่างกาย
ฉันจะตื่นนอนด้วยเหงื่อท่วมตัวและตัวสั่น
ฉันจะอาเจียนทุกๆครึ่งชั่วโมง
ฉันมักจะเดินไปรอบๆเป็นวงกลม
แม่ของฉันจะพาฉันนั่งรถนานเป็นชั่วโมง
หลังจากหนึ่งเดือน อาการของฉันก็เริ่มดีขึ้น ฉันหายจากการติดยาแล้ว
ติดเหล้าและยาอีกครั้ง
ฉันไม่เคยใช้ยาอย่างหนักแบบเดิมอีก แต่เมื่อเวลาผ่านไป ฉันก็เริ่มดื่มเหล้า อาการอยากยาเริ่มหลอกหลอนฉัน ฉันควบคุมตัวเองไม่อยู่ .......
*******************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น